บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1343: รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย แต่เขาก็จะมา
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1343: รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย แต่เขาก็จะมา
ตอนที่ 1343: รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย แต่เขาก็จะมา
บรรพตที่ตั้งลัทธิทางช้างเผือกกลายเป็นซากไปนานแล้ว
ชาวประมงยืนอยู่ตรงหน้าแดนบรรพชนที่ล่มสลายอย่างเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะผ่อนหายใจยาว
“ทัศนาจารย์เอ๋ยทัศนาจารย์ ในชีวิตนี้ ผู้ที่ข้าชื่นชมที่สุดก็คือเจ้า และผู้ที่ข้าอยากสังหารที่สุด… ก็คือเจ้าด้วย!”
เสียงพึมพำยังคงดังก้องทั่วซากปรักหักพัง ทว่าชาวประมงได้จากไปแล้ว
…
ณ โรงวาดฤทัย
“ทัศนาจารย์ เจ้าต้องมานะ และเมื่อถึงเวลา ข้าจะวาดภาพเจ้าแขวนเหนือประตูเมืองทั่วโลกหล้า เพื่อที่ชนรุ่นหลังจะมิลืมเลือนเจ้าไป”
จิตรกรยกไห ร่ำเมรัยสบายอุราพลางเสสรวลสาแก่ใจ
…
สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนแห่งโลกหล้า ศึก ณ แท่นนภาม่วงนั้นเป็นที่เล่าขาน
ในโลกภูมิต่าง ๆ ทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะอยู่หนใด พวกเขาล้วนแต่สนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์อื้อฉาวนี้กันมิขาดปาก
เทียบกับขุมกำลังใหญ่เหล่านั้น ทัศนคติของผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าแตกต่างออกไปชัดเจน
“จริงอยู่ที่กาลเปลี่ยนผัน กลุ่มเต๋าโบราณปรากฏขึ้นเยี่ยงดอกเห็ด และภายหน้าโลกหล้าก็จะถูกปกครองโดยอำนาจวิถีจุติสรวงอย่างมิอาจเลี่ยง ทว่าโลกหล้าอันไพศาลนี้จะมิยอมให้ทัศนาจารย์มีตัวตนได้เชียวหรือ?”
ผู้อาวุโสบางคนรู้สึกไม่พอใจอย่างไม่อาจอธิบาย
ในหัวใจพวกเขา ทัศนาจารย์นั้นสื่อถึงตำนานไร้ผู้เปรียบ สะท้านสะเทือนทั่วจักรวาลพร่างดาว!
ในโลกนี้ ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดที่เลื่อมใสชื่นชมทัศนาจารย์จากก้นบึ้งหัวใจ
ทว่าในสมัยนี้ โลกหล้ากลับตาลปัตรร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเต๋าโบราณหรือกลุ่มเต๋าสูงสุดในปัจจุบันต่างมองทัศนาจารย์เป็นเสี้ยนหนามตำกายใจ รอเหยียบย่ำเขาให้ตายแทบมิไหว!
สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสมากมายรู้สึกเศร้าขึ้นมา
“การนัดประลองเช่นนี้เป็นธรรมแล้วหรือ?”
“ช่างตลกน่าขันสิ้นดี ตัวตนในวิถีจุติสรวงกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันประลองกับใต้เท้าทัศนาจารย์ในขอบเขตราชันแห่งภูมิหรือ?”
“พวกเขาไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไร?”
“เฮอะ นี่น่ะหรือวิถีจุติสรวงที่ว่ากัน?”
เหล่าชนรุ่นหลังแห่งโลกหล้าล้วนเดือดดาลยิ่ง ต่างคนต่างออกมาทวงความยุติธรรมให้แก่ทัศนาจารย์!
คนหนุ่มสาวนั้นยังคงมีใจรักความเป็นธรรม
ในสายตาพวกเขา การนัดทำศึกเช่นนี้ไม่เป็นธรรมต่อทัศนาจารย์มาแต่แรก ทำให้พวกเขารังเกียจและมิพอใจ
มีเพียงเหล่าผู้เฒ่าผู้ผ่านร้อนหนาวแห่งโลกหล้าเท่านั้นที่รู้ว่าวิถีฝึกตนไร้ความเป็นธรรมมาแต่แรก
ผู้เยาว์นั้นใส่ใจถูกผิดดำขาว
ทว่าในโลกแห่งผู้ใหญ่มีเพียงชนะกับแพ้!
ชัยและปราชัยคงอยู่ชั่วนิรันดร์
นี่คือประเด็นที่ผู้ฝึกตนทั่วหล้าให้ความใส่ใจสูงสุด
ไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อ
เพราะถึงอย่างไร กระทั่งผู้ฝึกตนปัจจุบันยังทราบว่าศึกนี้เปี่ยมด้วยโอกาสสังหาร เหมือนเช่นรังมังกรถ้ำพยัคฆ์ หากทัศนาจารย์ตกลงไปก็แทบไร้โอกาสรอดชีวิต!
ทัศนาจารย์หรือจะไม่รู้เรื่องนี้?
ทว่าโลกหล้าก็รู้ดีว่าทัศนาจารย์มิเคยกลัวการทำศึก!
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทัศนาจารย์ต่อสู้ฟาดฟันเสมอ หนึ่งดาบสยบทั่วจักรวาลพร่างดาว หาสะทกสะท้านใด ๆ …ไม่เคย!
ทัศนาจารย์จะยังเป็นเช่นนั้นในหนนี้หรือไม่?
“อย่าปฏิบัติต่อทัศนาจารย์เยี่ยงราชันแห่งภูมิทั่วไป!”
“มองดูทั่วโลกกว้างนี้ นอกจากทัศนาจารย์แล้ว มีตัวตนใดในขอบเขตราชันแห่งภูมิสามารถสังหารวิญญาณอาสัญในขอบเขตจิตทารกได้หรือไม่?”
“หากไม่ใช่เพราะทัศนาจารย์มีความแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ ด้วยความแข็งแกร่งของหอเก้าสวรรค์ ไฉนต้องเลือกร่วมมือต่อสู้ด้วย?”
“ในความคิดข้า ทัศนาจารย์จะมาทำศึก! อุปนิสัยของเขาเย่อหยิ่งไม่ต่างจากวิถีดาบ จะไม่มีวันถอยแม้เพียงครึ่งก้าว!”
หลายคนวิเคราะห์ไว้เช่นนั้น
“คาดการณ์ได้ว่าหากสงครามใหญ่นี้อุบัติ มันจะกลายเป็นศึกที่มีผู้ชมมากมายที่สุดนับแต่ปลายยุคสิ้นกฎเกณฑ์!”
“ไม่ว่าผู้ใดพ่ายหรือชนะศึกนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงครรลองแห่งโลกหล้าอย่างลึกซึ้งและถูกจารึกบนจดหมายเหตุทั่วจักรดาราตงเสวียนแน่แท้!”
“เฉกเช่นกัน ศึกนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นศึกแรกในขอบเขตจุติสรวงนับแต่อนันตกาลผ่านมา แม้ว่าทัศนาจารย์จะมีการฝึกฝนเพียงขอบเขตราชันแห่งภูมิ ทว่าทุกคนก็รู้แล้วว่าเขามีอำนาจพอจะสังหารตัวตนในวิถีจุติสรวง!”
“ศึกใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าคงยากจะได้เห็นแม้ยามโบราณกาล!”
“และเราก็คือสักขีพยาน!”
…
“เวทีถูกจัดแล้ว รอเพียงให้ฆ้องระรัวลั่น และการแสดงอันเลิศล้ำจัดขึ้นเท่านั้น”
ช่างเสื้อยกจอกชาขึ้นจิบด้วยรอยยิ้มท่ามกลางโลกหล้าอันมืดสลัว
…
กาลผ่านวันแล้ววันเล่า
แท่นนภาม่วงแห่งเขาหยั่งนภากลายเป็นสถานที่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในจักรวาลพร่างดาว
ไม่มีผู้ใดยอมพลาด!
คนนับไม่ถ้วนเร่งรุดไปยังเขาหยั่งนภาจากทั่วทุกสารทิศ
ตัวตนทรงอำนาจบางผู้ที่อยู่ทั่วจักรวาลพร่างดาวได้เร่งทะยานสู่ภูมิดาราเทพนครก่อนเวลาเพื่อเป็นสักขีพยานแก่ศึกประลองสะท้านโลกาที่จะกลายเป็นเรื่องเด่นดังในประวัติศาสตร์นี้!
เจ็ดวันผ่านไปเยี่ยงดีดนิ้ว
และในเจ็ดวันนี้ ซูอี้ก็ยังอยู่ฝึกฝนในวัดสรรพสุญตาเช่นกาลก่อน
นาน ๆ ครั้งเขาจะออกมาดื่มสุรากับหลวงจีนคงจ้าว ทดสอบดาบกับเซียนดาบชิงซื่อ และเล่นหมากรุกสนทนาธรรมกับดาบพุทธะสรรพสุญตา
ช่างอิ่มเอิบสบายใจ
“แม้จะกล่าวกันว่ากระทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง ทว่าเจ้า… เจ้านิ่งเกินไปแล้วนะ อืม… ตีนเป็ดนี่อร่อยแฮะ”
ที่ลานวัดมีการต้มหม้อไฟขึ้นหม้อหนึ่ง และน้ำซุปแดงมันย่องก็เดือดปุดกระเพื่อมฟองอยู่ สารพัดเนื้อและผักลอยอยู่ภายใน
ปากของหลวงจีนคงจ้าวมันแผล็บ ขณะขยับตะเกียบไม่หยุด
ซูอี้คีบเนื้อปลาร้อน ๆ ชิ้นหนึ่งขณะกล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่ถูกจำกัดด้วยวัตถุภายนอก หัวใจหาถูกรบกวนจากความเป็นความตายไม่ มันเป็นเพียงวายุโชย…”
เขากล่าวพลางส่งเนื้อปลาขาวกระจ่างเยี่ยงหิมะเข้าปาก แสนสบายอุราเสียจนซูอี้หรี่ตาลง
เหมันตฤดูนั้นเหมาะสมแก่การกินหม้อไฟเป็นที่สุดจริง ๆ
หลวงจีนคงจ้าวลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “งั้นเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากแพ้จะเป็นเช่นไร?”
“ไม่เลย”
ซูอี้ส่ายหน้า
เขาวางถ้วยและตะเกียบลง จากนั้นก็นำไหสุราออกมาจิบ “ในฐานะนักดาบ หากเริ่มคิดถึงความปราชัยก่อนทำศึก ผู้นั้นจะเสียความมั่นใจไป โชคดีที่ข้ามิเคยประสบกับเรื่องเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้”
หลวงจีนคงจ้าวผงะก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าเห็นนักดาบในโลกหล้ามามากมาย ทว่านักดาบเช่นเจ้าหามีผู้ใดเหมือนไม่”
ซูอี้ลุกขึ้น ปัดใบไม้แห้งออกจากอาภรณ์ “ที่สูงนั้นหนาวเหน็บ และยามไม่อาจพานพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ความรู้สึกนั้นชวนอ้างว้างเป็นที่สุด”
“และยามนี้ ทั่วโลกหล้าก็คือศัตรู น่ายินดีเพียงใดกัน?”
ซูอี้กล่าวขึ้นขณะเดินไปยังประตูลานวัด “ช่วยข้าดูแลเจ้าเว่ยน้อยทีนะ พอข้ากลับมา ข้าจะพาเขาไปหาเฒ่าเว่ย”
ร่างสูงทอดเงายาวท่ามกลางแสงสว่างจากฟากฟ้า ดูเดียวดายสูงส่งดุจเทพเซียนยุรยาตรบนโลกโลกีย์
“เจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปสนับสนุนจริง ๆ หรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวตะโกน
“ปากเจ้าร้ายเกินไป ข้ากังวลว่าเจ้าจะถูกอัดเสียก่อน อย่าไปเลย”
เสียงของซูอี้ยังมิทันขาดหาย ร่างของเขาก็หายไปนอกวัดสรรพสุญตาแล้ว
ในอารามแห่งหนึ่ง เซียนดาบชิงซื่อนั่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะรำพึง “ในด้านวิถีเต๋า ข้าเหนือล้ำกว่าสหายเต๋าซูไปไกล ทว่าด้านจิตใจ ข้าช่างอ่อนด้อยเกินเทียบสหายเต๋าซูมากนัก”
ดาบเทวะสรรพสุญตากล่าวด้วยแววตาซับซ้อน “ข้าก็เช่นกัน”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยอารมณ์หลากหลาย
…
วันนัดประลองมาถึงแล้ว!
ณ เขาหยั่งนภา
มันตระหง่านสูงนับหมื่นปี ทอดยาวเยี่ยงขนดมังกรขนานนภา
แท่นนภาม่วงตั้งอยู่เหนือสุดของเขาหยั่งนภา
นามของมันนั้นมีที่มาจากการที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีม่วงมาหลายยุคหลายสมัย
ยามนี้ บริเวณโดยรอบอันมีแท่นนภาม่วงเป็นศูนย์กลางล้วนแน่นขนัดด้วยผู้คนเยี่ยงกระแสวารี
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนจากทั่วจักรวาลพร่างดาว
หากสุ่มเลือกมาสักคน ก็มีโอกาสจะพบกับผู้ทรงอำนาจจากขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด!
ทว่ายามนี้ เหล่าผู้ทรงอำนาจทั่วสารทิศทำได้เพียงยืนปะปนกับผู้คนเหมือนเช่นหนึ่งเกลียวคลื่นกลางสมุทรใหญ่
ผู้เป็นที่จับตามองจริง ๆ คือเหล่าตัวตนในวิถีจุติสรวง!
พวกเขามีทั้งชายและหญิง ร่างอาบไล้ด้วยแสงเซียน ยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเขาหยั่งนภาเยี่ยงกลุ่มเซียนไร้มลทิน
“พวกนั้นคือตัวตนในขอบเขตจุติสรวงหรือ?”
“หากข้าไม่ได้มายังเขาหยั่งนภานี้ คงมิเชื่อแน่ว่ายามนี้มีตัวตนในขอบเขตจุติสรวงในโลกหล้ามากถึงเพียงนี้แล้ว”
“ไม่หรอก มีวิญญาณอาสัญในวิถีจุติสรวงอยู่ในกลุ่มพวกเขาเยอะอยู่เหมือนกัน”
…ผู้คนกล่าวถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู และตระหนักถึงที่มาของเหล่าตัวตนในวิถีจุติสรวงที่อยู่ในบริเวณนั้น
พวกเขาคือวิญญาณอาสัญจากกลุ่มเต๋าใหญ่แห่งโบราณกาล เช่นหอเซียนดาบมายา สำนักเต๋านครชาด หุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณและอื่น ๆ
และยังมีตัวตนในวิถีจุติสรวงจากหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีมาผสมโรง
เช่นตัวตนบรรพกาลอย่างโจวหานซานจากตระกูลโจวโบราณอารักษ์วิถี และจงเทียนเฉวียน ตัวตนบรรพกาลจากตระกูลจง
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นผู้อาวุโสอันโด่งดังในโลกหล้า ณ ขณะนี้ซึ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวง จึงก่อเกิดเป็นเสียงเซ็งแซ่ลือลั่นทั่วหล้า
ยามนี้พวกเขาล้วนเปิดเผยร่องรอยคนแล้วคนเล่า และกลายเป็นจุดสนใจ ณ ที่นี้
บางช่วงเวลา ท้องนภาจะวูบไหวด้วยแสงสว่าง แต่ละหนหมายถึงการมาเยือนของหนึ่งตัวตนวิถีจุติสรวง ท้ายที่สุดก็มีตัวตนในวิถีจุติสรวงมาชุมนุมกันเกือบร้อยคน!
ในละแวกเขาหยั่งนภามีปราณพวยพุ่งขึ้นมาอย่างหนาแน่น สว่างไสวอย่างน่าประหลาด เพียงปราณจากร่างของเหล่าผู้ฝึกตนในวิถีจุติสรวงก็สร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สุญญะได้ ทั่วฟ้าดินถูกปกคลุมด้วยอำนาจร้ายกาจชวนสะท้านถึงทรวง
“ผู้ฝึกตนในวิถีจุติสรวงเกือบร้อยคน! เหตุการณ์นี้ไม่มีให้เห็นนับแต่ปลายยุคสิ้นกฎเกณฑ์!”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ตะลึงและสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งว่าวันนี้แตกต่างจากอดีตมากมายเพียงไร
มันไม่ใช่ยุคสมัยที่ราชันแห่งภูมิจะบัญชาความเป็นไปแห่งโลกหล้าได้อีกแล้ว!
ผู้ยิ่งใหญ่บางคนกระซิบกระซาบด้วยความหดหู่ใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป ตัวตนในวิถีจุติสรวงแห่งโลกหล้าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกขณะ สาดแสงเจิดจรัสเหนือจักรวาลพร่างดาวเยี่ยงดาวฤกษ์พราวแสง!
และตัวเอกของวันนี้คือสี่ตัวตนผู้รออยู่บนแท่นนภาม่วงแห่งเขาหยั่งนภา
พวกเขาคือเจ้าหอเก้าสวรรค์เหยียนเต้าหลิน ประมุขลัทธิทางช้างเผือกชาวประมง บรรพชนโรงวาดฤทัยจิตรกร และผู้อาวุโสสูงสุดสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเติ้งจั๋ว!
พวกเขาทั้งสี่คนล้วนมีอิริยาบถและให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป
ทว่าแต่ละคนล้วนอาบไล้ด้วยแสงเซียนอันเรืองรอง
พิรุณแสงเซียนนั้นคืออำนาจของขอบเขตจุติสรวง เป็นอำนาจอันมีเพียงตัวตนวิถีจุติสรวงเท่านั้นที่จะควบคุมได้!
“ทัศนาจารย์จะมาสู้หรือไม่?”
ทุกคนกำลังรออยู่และมีผู้กระวนกระวายมากมาย
เพราะจะเที่ยงอยู่แล้ว ทว่าจนยามนี้ก็ยังไร้วี่แววของทัศนาจารย์
“หากวันนี้ทัศนาจารย์ไม่ปรากฏตัว เขาจะกลายเป็นตัวตลกทั่วโลกหล้า เกียรติภูมิแปดเปื้อน และจากนี้ไปคงมิอาจเงยหน้าผ่าเผยได้อีก”
จิตรกรที่อยู่บนแท่นนภาม่วงเสสรวลพลางกล่าว “เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่เคยสะทกสะท้านมาก่อน และขอเพียงเขาถอยสักรอบ มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอันมิอาจลบเลือนได้อีก”
เติ้งจั๋วกอดฝักดาบของเขาขณะกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย แต่เขาก็จะมา”