บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1344: ตัดสินเป็นตาย สะสางหนี้แค้น
ตอนที่ 1344: ตัดสินเป็นตาย สะสางหนี้แค้น
………………..
ตอนที่ 1344: ตัดสินเป็นตาย สะสางหนี้แค้น
วาจาของเติ้งจั๋วได้รับการยอมรับจากเหยียนเต้าหลินและชาวประมง
เพราะนี่คือธรรมชาติของทัศนาจารย์เสมอมา
“หัวใจของเขาเป็นเช่นดาบที่เคลื่อนไปเบื้องหน้าไร้กังวลใด หากมิใช่เพราะเหตุนี้ ตลอดกาลนานมา จักรวาลพร่างดาวนี้มีหรือจะถูกสยบด้วยหนึ่งดาบของเขา?”
เหยียนเต้าหลินกล่าวเบา ๆ
ชาวประมงถอนใจ “ถูกต้อง ข้าเกรงว่าทั่วโลกหล้าคงมีคนผู้นี้แหละที่ไร้ความกลัวความเป็นความตาย สุขทุกข์ไร้หวั่นไหวอย่างแท้จริง”
พวกเขาล้วนแต่เป็นศัตรูของทัศนาจารย์
ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของทัศนาจารย์ ไร้ผู้ใดแย้งได้ว่าศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังเพียงใด ก็มักจะประเมินเขาต่ำเกินไปเสมอ!
ขณะสนทนา จู่ ๆ เสียงอุทานก็ดังฮือฮาขึ้นมา มันยิ่งทวีความดังขึ้นเรื่อย ๆ จนสะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน
เหยียนเต้าหลิน จิตรกร ชาวประมง และเติ้งจั๋วล้วนเงยหน้าขึ้นและมองออกไปไกล
พวกเขารู้ว่าทัศนาจารย์กำลังมา
…
ซูอี้มาแล้ว
หนึ่งบุคคลสัญจรลำพัง สวมใส่อาภรณ์สีเขียว สองมือไพล่หลังเดินเฉื่อยชาไร้อารมณ์มาจากท้องนภาแสนไกล
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องที่เขาผู้เดียว
เสียงอุทานเซ็งแซ่ตามมาเยี่ยงคลื่นคลั่ง สะท้อนรับกันและกันทั่วฟ้าดิน
“ใต้เท้าทัศนาจารย์… เขามาจริง ๆ ด้วย!”
หลายคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนสมองเต้นตุบขึ้นมา
“แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมาโดยไม่ได้กลับไป ทว่าความห้าวหาญที่คิดจะประลองนั้นมิอาจให้ผู้ใดครหาได้เลย”
ผู้ทรงอำนาจบางคนในกลุ่มวิญญาณอาสัญต่างเปี่ยมด้วยอารมณ์
หนึ่งยุคสมัยนั้นหานักดาบอันองอาจเช่นนี้พบได้ยาก
แม้จะเป็นในสมัยโบราณกาล ก็ยังเรียกได้ว่าหายากนัก!
“ยามหนึ่งผู้สิ้นลม สรรพสิ่งล้วนสิ้นสูญ หากข้าเป็นเขา คงเลือกกบดานอดทน เมื่อสักวันก้าวสู่ขอบเขตจุติสรวงก็ค่อยชี้ดาบสู่โลกหล้า โจมตีอริใด ๆ ทั่วฟ้าดิน”
ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากกลุ่มเต๋าโบราณกล่าวขึ้น “และแม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่ากล้าหาญยากหาผู้เทียบ ทว่า… จะกล้าไปเพื่อการใดกัน?”
เมื่อผู้อาวุโสจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถีบางผู้ได้ยินเช่นนั้น แววตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อนเล็กน้อย
สำหรับคนอื่นย่อมไม่แปลกถ้าจะประเมินเช่นนี้ ทว่าหากเปลี่ยนเป็นทัศนาจารย์แล้วผิดมหันต์!
ณ อดีตชาติของทัศนาจารย์ เหตุที่เขาสามารถใช้หนึ่งดาบสยบจักรวาลพร่างดาวได้ก็เพราะเหตุนี้
หากเขาฝืนโอนอ่อน เขาจะไม่อาจมีอดีตอันเป็นตำนานอันเรียกได้ว่าไร้ผู้เทียบทานทั่วหล้าเช่นนี้!
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ ศึกวันนี้หาเป็นธรรมไม่ ไฉนท่านจึงมาที่นี่ขอรับ?”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าถามออกไป
ซูอี้ชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มผู้นั้น
ชั่วขณะนั้น ลมหายใจของชายหนุ่มขาดห้วง เขาประหม่ายิ่งกว่าหนใด ทว่าก็ยังมองหน้าซูอี้อย่างดื้อดึงด้วยสีหน้าคาดหวังที่จะได้รับคำตอบให้จงได้
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากโลกนี้ยังมีศัตรู ข้าย่อมแสนปรีดา”
กล่าวจบ เขาก็เดินไปยังแท่นนภาม่วงที่อยู่ไกลออกไป
“หากโลกนี้ยังมีศัตรู ย่อมแสนปรีดา…อย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มพึมพำด้วยสีหน้างุนงง นี่มันตรรกะแบบใดกัน?
หลายคนในบริเวณนั้นต่างผงะเพราะมิคาดว่าจะได้คำตอบนี้จากปากทัศนาจารย์
ทว่าเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน วาจาไม่กี่คำนี้กลับให้ความรู้สึกเกินบรรยาย!
“แสนปรีดา? ในความเห็นข้า มันอาจจะเป็นความยินดีลม ๆ แล้ง ๆ ก็เป็นได้!”
เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเฉยชาจนเกิดเสียงฮือฮาไปทั่วบริเวณ
ตัวตนบรรพกาลจากตระกูลโจวโบราณอารักษ์วิถี โจวหานซานกล่าวว่า “ทัศนาจารย์ เจ้ามองสถานการณ์นี้ให้ดีเถิด แค่ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงก็มีเป็นร้อย และไม่อาจทราบได้ว่ามีคนมากมายเพียงใดลอบจ้องเจ้าอยู่ในที่ลับ!”
“เจ้า… จะยังปรีดาได้อยู่หรือ?”
สองเดือนก่อน ณ ศึกที่โรงหลอมเทวะ ซูอี้สังหารผู้ทรงอำนาจทั้งหมดจากตระกูลโจวของพวกเขา แน่นอนว่าโจวหานซานหาหลงลืมความแค้นนี้ไม่
บรรยากาศเงียบงันกดดัน ทั่วฟ้าดินเปี่ยมจิตสังหาร ชวนให้หัวใจผู้คนระรัวสั่น
“ช่างคนอื่นปะไร แล้วเจ้าเล่า ไม่ขึ้นไปแท่นนภาม่วงด้วยหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉื่อยชา
สีหน้าของโจวหานซานแข็งทื่อ ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาออกมาทันที “เจ้าแหละรอดออกมาให้ได้ก่อนเถอะ!”
ซูอี้แค่นหัวเราะและไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโจวหานซานดำคล้ำยิ่ง
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าทั้งอำนาจและตัวตนในวิถีจุติสรวงจากตระกูลโจวโบราณผู้นี้ด้อยกว่าแล้ว?
“ทัศนาจารย์ โปรดช้าก่อน”
ผู้มีอำนาจอีกคนก้าวออกมา
กิริยาทรงภูมิ ชราวัยทว่าเปี่ยมชีวิต เขาคือตัวตนบรรพกาลจงเทียนเฉวียนจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
เขายังเป็นหนึ่งในตัวตนซึ่งถูกจับตามองที่สุดในวิถีจุติสรวงปัจจุบัน และลือกันว่าเป็นผู้เรืองอำนาจในปัจจุบันคนแรกที่ได้บรรลุสู่วิถีจุติสรวง
“ว่ามา”
ซูอี้กล่าวกระชับ
“ในเทศกาลชุมนุมเซียนไม่นานมานี้ กลุ่มเต๋าและทายาทเซียนแห่งโบราณกาลบางส่วนเผยจุดยืนแล้วว่าขอเพียงเจ้ายอมศิโรราบในครึ่งปี เจ้าจะรอดชีวิต”
จงเทียนเฉวียนกล่าวช้า ๆ “ข้าใคร่รู้ว่าเจ้าคิดเช่นไร?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป เหล่าผู้ทรงอำนาจจากกลุ่มเต๋าโบราณล้วนมองซูอี้เป็นตาเดียว
ซูอี้ถามลอย ๆ “เรื่องนี้ไปเกี่ยวอันใดกับตระกูลจงของเจ้าหรือ?”
คิ้วของจงเทียนเฉวียนขมวดเข้าหากันพลางกล่าวว่า “ทัศนคติของตระกูลจงของเราเหมือนกับกลุ่มเต๋าโบราณที่มีนามว่าหอเซียนดาบมายา”
ทุกคนล้วนผงะ
วาจานี้เปรียบได้กับการประกาศอย่างชัดเจนว่าตระกูลจงของพวกเขาจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหอเซียนดาบมายา!
ซูอี้ทำเพียงแค่แค่นหัวเราะ “หากเช่นนั้น ข้าก็จะประกาศชัด ๆ ตรงนี้เลยว่าตระกูลจงของเจ้าจะถูกลบหายจากโลกหล้าภายในครึ่งปีแน่นอน”
กล่าวจบ เขาก็เดินทางขึ้นยังเขาหยั่งนภาต่อ
และวาจาของเขาก็ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในหมู่ผู้ชม ฮือฮาเซ็งแซ่ไปทั่ว
ใครเล่าจะคิดว่าวันนี้ ต่อหน้าเขาหยั่งนภาอันเปี่ยมจิตสังหาร ทัศนาจารย์ผู้มาต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลทั้งหลายจะยังมีทัศนคติห้าวหาญเพียงนี้?
จงเทียนเฉวียนอดหัวเราะลั่นไม่ได่ “หากนี่คือปัจฉิมวาจาวันนี้ของเจ้า มันจะกลายเป็นเรื่องตลกอันดับหนึ่งในโลกหล้าอย่างแน่นอน!”
วิญญาณอาสัญจากขุมกำลังโบราณล้วนขมวดคิ้ว
ทัศนาจารย์ผู้นี้มิเห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ!
“พี่ชายร่วมวิถี ระวังตัวด้วย สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งของแผนสังหารเท่านั้น!”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตของซูอี้
เขาคือจวงปี้ฟาน
เจ้าเฒ่าผู้เคยรักความโดดเด่นที่สุดในอดีต บัดนี้ยืนปะปนอยู่กับฝูงชน ดูเงียบงันไร้ความโดดเด่นอย่างยิ่ง
“ตระกูลข้าเองก็ติดต่อกับผู้ทรงอำนาจจากกลุ่มเต๋าโบราณบางคน จึงได้รู้ความลับวงในมาว่าแผนสังหารวันนี้มีโอกาสกลายเป็นศึกตะลุมบอนใหญ่สูงมาก!”
“โดยเฉพาะในกลุ่มเต๋าโบราณและทายาทแห่งเซียน พวกเขาคงทนให้อำนาจวัฏสงสารในมือเจ้าถูกผู้อื่นชิงไปไม่ได้!”
จวงปี้ฟานรีบเตือนซูอี้ผ่านกระแสปราณว่า “อย่ากระทำการบุ่มบ่ามเชียวนะ”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าน่ะ ดูต่อไปก็พอ”
เดิมที จวงปี้ฟานมีบางอย่างจะพูดต่อ ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าควรหยุดเท่านี้
‘นั่นสินะ คนผู้นี้น่าจะรู้ความจริงของแผนสังหารนี้จากที่อื่นมาบ้างแล้ว…’
จวงปี้ฟานครุ่นคิด
ผู้ที่อยู่ในละแวกเขาหยั่งนภาแทบทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในวิถีจุติสรวงจากฝ่ายต่าง ๆ พวกเขามีกันนับร้อยคน ปราณร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
คนทั่วไปไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ด้วยหวาดกลัวว่าจะมิอาจรับแรงกดดันเช่นนี้ไหว
ทว่าซูอี้กลับดูไร้ปฏิกิริยา
ดวงตาของเขาไร้ทุกข์สุข สิ้นอารมณ์ใด ๆ ราวกับตัวตนทั้งหลายในวิถีจุติสรวงเป็นศิลา มดและหย่อมหญ้า
จนกระทั่งร่างของซูอี้มาถึงยอดเขาหยั่งนภา
ทุกสายตาล้วนจับจ้องเป็นตาเดียว
ศึกแห่งพันธสัญญานี้กำลังจะบังเกิด!
ฝั่งหนึ่งคือยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวผู้เหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวง และเป็นตัวตนที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดทั่วจักรวาลพร่างดาวมานาน
อีกฝั่งคือทัศนาจารย์!
ทุกคนสังหรณ์ว่าศึกยืดเยื้อหนนี้จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของครรลองทั่วจักรดาราตงเสวียน!
…
ท้องนภาสว่างไสว เมฆาม่วงละล่องพลิ้ว
แท่นนภาม่วงตั้งอยู่บนยอดเขาหยั่งนภา
เมื่อเห็นซูอี้เดินมาหา เหยียนเต้าหลิน ชาวประมง เติ้งจั๋วและจิตรกรล้วนหยุดเคลื่อนไหว
พวกเขายืนกระจายตามจุดต่าง ๆ ด้วยท่าทีสุขุม
และร่างของพวกเขาแต่ละคนก็มีอำนาจวิถีเต๋าก่อตัว ทั้งมิอาจมองเห็น ดุดันเยี่ยงอสนีบาต ยิ่งใหญ่เยี่ยงสมุทรกว้าง สูงส่งประหนึ่งควันแสง หรือเย็นยะเยือกเยี่ยงน้ำค้างเหมันต์
ทั่วฟ้าดินเปี่ยมจิตสังหาร ท้องนภากระจ่างแสงหม่นสี เมฆาม่วงบนอากาศสลายไปอย่างเงียบงัน
อำนาจอันไม่อาจมองเห็นเปลี่ยนแปลงเป็นสายลมพัดอาภรณ์เขียวของซูอี้ให้กระพือไหว
“ศึกนี้ช่างไร้เกียรติยิ่ง และข้ายิ่งละอายที่เจ้ามา”
เติ้งจั๋วกล่าวเบา ๆ
ในฐานะตัวตนผู้ก้าวสู่วิถีจุติสรวง ช่างรู้สึกไร้เกียรติที่จะมารวมกลุ่มกันต่อสู้กับทัศนาจารย์
“ในเมื่อมันเป็นการสะสางหนี้แค้นในอดีต ตัดสินแพ้ชนะเป็นตาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกียรติยศใด ๆ หรอก ยามเริ่มศึก เจ้าลงมือได้เต็มที่เลย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
เติ้งจั๋วผงะไป ก่อนจะพยักหน้ากล่าว “มันจะเป็นเช่นนั้น”
เหยียนเต้าหลินลุกขึ้น ดวงตากวาดมองคนทุกผู้ไกลออกไปขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “จากนี้ไป หากผู้ใดเข้าแทรกแซงศึกนี้ ข้าจะไม่ไว้หน้า!”
น้ำเสียงของเขาสะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน เคลื่อนคล้อยแสนไกล
เหล่าผู้ชมเงียบสนิท พวกเขาแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป
ชาวประมงพลิกฝ่ามือ ม้วนหยกม้วนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น “ช่างเสื้อเฒ่ากล่าวไว้ว่าขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะมอบม้วนหยกนี้ให้ มันบอกว่าสิ่งนี้คือคำตอบของสิ่งที่เจ้าต้องการทราบ แม้ไอ้แก่นี่จะชั่วช้า ทว่าในเมื่อรับปากแล้ว เขาจะมิผิดคำสัตย์”
ซูอี้ว่า “งั้นให้เจ้าเก็บไว้ก่อน”
“ทัศนาจารย์ ก่อนจะสู้กัน ข้าขอวาดภาพให้เจ้าสักภาพได้หรือไม่?”
จิตรกรพลันกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะหยิบพู่กันด้ามเรียวออกมาด้ามหนึ่ง
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “เจ้ามีเจตนาอันใด?”
จิตรกรกล่าวอย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เพื่อมิให้ชนรุ่นหลังลืมมรดกของเจ้าไง”
จุดประสงค์ของการวาดภาพก็คือการสลักใบหน้าทัศนาจารย์ก่อนตาย!
ใครเล่าจะไม่ได้ยินว่าเกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้ชม วาจาอันดูจริงจังนี้แท้ที่จริงคือคำยั่วยุอย่างนั้นหรือ?
“ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เจ้าจิตรกรมิควรมาอยู่ในสายตาข้าที่สุด”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ขณะกล่าว “ตลอดเวลามานี้ แม้จะเป็นอริเหมือนกัน แต่พวกเจ้าล้วนมีบางสิ่งคู่ควรให้มอง”
“ทว่ายามนี้ พวกเจ้ากลับเต็มใจร่วมมือกับช่างเสื้อวางแผนสังหารขึ้นที่นี่ นับแต่ข้าได้ทราบเรื่อง ข้าก็ผิดหวังในตัวพวกเจ้าแล้ว”
เติ้งจั๋วถอนใจเบา ๆ
ชาวประมงหาได้ใส่ใจไม่
เหยียนเต้าหลินดูสุขุมราวกับเมินวาจานั้นไป
จิตรกรเสสรวลพลางกล่าวว่า “คนตายมีสิทธิ์อันใดมาผิดหวังในตัวข้า? วาจาเหล่านี้แหละที่มิเข้าหูที่สุด”
ซูอี้เมินเขาไป
เขานำไหสุราออกมากระดกดื่ม “ไม่ต้องมากความหรอก วันนี้ที่นี่ เราตัดสินเป็นตาย สะสางหนี้แค้นกัน!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวออกมา ท้องนภาก็มืดหม่น วายุเมฆาเปลี่ยนทิศ ทั่วบริเวณไร้วจี
………………..