บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1342: มรสุมแรกเยือนหล้า โหมคลั่งจากนี้ต่อไป
ตอนที่ 1342: มรสุมแรกเยือนหล้า โหมคลั่งจากนี้ต่อไป
หลวงจีนคงจ้าวปริปากคล้ายจะเอ่ยวาจา
ทว่าเสียงหัวเราะร่าของเซียนดาบชิงซื่อกลับดังขัดขึ้นเสียก่อน “พูดได้ดี ไยต้องกลัวว่าจะไม่ได้กลับมา กลัวเสียแต่จะพ่ายแพ้กลับมาเสียมากกว่า!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขาเคาะศีรษะของหลวงจีนคงจ้าวขณะกล่าว “คงจ้าว อย่าได้ลดทอนความมั่นใจกันอีกเลย”
หลวงจีนคงจ้าวเกาศีรษะล้านโล้นของเขา “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพวกท่านซ่อนบางอย่างจากข้ากัน? หาไม่ ไฉนจึงไม่ยี่หระยามเห็นสหายข้าไปออกศึกกันหนอ?”
ไร้ผู้ใดอธิบาย
“สหายเต๋า ข้าและสรรพสุญตาตรวจสอบได้แล้วว่ากฎสวรรค์ทุกวันนี้เพียงพอให้วิญญาณอาสัญซึ่งมีความแข็งแกร่งในขอบเขตรวมวิถีออกมาปรากฏกายได้”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “แบบนั้นยิ่งดี”
เมื่อสองเดือนก่อน จอมปีศาจคว่ำบรรพตหลีจงได้แวะเยือนเหย้า
ทว่ายามนั้น สาเหตุที่หลีจงสามารถปรากฏตัวสู่โลกหล้าได้เป็นเพราะเขาพึ่งพาสมบัติลับบางอย่างที่มีคุณสมบัติคล้ายกับร่มปรกนภา และหากเขาออกมาเดินเฉย ๆ จริง ๆ กฎสวรรค์จะมิละเว้นเขา
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงสองเดือน วิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีก็ปรากฏกายสู่โลกหล้าได้แล้ว เรื่องนี้ยังคงทำให้ซูอี้แปลกใจได้อยู่ดี
มิต้องสงสัยเลยว่าการเปลี่ยนแปลงแห่งโลกาทวีความร้ายแรงขึ้น
ซูอี้จ้องมองดาบใจผ่องแผ้วในมือของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บมันไป
“ท่านทั้งสองคิดเช่นไรกับเหรียญทองแดงนี้”
ซูอี้นำเหรียญทองแดงซึ่งผูกเชือกไหมสีดำไว้ออกมา
ก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ว่าเหรียญทองแดงที่ดูไม่พิเศษโดดเด่นนี้มีปริศนาอื่นซ่อนอยู่ ซึ่งมันถูกปกคลุมด้วยผนึกลึกลับบางอย่าง จึงมิอาจถูกกะเทาะออกมาได้แม้แต่น้อย
ซูอี้พยายามเรียกคนขายของเก่า ทว่าไร้การตอบสนอง
ทว่าหากทำเช่นนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่าคนขายของเก่าซึ่งซ่อนอยู่ภายในจะถูกหางเลขไปด้วย
ดังนั้นท้ายที่สุดซูอี้จึงมิได้กระทำการใด ๆ
“คนขายของเก่านี่หน้าเงิน*[1]จริง ๆ หรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวประหลาดใจ
แน่นอนว่าเป็นการเล่นคำสองความหมาย
ซูอี้จึงอดขำไม่ได้
คนขายของเก่าเฒ่าสะสมสารพัดสมบัติโบราณมาตลอดชีวิต นอกจากนั้นยังตระหนี่ขี้เหนียวอย่างยิ่ง จึงมักจะถูกเย้ยเยาะเป็นคนหน้าเงินเสมอ
มิคาดเลยว่าจะมีวันที่คนผู้นี้หนีไปซ่อนตัวในเงินตราเข้าจริง ๆ
“วัตถุดิบทำเหรียญทองแดงนี้ดูจะหายากยิ่งกว่าวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตจุติสรวงเสียอีก กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบวิถีเซียนก็ได้”
เซียนดาบชิงซื่อมองมันครู่หนึ่งก่อนจะทอดถอนใจ “ในสมัยโบราณ เหรียญทองแดงนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งพิสดารพันลึกอย่างแน่นอน”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าว “เหรียญทองแดงนี้หาได้เรียบง่ายไม่ อำนาจภายในของมันเปรียบได้กับ ‘บัญญัติห้ามเซียน’ ซึ่งสลักอยู่บนสมบัติเซียน ทว่าก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ประหลาดจริงแท้”
สองคนนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลจากบรรพกาล ทว่ากลับมิอาจบอกที่มาของเหรียญทองแดงนี้ได้ ซูอี้จึงรู้สึกประหลาดใจนัก
“เจ้าคนขายของเก่าผู้นี้ หากคิดไม่ผิด เขาน่าจะมีสมบัติแบบเดียวกับเหรียญทองแดงนี้อยู่อีกเยอะเลย”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าว “และข้าเคยได้ยินคนขายของเก่าโอ่อยู่หลายหนในกาลก่อน เขาบอกว่าวัตถุโบราณหลายชิ้นที่เขาสะสมไว้เป็นสมบัติจากยุคโบราณ ซึ่งดูจะเป็นกองเหล็กกองทองแดงหักพัง ทว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สมบัติเหล่านี้จะคืนอำนาจดั้งเดิมของตน”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ซูอี้ก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “มีความเป็นไปได้เช่นนั้นอยู่จริง!”
ตลอดกาลนานมา วิถีจุติสรวงถูกสะบั้นขาด
ทว่ายามนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปนานแล้ว โลกหล้าพลิกผันร้ายแรง วิญญาณอาสัญลืมตาตื่น กระทั่งทายาทแห่งเซียนยังปรากฏกายขึ้นตาม ๆ กัน
วัตถุโบราณซึ่งคนขายของเก่าสะสมไว้แต่กาลก่อนก็อาจจะแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์ในระหว่างการผันผ่านแห่งกาลก็เป็นได้!
“หากข้ามีโอกาส ข้าอยากพบคนขายของเก่าผู้นี้”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวขึ้นอย่างกับถูกกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ “ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่ามีสมบัติอัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่ในบรรดาวัตถุโบราณที่เขารวบรวมมาได้มากเพียงใด”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวพร้อมกับยิ้ม “รอเหล่าวิญญาณอาสัญลืมตาจากความเงียบชั่วนิรันดร์ก่อนเถิด แล้วยอดสมบัติอันทรงพลังที่สุด ณ โบราณกาลก็อาจจะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน”
หลังจากทุกคนเสวนาพักหนึ่ง ซูอี้ก็ลุกขึ้นเดินกลับห้อง
เขากลับมาจากโรงหลอมเทวะได้สองเดือนแล้ว และเขาก็ฝึกฝนบ่มเพาะจิตใจของตนโดยมิว่างเว้น
…
วันเดียวกันนั้น มีข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไป…
“เจ้าหอเก้าสวรรค์ บรรพชนโรงวาดฤทัย เจ้าลัทธิทางช้างเผือกและผู้อาวุโสสูงสุดเติ้งจั๋วจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิออกมาประกาศร่วมกันว่าเจ็ดวันจากนี้ พวกเขาจะประลองกับทัศนาจารย์บนแท่นนภาม่วง ณ เขาหยั่งนภา!”
ข่าวนี้สะท้านสะเทือนทั่วโลกหล้า
“ยามหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เหล่าผู้สูงส่งในกลุ่มยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวกลับประกาศสงครามกับทัศนาจารย์พร้อมกัน ผิดปกติเกินไปแล้ว!”
“ผิดปกติหรือ? ไม่เลย วิญญาณอาสัญเหล่านั้นกลัวอำนาจของวัฏสงสาร จึงมิกล้างัดข้อกับทัศนาจารย์ตรง ๆ ทว่าตัวตนในวิถีจุติสรวงทั่วโลกหล้าเหล่านั้นหาเป็นเช่นกันไม่ พวกเขามิกลัวการกดข่มแห่งวัฏสงสาร!”
“เหล่าผู้ทรงอำนาจยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวต่างบรรลุสู่วิถีจุติสรวงกันแล้ว และยามนี้พวกเขาก็ร่วมใจกันกล่าวออกมา เห็นได้ชัดว่าคิดสังหารใต้เท้าทัศนาจารย์!”
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ เขา… จะไปรบหรือ?”
…จักรวาลพร่างดาวเกิดความโกลาหล เหล่าผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าเดือดพล่านทุกหย่อมหญ้า ทุกคนต่างพูดถึงการนัดประลองอันหาได้ยากนี้
ข่าวนี้ยังกระตุ้นความสนใจของเหล่ากลุ่มเต๋าโบราณ จนก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำเชี่ยวกรากด้วยเช่นกัน
“แท่นนภาม่วงตั้งอยู่หนใด? ไม่ว่าซูอี้ผู้นั้นจะต่อสู้หรือไม่ เราก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน”
ชายชราซึ่งอาบด้วยแสงเซียนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นที่สำนักเต๋านครชาด
“มีผู้อดรนทนไม่ได้อยากลงมือชิงโจมตีหรือ? ไปหาซิว่าผู้ใดสั่งการยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้น!”
ชายชุดดำผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เยี่ยงขุนเขาแห่งหุบเขาเซียนแปรสุริยันออกคำสั่ง
“ผู้ที่ประกาศเรื่องการนัดประลองนี้ไม่มีทางเป็นคนดี เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้ศึกนี้ก่อกวนสถานการณ์ในโลกหล้า!”
ในสมุทรมารไร้กำหนด สุนัขพื้นเมืองนามซิงเชวียกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “ยามนั้นจะเกิดศึกประชิดอย่างมิอาจคาดการณ์ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อลองคิดดูแล้ว ซูอี้ก็ถูกมองเป็นศัตรูร่วมแห่งโลกหล้ามาแสนนาน เหล่าทายาทเซียนแห่งโบราณกาลล้วนมองเขาเป็นเหยื่อ มีหรือจะปล่อยให้ซูอี้ตายด้วยน้ำมือผู้อื่น?
และกลุ่มกำลังโบราณเบื้องหลังหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีแต่ละแห่งก็ย่อมไม่มีทางดูดายเช่นกัน
รวมกับเหล่าผู้อยู่เบื้องหลังยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวผู้ออกไปต่อสู้ด้วยตนเองเหล่านั้น…
คาดการณ์ได้เลยว่าหากเกิดศึก ณ แท่นนภาม่วง ขุมกำลังต่าง ๆ อันมีกลุ่มเต๋าโบราณหนุนหลังและเหล่าทายาทแห่งเซียนจะเข้าแทรกแซงโดยไม่อาจเลี่ยง!
เพราะเช่นนั้น สถานการณ์จึงย่อมสับสนอลหม่าน!
“ยิ่งสถานการณ์ปั่นป่วน ยิ่งเหมาะแก่การตกปลายามน้ำขุ่น ทว่าแน่ใจได้ว่าขอเพียงคนแซ่ซูกล้าที่จะสู้ เขาจะมีแต่ตายกับตาย”
เสียงของสุนัขพื้นเมืองเบาลงเล็กน้อย
หลังจากพูดอยู่นาน สุนัขพื้นเมืองพลันพบว่าปราชญ์หงอวิ๋นดูจะไม่สนใจแม้แต่น้อย นางนั่งซ่อมตะกร้าบุปผาเก่า ๆ ผุ ๆ อยู่อย่างไม่แยแส
สุนัขพื้นเมืองอดถามมิได้
ปราชญ์หงอวิ๋นยังคงเมินมัน
สุนัขพื้นเมืองจึงไม่ได้ถามอันใดอีก
หลังจากนั้นเนิ่นนาน ปราชญ์หงอวิ๋นก็ยกตะกร้าซึ่งเพิ่งซ่อมเสร็จขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา ท่าทางดูพอใจทีเดียว “มันดูดีหรือไม่?”
สุนัขพื้นเมืองพยักหน้าหงึกหงัก “ดูดีมากขอรับ!”
ปราชญ์หงอวิ๋นวางตะกร้าบุปผาลง “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ายังเป็นห่วงสหายเต๋าซูอยู่”
สุนัขพื้นเมืองผงะและปฏิเสธทันควัน “เจ้านาย ข้าหวังให้เขาชอกช้ำอับโชค มีหรือจะห่วงความปลอดภัยของเขา?”
ปราชญ์หงอวิ๋นว่า “ถึงยามนั้น เราก็ไปดูว่าปลักโคลนนี้ลึกเพียงใดกันดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุนัขพื้นเมืองก็ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้านาย ในที่สุดท่านก็อยากจะออกสัญจรในโลกหล้าแล้วหรือขอรับ?”
ดวงตาของปราชญ์หงอวิ๋นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวกับตนเอง “ดูเหมือนว่า… ข้าจะไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้วจริง ๆ…”
…
“ช่างเสื้อเฒ่าทำงานให้ผู้ใด?”
ม่อชิงโฉวเอ่ยถามขึ้นในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
“เจ้าเฒ่านั่นลึกลับยิ่งและซ่อนตัวในที่ลับมาตลอดขอรับ กล่าวกันว่ามีกลุ่มเต๋าโบราณร่วมมือกับเจ้าแก่นี่ไม่น้อยเลย รวมไปถึงพรรคเซียนเร้นราตรี หุบเขามารหยินนิลกาฬและบรรพตมารธารปรภพด้วยขอรับ”
หลีจงตอบกลับ
“กลุ่มทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลุ่มเต๋าโบราณในวิถีมารหรือไม่?”
ม่อชิงโฉวกล่าวอย่างครุ่นคิด
สามสำนักมารนี้ล้วนแต่เป็นกลุ่มเต๋าจุติสรวงในโบราณกาลซึ่งให้กำเนิดเซียนวิถีมารมามากมาย!
ม่อชิงโฉวถามอีกหน “ผู้ใดอยู่เบื้องหลังหอเก้าสวรรค์ โรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือก และสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ สี่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวนี้?”
หลีจงกล่าว “สี่ขุมกำลังนี้เป็นขุมกำลังสูงสุด ณ ยุคสมัยปัจจุบันซึ่งมีสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเต๋ามากมายขอรับ”
ม่อชิงโฉวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ถึงยามนั้น เจ้าก็พาคนไปด้วยนะ”
หลีจงผงะไป “คุณหนูก็กังวลว่าซูอี้จะถูกผู้อื่นสังหารหรือขอรับ?”
ม่อชิงโฉวกล่าวเบา ๆ “ข้าทำนายได้ว่าหากศึกนี้เกิดขึ้น จะมีผู้ฉวยโอกาสปล้นบ้านยามไฟไหม้ คนบางคนจะตกปลายามน้ำขุ่น ทว่าบางผู้ก็จะลอบส่งถ่านฟืนยามหิมะตกเช่นกัน”
“หนนี้ เราเลือกจะช่วย”
…
“ไม่ว่าคนแซ่ซูจะอยู่หรือตายล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเคล็ดวัฏสงสารต้องไม่ตกสู่มือผู้อื่น!”
เสียงของฝูตงหลีสนั่นก้อง ดวงตาฉายแววกดดัน “ยามนั้น เราเองก็ต้องไป!”
เขาเคยประมือกับซูอี้มาหนึ่งหนและสูญเสียสมบัติไปมากมาย ทั้งยังเคยบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือซูอี้ จนเกลียดแค้นเขาถึงกระดูก
เรื่องสำคัญที่สุดคือเขาพบ ‘กระดูกชะตา’ ของตัวเอง ฟื้นความแข็งแกร่งแปรเปลี่ยนอย่างสะเทือนโลกาไปแล้ว
แม้เขาจะยังเป็นวิญญาณอาสัญ ทว่าก็แตกต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
…
เหมือนเช่นม่อชิงโฉวและฝูตงหลี ทายาทเซียนมากมายต่างมุ่งความสนใจไปที่ศึกนี้และเตรียมตัวรอ!
และเมื่อข่าวการประลอง ณ แท่นนภาม่วงได้แพร่กระจายออกไป ทั่วจักรวาลพร่างดาวก็ระเบิดด้วยคลื่นกระแสทั้งเหนือและใต้ผิวน้ำโดยถ้วนทั่วกัน
ณ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
เติ้งจั๋วเช็ดคมดาบของเขาเบา ๆ อยู่ในห้องมืดห้องหนึ่ง สีหน้าของเขาจดจ่อเงียบขรึม
โลกภายนอกปั่นป่วนทว่าเติ้งจั๋วหาได้สนใจไม่ หนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคือสะสางความขุ่นข้องระหว่างตนและทัศนาจารย์!
ณ หอเก้าสวรรค์
เหยียนเต้าหลินกลับมายังเขตหวงห้ามหลังหอ
ในฐานะหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวแห่งโลกหล้า ศิษย์หอเก้าสวรรค์ทุกคนต้องทำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีต่อดาบวิถีเล่มหนึ่ง
ทว่านอกจากเหยียนเต้าหลินแล้ว ในหอเก้าสวรรค์ไร้ผู้ใดทราบชื่อและรูปลักษณ์ของดาบวิถีเล่มนั้นเลย เป็นปริศนาอย่างสุดขั้ว
และหาทราบไม่ว่าดาบเล่มนั้นถูกผนึกในเขตหวงห้ามหลังหอเก้าสวรรค์มาตลอด!
ตู้ม!
วจีดาบทุ้มลึกดังขึ้น ณ เขตหวงห้ามหลังหอเก้าสวรรค์
เหยียนเต้าหลินเงียบฟังวจีดาบนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะก้าวเข้ามานำกล่องผนึกดาบเล่มนั้นไป
หนนี้ เขาต้องการใช้ดาบนี้ตัดสินกับทัศนาจารย์!
[1] 古董商真的掉钱眼里了 ประโยคนี้แปลตรงตัวคือ “คนขายของเก่าซ่อนตัวอยู่ในเหรียญจริง ๆ หรือ?” แต่ 掉钱眼里 (ซ่อนตัวในเงินตรา) มีความหมายว่า “หน้าเงิน” ด้วย