บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 134 ชนจอก
“พี่เขย การบ่มเพาะท่านฟื้นกลับคืนแล้วจริงหรือ?”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวถามเงียบงันภายใต้บรรยากาศงานเลี้ยง
“อืม”
ซูอี้พยักหน้ารับ “ข้าตอนนี้คือขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับต้น”
เหวินหลิงเสวี่ยเผยดวงตาเบิกกว้าง กล่าวคำอย่างประหลาดใจออก “จริงหรือนี่?”
นางไม่ได้พบอีกฝ่ายราวเดือนหนึ่งได้?
พี่เขยไม่เพียงฟื้นคืนการบ่มเพาะ แต่ยังสำเร็จขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว?
“ข้าทราบอยู่แล้วว่าพี่เขยนั้นยอดเยี่ยม”
ชั่วขณะนี้ เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะออก ดวงตาของนางเป็นประกาย เผยซึ่งความนับถือจากใจจริง
“กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ซูอี้ยิ้มตอบรับเช่นกัน พร้อมพูดกล่าวกับตัวเอง
ทันใดนั้นหนึ่งในเด็กหนุ่มในชุดคลุมพลันลดเสียงลงเผยท่าทีลึกลับ “ได้ยินกันบ้างหรือไม่ ว่ามีเรื่องใหญ่แทบฟ้าถล่มเกิดขึ้นเมื่อวานที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี?”
“เกิดอะไรขึ้นที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีกัน?”
หลายคนต่างเกิดความสงสัย
เหยียนอวี่เฟิงหรี่ดวงตาเล็กน้อย ถ้อยคำกล่าวอย่างเฉยชา “ได้ยินบิดาข้ากล่าวถึงเมื่อวานนี้เช่นกัน ผู้ว่าการฉินเหวินเยวียนและบุตรชายฉินเฟิงหาเรื่องต่อผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง สุดท้ายตกตายอย่างอนาถที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี”
ทันใดนี้เอง ที่เสียงฮือฮาปรากฏขึ้น
กระทั่งเหวินหลิงเสวี่ยยังร่วมรับฟัง
“พี่เหยียน ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นคือใคร? พอบอกให้พวกเราทราบได้หรือไม่?” เมิ่งหลู่กล่าวถามออดอ้อน
“ใช่แล้ว นายน้อยเหยียน ข่าวคราวนี้ชวนสะพรึงนัก หากท่านไม่กล่าว พวกเราไม่มีทางได้ทราบ”
สตรีผู้อื่นต่างเร่งรีบเอ่ยคำขึ้น
พบเห็นทุกคนสนใจยังตนเอง เหยียนอวี่เฟิงจึงยิ้มพร้อมส่ายศีรษะตอบ
“บอกกล่าวตามตรง เรื่องนี้ร้ายแรงเกินไป กระทั่งบิดาข้ายังทำได้เพียงเงียบปากไม่กล้าเผยแม้ครึ่งคำ ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าได้”
ความสนใจของผู้คนราวถูกกระตุ้น
มีเพียงซูอี้ที่เผยท่าทีเฉยชา โดยเอียงจอกเหล้าในมือไปมาพลางรับชม
“กล่าวกันว่าที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีเมื่อวานนี้ ตัวตนยิ่งใหญ่จากทั้งสี่ตระกูลหลักยังร่วมชม กระทั่งเจ้าสำนักแห่งสำนักดาบชิงเหอยังไปด้วยตนเอง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปทำอะไร”
เหยียนอวี่เฟิงกล่าวเสียงเบาลดลง “บิดาข้าเพียงกล่าว ว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเยาว์วัยอย่างยิ่ง อายุทัดเทียมกับพวกเรา ทว่าเป็นประหนึ่งเทพเซียน มีพลังสะท้านสะเทือนถึงฟากฟ้า!”
“เยาว์วัยเช่นพวกเรา?”
ผู้คนต่างชะงักงัน สีหน้าพวกเขาราวกับไม่คิดเชื่อ
“ใช่ ข้าเพียงได้ยินว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอันพิเศษยิ่ง ข้าเชื่อว่าทุกคนทราบความแข็งแกร่งของนายท่านฉินเหวินเยวียนกันดี แต่ยามคนผู้นั้นสังหารนายท่านฉินเหวินเยวียน กลับไม่มีผู้ใดที่เป็นประจักษ์พยานกล้าปริปาก!”
เด็กหนุ่มในชุดคลุมที่เปิดประเด็นพยักหน้ารับ
ผู้อื่นต่างกระซิบกระซาบ “ข้าลอบได้ยินว่าเจ้าสำนักพ่ายแพ้แก่ผู้ยิ่งใหญ่ยังเยาว์คนนั้นเช่นกัน ไม่ทราบว่าใช่เรื่องจริงหรือไม่…”
ได้ยินเช่นนี้ กระทั่งเหวินหลิงเสวี่ยยังชะงักงันไป
เหตุใดจึงมีคนผู้หนึ่งที่ยังเยาว์และชวนสะพรึงเพียงนั้นได้?
“โอ้ คงจะประเสริฐหากข้าได้พบนายท่านผู้ยังเยาว์คนนั้น!” เถียนเหยาเผยดวงตาเฝ้าฝันเป็นประกาย
ไม่เพียงแต่นาง ผู้อื่นต่างก็เริ่มจินตนาการแล้วเช่นกัน
“พี่เขย ท่านคิดว่าอีกฝ่ายยังใช่มนุษย์หรือไม่?”
เหวินหลิงเสวี่ยกระซิบถามข้างใบหูซูอี้
ซูอี้ “…”
มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวคำ “อย่าได้ฟังข่าวลือจนเกินควร เรื่องราวอาจไม่เกินเลยถึงเพียงนั้น”
ทันทีเมื่อถ้อยคำเหล่านี้กล่าวออก เหยียนอวี่เฟิงและคณะเกิดไม่พอใจ ผู้สูญเสียการบ่มเพาะคนหนึ่งพล่ามกล่าววาจาอันไร้สาระใดออกมา?
“ซูอี้ หมายความคำว่าข่าวลือนั้นคืออะไร? หรือเจ้าทราบว่าเมื่อวานเกิดเรื่องใดขึ้นที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี?”
เด็กหนุ่มผู้เปิดประเด็นเกิดไม่ยินดี
“ถูกต้องแล้ว กล่าวบอกให้ทุกคนทราบเป็นไร ว่าตรงใดที่ผิดเพี้ยนไป?”
ผู้อื่นช่วยเอ่ยคำ พบเห็นเช่นนี้ เหยียนอวี่เฟิงเกิดยิ้มอยู่ภายใน ดวงตาราวหยอกล้อ ประหนึ่งพบเจอเรื่องขบขัน
ตัวเขาได้ตระหนัก ว่าเหวินหลิงเสวี่ยกระซิบกระซาบข้างหูซูอี้หลายครั้ง ความใกล้ชิดเพียงนี้ มันทำให้เขาไม่สบายใจ
พบเห็นเรื่องราว เฉินจินหลงถึงกับหลั่งเหงื่อกาฬผุดปรากฏ ตัวเขาไม่สนใจอื่นใด คำเร่งร้อนกล่าวขึ้น “ทุกคน ในความเห็นข้า เรื่องนี้ปล่อยไปแล้ว การที่พวกเราได้มารวมตัวกันนั้นถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก อย่าได้ให้เกิดเรื่องราวไม่ยินดีขึ้นเลย”
“เรื่องราวใดที่ไม่น่ายินดี?”
เมิ่งหลู่กล่าวคำโกรธเกรี้ยว “พวกเรากำลังจะได้รับฟังคำของซูอี้ นอกจากนี้แล้ว ด้วยฐานะเช่นพวกเรา… การสนใจคนขลาดเช่นเขาไม่ใช่น่ายินดีหรือไร?”
นางเลือกชะงักปากทันท่วงที หากไม่แล้วคงกล่าวคำ ‘เศษเดน’ ออกมาแล้วเป็นแน่
ผู้อื่นต่างเห็นพ้อง
พบเห็นเรื่องราว เฉินจินหลงเกิดกราดเกรี้ยวแทบสำลักเลือดออก นี่ข้ากำลังช่วยพวกเจ้าอยู่ไม่รู้ตัวหรือ?
กลุ่มคนหน้าโง่ พบเห็นสะพานข้ามเมฆ หน้ามืดเดินข้ามไปตกตาย เกรงว่าถัดจากนี้คงจะมีแต่ต้องคุกเข่าต่อหน้าซูอี้ร้องขอความเมตตา!
เฉินจินหลงคร้านจะกล่าวคำใดต่อ
ถ้อยคำอันดียากเกลี้ยกล่อมภูตผี อย่าได้โปรดสัตว์โดยไม่คำนึงถึงตนเอง!
“กล่าวเช่นนี้ต่อพี่เขยข้า ไม่มากเกินไปหรือ?”
เหวินหลิงเสวี่ยขมวดคิ้ว นางเกิดไม่พอใจขึ้นมา
พบเห็นเช่นนี้ เหยียนอวี่เฟิงก็ไม่คิดสนใจรับชมเรื่องสนุกอีกต่อไป คำเร่งร้อนกล่าวออก “เอาล่ะ พอได้แล้ว ทุกคนหยุดกันเท่านี้”
ทุกคนยอมปล่อยวาง กระนั้นสายตาที่มองซูอี้นั้นยังหยามเหยียด
ตัวตนเศษเดนผู้หนึ่ง หากไม่มีเหวินหลิงเสวี่ย เช่นนั้นมีหรือจะสามารถนั่งร่วมกับพวกเขาได้?
เพียงพวกเขาไม่กล้าที่จะกล่าวคำออกมา!
“พี่เขย ท่านไม่มีโทสะใดหรือ?” เหวินหลิงกล่าวถามเสียงเบา
ซูอี้ส่ายศีรษะยิ้มตอบ “ครั้งนี้ ในเมื่อเป็นสหายร่วมสำนักกับเจ้า เช่นนั้นไม่คิดสนใจ เพราะหากเกิดเรื่องราวไม่น่ารับชม คงทำเจ้าอารมณ์ไม่ดี”
เหวินหลิงเสวี่ยชะงัก ก่อนจะเผยยิ้มตอบรับโดยทันที
เถียนเหยาผู้อยู่ใกล้เคียงเกิดนึกผิดหวัง สำหรับนางแล้วสูญเสียการบ่มเพาะไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับบุรุษ เพียงเผชิญกับคำถามแดกดัน ยังไม่กล้าตอบโต้ นับได้ว่าน่าผิดหวังนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นชัดว่าตนเองอับอาย กระนั้นกลับกล่าวบอกว่าเพราะเห็นแก่หน้าเหวินหลิงเสวี่ย นี่ถือเป็นเรื่องน่าขัน!
“เหมือนว่า ไม่ว่าเป็นบุรุษที่ดูดีเพียงใด ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้…”
เถียนเหยาลอบถอนหายใจ กระทั่งถอยตัวนางออกห่างจากซูอี้โดยไม่รู้ตัว
นางชื่นชอบบุรุษที่ดูดี เพียงแต่ไม่ชอบบุรุษที่ภายนอกประหนึ่งหยกทองคำ แต่ภายในนั้นเน่าเฟะ!
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ยามกลุ่มคนได้ยินถ้อยคำซูอี้ พวกเขาจึงอดไม่ได้จนหัวเราะ
กระทั่งเหยียนอวี่เฟิงยังพูดกล่าวไม่ออกไปครู่หนึ่ง และราวกับถึงเวลาแล้วที่จะต้องพูดกล่าวออกตามตรงเสียที
เฉินจินหลงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน ตัวเขาพลันคิดอยากไปให้พ้นจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้
เรื่องราวครั้งก่อนชวนอัปยศ เพียงไปทานอาหาร กลับต้องคุกเข่าขอขมา เพื่อร้องขอความเมตตา!
ใบหน้างดงามของเหวินหลิงเสวี่ยเผยความเย็นเยือก นางนึกโกรธเคือง
แต่แล้ว…
ประตูห้องส่วนตัวแห่งนี้พลันถูกผลักเปิดออก
บุคคลนาม ‘ลุงหวง’ ก้าวเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม ตามหลังคนหนุ่มในชุดหรูหรา พร้อมกล่าวคำด้วยรอยยิ้ม
“ทุกท่าน นายน้อยของข้ามาเพื่อชนจอกเหล้าด้วย”
พบเห็นคนหนุ่มในชุดคลุมหรูหรา เหยียนอวี่เฟิงและคณะต่างเร่งรีบลุกขึ้น พร้อมเผยท่าทีนอบน้อมกล่าวคำทักทาย
“นายน้อยจางถึงกับมาด้วยตนเอง ทำข้าปลื้มใจยิ่งนัก”
เหยียนอวี่เฟิงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเผยประกายสดใส
อย่างไรแล้ว การมาชนจอกเหล้าด้วยตนเองกับผู้อื่น ก็ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะสามารถได้รับจากผู้สูงส่ง
ผู้อื่นที่นี้ต่างตระหนักได้ สายตาจึงมองยังเหยียนอวี่เฟิงด้วยความนับถือ
“ได้ยินมาว่าโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบชิงเหอมายังคฤหาสน์ดื่มเหมันต์วันนี้ ข้าจึงมาเพื่อรับชม”
ชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราเผยยิ้มอันอบอุ่น หลังกล่าวถ้อยคำ สายตาเขาจึงหยุดมองร่างนั่งที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง
เหยียนอวี่เฟิงตระหนกพบเห็น สีหน้าเกิดดำมืด ถ้อยคำกล่าวเร่งเร้า “ซูอี้ เหตุใดไม่คำนับต่อนายน้อยจาง เร่งรีบลุกขึ้น!”
ผู้อื่นต่างแสดงท่าทีไม่ยินดี โคลนที่ไม่อาจรองรับแม้กำแพง เพียงแค่มารยาทพื้นฐานกลับยังไม่ตระหนักทราบ!
ซูอี้นั่งที่เดิมพร้อมกล่าวคำ “โอ้ แน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าลุกขึ้นคำนับ?”
คนหนุ่มในชุดคลุมหรูหราแข็งค้าง นิ้วที่จับจอกเหล้าสั่นเทา ความรู้สึกเย็นเยือกโลดแล่นผ่านกระดูกสันหลังตรงยังสมองและจิตวิญญาณ ทั้งกายประหนึ่งร่วงหล่นสู่ถ้ำน้ำแข็ง
เหตุใด… เหตุใดชายคนนี้จึงอยู่ที่นี่!?
กระนั้นลุงหวงที่พบเห็นกลับเผยสีหน้าดำมืด ถ้อยคำกล่าวออกเย็นเยือก “ช่างไม่รู้ความ! ตัวเจ้าเป็นใคร ถึงขั้นกล้ากล่าวคำต่อนายน้อยเช่นนี้ ประเดี๋ยว…”
เพียะ!
ชั่วพริบตา คนหนุ่มในชุดคลุมหรูหราพลันตบหน้าลุงหวงอย่างรุนแรง
“นายน้อย?”
ลุงหวงหลั่งเลือดจากปากและจมูก ร่างกายแข็งค้าง มือปิดใบหน้าอย่างเจ็บปวด
“ข้าไม่เคยพบเจอสุนัขเฒ่าชราหน้าโง่เช่นเจ้า! ยังไม่เร่งร้อนขออภัยต่อซู… คุณชายซูอีกงั้นหรือ!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราสบถออกมา
ใจเขารัวลั่นประหนึ่งพายุพัดผ่าน แข้งขาถึงกับอ่อนแรง
เรื่องที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีเมื่อวานนี้ ซูอี้ที่มีชัยเหนือมู่ชางถู เหยียบย่ำกองกำลังชุดเกราะ รวมถึงกำจัดฉินเหวินเยวียนพ่อลูก มีหรือเขาจะลืมเลือนได้?
เขาหรือจะลืมเลือน ว่าบิดาตนยังต้องโค้งศีรษะเพื่อขอขมา กระทั่งตัวเขาเองยังต้องคุกเข่ากับโคลนเย็นเยือกและโขกศีรษะ!
กระนั้น เขาไม่เคยนึกคิด ผ่านพ้นเพียงหนึ่งวัน จะต้องพบเจออีกฝ่ายที่นี่…
คนหนุ่มในชุดคลุมหรูหราย่อมเป็นจางเยวี่ยนซิง บุตรแห่งผู้นำตระกูลจาง
“คุณชายซู สุนัขเฒ่าชราของข้าผู้นี้ไร้ดวงตา หยาบคายและไม่รู้ความ หวังว่าท่านจะให้อภัย…”
หลังตบตี จางเยวี่ยนซิงเร่งร้อนกล่าวคำขออภัย พร้อมเหงื่อกาฬที่ผุดปรากฏจากหน้าผาก
ผู้คนต่างชะงักงัน
พบเห็นจางเยวี่ยนซิงขออภัยถึงเพียงนี้ ผู้อื่นกายนิ่งแข็งค้าง กระทั่งแทบอ้าปากกรามค้าง
นี่มันเรื่องราวใด?
ตัวตนพิกลพิการเช่นซูอี้ที่สูญเสียการบ่มเพาะ ถึงกับทำบุตรชายทายาทตระกูลจางเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ ทั้งยังขออภัยอย่างสุดตัวงั้นหรือ?
บางคนพลันได้ตระหนักว่าเรื่องราวผิดท่า ยามนี้สีหน้าเกิดแปรเปลี่ยน
เฉินจินหลงจึงเป็นผู้ถอนหายใจโล่งอก เขาทราบอยู่แล้วว่าเรื่องราวเช่นนี้จะเกิดขึ้น!
เถียนเหยาเกิดเหม่อค้างไป ประหนึ่งพบเจอความฝัน
นางตระหนักได้ดีถึงตัวตนจางเยวี่ยนซิง ในบรรดาทายาทแห่งมหานครอวิ๋นเหอ จางเยวี่ยนซิงถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสุดยอดทายาทผู้สูงศักดิ์อันเยาว์วัย
เหยียนอวี่เฟิงและผู้อื่นล้วนไกลห่างเกินเทียบเปรียบได้!
กระนั้นตอนนี้ บุคคลที่สูงศักดิ์เช่นนั้น กลับขออภัยต่อซูอี้อย่างจริงจัง เพียงอึดใจผู้ใดบ้างจะทำใจยอมรับได้?
กระทั่งเหวินหลิงเสวี่ยยังประหลาดใจ พี่เขยของนางปิดซ่อนความลับเอาไว้เพียงใดกันแน่?
ซูอี้นั่งที่ตรงนั้น หันหลังให้จางเยวี่ยนซิง พร้อมกล่าวคำเฉยชา “คิดชนจอกเหล้าอะไรของเจ้าจงทำไป”
จางเยวี่ยนซิงเกิดโล่งอก ได้ตระหนักว่าซูอี้ไม่คิดใส่ใจเรื่องราวพิพาทเล็กน้อยเมื่อครู่นี้
เขาเร่งร้อนคว้าเหยือกเหล้า ก้าวเดินออกไป พร้อมรินใส่จอกให้ซูอี้ด้วยตนเองและเผยยิ้ม
“ขอข้าลงโทษทัณฑ์ตนเอง โดยการดื่มสามจอกเป็นการขออภัย ขอคุณชายซูโปรดรับเอาไว้”
สิ้นคำกล่าว จางเยวี่ยนซิงพลันดื่มเหล้าสามจอกในรวดเดียว ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของผู้คน
ท่าทีเช่นนี้ประหนึ่งผู้น้อยสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ต่อหน้าผู้อาวุโส
ชั่วขณะนี้ ทุกคนค่อยได้ตระหนักว่าเรื่องราวผิดคาด บรรยากาศกลับกลายเป็นประหลาดไป
ซูอี้เป็นเพียงผู้เดียวที่ยังนั่ง ทั้งยังเมินเฉยต่อจางเยวี่ยนซิง ก่อนจะดึงมือขาวของเหวินหลิงเสวี่ยเบาค่อยพร้อมกล่าวคำ
“หลิงเสวี่ย อย่าได้ยืนนิ่ง นั่งลงได้แล้ว”