บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1347: เล่นกับไฟ?
ตอนที่ 1347: เล่นกับไฟ?
ภายใต้ท้องนภา เพลิงสงครามลุกโชน
แสงศักดิ์สิทธิ์จางหายเยี่ยงดอกไม้ไฟโรยรา
อาภรณ์สีเขียวของซูอี้สะบัดพลิ้ว ดาบแห่งโลกาในมือคำรนสั้น ๆ
ร่างสูงใหญ่ของเขายืนตระหง่าน สะอาดสะอ้านไร้รอยขีดข่วน!
ณ อีกฟากฝั่ง ทั้งชาวประมง จิตรกร เติ้งจั๋ว และเหยียนเต้าหลินล้วนบาดเจ็บถ้วนหน้า กิริยาละอายเล็กน้อย
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบ
ผู้คนมากมายอึ้งตะลึง
ต่อสู้ตัวต่อตัว จิตรกรไม่อาจเอาชนะ
แต่เมื่อสี่รุมหนึ่ง จิตรกรและสามยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวอื่น ๆ ก็เอาชนะไม่ได้อยู่ดี!
ภาพนี้ทำให้ตัวตนในวิถีจุติสรวงซึ่งมองอยู่ห่าง ๆ ล้วนประหวั่นพรั่นพรึง สีหน้ายากเข้าใจ ตะลึงถึงทรวง
“เดิมข้าคิดว่าหลังก้าวสู่วิถีจุติทรวง ข้าจะสามารถล้างอายเอาชนะเจ้าทัศนาจารย์ด้วยวิถีเต๋าของข้าได้ ทว่าใครเล่าจะคิด ว่าท้ายที่สุดข้าจะยังด้อยกว่าเจ้าอยู่ดี…”
เติ้งจั๋วกล่าว
สีหน้าขมขื่นผิดหวังปรากฏขึ้นเล็กน้อย
ชาวประมงสงบวจี สีหน้ายากอ่านออก
เหยียนเต้าหลินปาดโลหิตที่มุมปาก ถอนใจเบา ๆ
สีหน้าของจิตรกรดำสนิทเยี่ยงก้นบ่อน้ำ
เหมือนเช่นเติ้งจั๋วว่า หากนี่เป็นศึกวัดอำนาจมหาวิถี พวกเขาก็พ่ายไปแล้ว!
กล่าวคือ พวกเขารอมาแสนนาน จนสุดท้ายก็ก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ ทว่ากลับพบว่ายังไม่อาจสู้ทัศนาจารย์ในด้านอำนาจมหาวิถีได้อยู่ดี!
เหตุนี้กระทบจิตใจอย่างรุนแรงสาหัสโดยไร้กังขา
“ก็แค่พึ่งอำนาจวัฏสงสาร หากพวกข้ามีอำนาจมหาวิถีเช่นนี้เหมือนกัน ไฉนเลยจะสู้ไม่ได้?”
จิตรกรกล่าวอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจจะแพ้ “แลดูทั่วโลกหล้านี้ มีใครเล่าเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ได้สองรอบ? ตลอดกาลนานมาแต่โบราณไร้วัฏสงสารไม่เหลือเค้า ย่อมไม่มีผู้ใดผิดปกติได้เช่นเขา!”
ซูอี้อดกล่าวขำ ๆ มิได้ “เอาชนะไม่ได้เลยเริ่มบ่นอีกแล้วหรือ? ไฉนเจ้ายังใช้แต่ลูกไม้เดิม ๆ ไม่สร้างสรรค์เลยเล่า!”
“หรือมีใครว่าข้าพูดผิด?”
ขณะที่จิตรกรกำลังจะกล่าวต่อ เติ้งจั๋วก็ขมวดคิ้วกล่าวขัด “พอแล้ว! ไม่อายบ้างหรือไร?”
เหยียนเต้าหลินก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “น่าละอายจริง ๆ”
ชาวประมงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “จิตรกร อย่าโกรธไป แม้ทัศนาจารย์จะไม่เวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เจ้าว่าในยุคนี้ ใครเล่าจะก้าวสู่วิถีจุติสรวงเป็นคนแรก? ในขอบเขตเดียวกัน เจ้า… แน่ใจหรือว่าจะเป็นคู่ต่อกรให้เขาได้?”
จิตรกรพลันสงบวาจา สีหน้าแข็งทื่อ
เมื่อทุกผู้เห็นเช่นนี้จากไกล ๆ ก็อดรำพึงมิได้ จริงเช่นที่ทัศนาจารย์กล่าวก่อนหน้านี้ หากเทียบกับพวกเหยียนเต้าหลินแล้ว พฤติกรรมของจิตรกรนั้นไม่สมควรอยู่ในสายตากว่าผู้อื่นจริง ๆ
“ในเมื่อเจ้าคิดตัดสินเป็นตาย จะปกปิดไปก็เท่านั้น รีบใช้ไพ่ตายออกมาเร็ว”
ซูอี้นำไหสุราออกมาจิบดื่มแล้วกล่าวเบา ๆ
ศึกนี้ พวกชาวประมงแข็งแกร่งยิ่งอย่างจริงแท้ นำความประหลาดใจมาให้เขาได้มากมาย
ทว่ากลับไม่มีแผลสักนิด ดังนั้นยามร่ำสุราจึงอารมณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย
ชาวประมง เติ้งจั๋วและคนอื่น ๆ มองหน้ากัน สีหน้าปรากฏความแน่วแน่
จริงด้วย นี่หาใช่การประลองวัดผลไม่ แต่เป็นการตัดสินเป็นตาย ดังนั้นจึงควรทุ่มทุกสิ่ง ทำทุกอย่าง!
“ขึ้นมา!”
ชาวประมงชิงลงมือ เขาสูดหายใจลึก ๆ และใช้ตราประทับวิถีโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งสลักสองอักษรโบราณ ‘แดนธรณี’ แสงเซียนพร่างพรมสะเทือนสั่นทั่วฟ้าดิน
“คนผู้นี้ได้ตราประทับแดนธรณีไปหรือ?”
ไกลออกไป เหล่าวิญญาณอาสัญจากกลุ่มเต๋าโบราณล้วนตะลึงและจำสมบัตินี้ขึ้นได้
ตราประทับแดนธรณี!
หนึ่งในสมบัติจุติสรวงอันเลื่องชื่อแห่งโบราณกาล หนึ่งใน ‘เก้ามหาตราประทับวิถีใต้นภา’ ซึ่งลือกันว่าถูกหลอมสร้างขึ้นโดยเซียน อำนาจเกินคาดหยั่ง ทำให้ยอดคนจุติสรวงใด ๆ ตาลุกวาวปรารถนาครอบครอง!
“โชคร้ายที่สมบัตินี้เสียหาย เห็นได้ชัดว่าถูกกระทบกระเทือนจากหายนะ”
บางผู้นึกเสียดายที่ตราประทับแดนธรณีนี้มีรอยไหม้สะดุดตาอยู่
แต่ถึงกระนั้น ทันทีที่สมบัตินี้ปรากฏ อำนาจร้ายกาจก็ยังชวนให้ผู้คนตัวสั่นได้อยู่ดี
ตู้ม!
ตราประทับวิถีเคลื่อนคล้อย ทะยานเข้าหาซูอี้
ชั่วขณะนั้น แสงเซียนพร่างพรมเยี่ยงน้ำตก เงาแห่งโลกากว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสามพันแห่งปรากฏขึ้น หัวใจทุกผู้บีบรัดอึดอัด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
อำนาจสมบัตินี้ทรงพลังเกินไป ทำให้กระทั่งตัวตนในขอบเขตจุติสรวงเหล่านั้นจำต้องโคจรอำนาจมหาวิถีเพื่อต้านแรงกดดัน
ตู้ม!
ซูอี้เหวี่ยงสะบัดดาบแห่งโลกาอย่างรุนแรง ภาวะดาบทรงพลังทะยานตรง บดขยี้เงาลวงแห่งโลกหล้าไปมิอาจคณานับ
ทว่า เมื่อตราประทับแดนธรณีเรืองประกาย มันก็ถล่มทับภาวะดาบของซูอี้ อำนาจเกรียงไกรถูกปล่อยออกมาผลักร่างของซูอี้โซเซถอยหลัง
ทุกผู้ล้วนตะลึง!
เช้ง!
แทบจะในยามเดียวกับที่ซูอี้เซถอย ดาบหักเล่มหนึ่งก็แหวกนภาเข้ามาหา
ดาบหักเล่มนี้มาจากมือของเติ้งจั๋ว ยาวเพียงสองฉื่อ ด่างดำด้วยจุดสนิม ตัวดาบแดงดูราวเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือดถ้วนทั่ว
ดาบยังค้างกลางอากาศ ปราณดาบสีแดงสดเยี่ยงโลหิตก็ย้อมนภาให้แดงฉาน ส่งวจีเลือนลั่นเยี่ยงอาชาเหล็กทองคำตะบึงผ่าน
เคร้ง!!!
ซูอี้รับดาบไว้ ทว่าก็ถูกดีดกระเด็นไปอีกหน
อำนาจของดาบหักเล่มนี้ร้ายกาจเหนือจินตนาการ แตกต่างมิอาจเทียบได้กับสมบัติจุติสรวงทั่ว ๆ ไปราวฟ้ากับเหว
“ดูเหมือนนั่นจะเป็น… ดาบเซียนดื่มโลหิต?”
ไกลออกไป วิญญาณอาสัญทั้งหลายล้วนตะลึงอึ้ง
ในโบราณกาลอันมีเซียนอยู่ในโลกหล้า ย่อมต้องมีสมบัติเซียนอยู่เป็นแน่แท้
และดาบเซียนดื่มโลหิตนี้ก็เป็นดาบเซียนอันดุดันลือนาม เล่ากันว่าถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเซียนมารอหังการไร้คู่เปรียบผู้หนึ่ง ดื่มโลหิตของศัตรูร้ายมามากมาย!
“สยบ!”
“สะบั้น!”
หลังได้โอกาส ชาวประมงก็ใช้ตราประทับแดนธรณี เติ้งจั๋วใช้จิตสั่งการดาบเซียนดื่มโลหิตให้โจมตีโดยมิหยุดยั้ง
“ดี ดี ดี!”
เมื่อถูกต้อนให้เป็นฝ่ายรับการโจมตี ซูอี้หาลนลานไม่ ทว่ากลับยินดีปรีดา ดวงตาโชติช่วง จิตต่อสู้ถูกปลุกเร้าขึ้นอย่างสมบูรณ์
ตู้ม!
บรรยากาศรอบกายเขาแปรเปลี่ยนกะทันหัน อหังการไร้พันธนาการ โจมตีฟาดฟันเต็มกำลัง
ในพริบตา ดาบแห่งโลกาก็ระเบิดปราณฮุ่นตุ้น สาดแสงดาบปกคลุมนภา ต้านการโจมตีของชาวประมงและเติ้งจั๋วไว้ได้
ทว่า แทบจะในยามเดียวกันนั้น จิตรกรและเหยียนเต้าหลินก็โจมตีเข้ามาแล้ว
จิตรกรถือดาบหยกดำปลายมนเล่มหนึ่งในมือ ทุกครั้งที่โจมตี หนึ่งบรรพตเซียนก็ทะยานขึ้นสยบทับ อำนาจร้ายกาจน่าสะพรึง
เหล่าวิญญาณอาสัญจากโบราณกาลล้วนรู้ในทันทีว่ามันคือ ‘ดาบปลายมนบรรพตเซียน’ แม้จะไม่ใช่อาวุธเซียนโดยแท้จริง แต่ก็เป็นสมบัติจุติสรวงสูงสุด ณ บรรพกาลเช่นกัน!
ส่วนเหยียนเต้าหลินนำกล่องดาบสำริดออกมาใบหนึ่ง!
กล่องดาบใบนั้นยาวสี่ฉื่อ กว้างหนึ่งฉื่อ เป็นสีดำสนิทเปี่ยมละอองแสงเยี่ยงหมู่ดาว
เหยียนเต้าหลินใช้สองมือฟาดกล่องดาบเยี่ยงถือดาบยักษ์เล่มหนึ่ง ยามฟาด แดนดินใกล้เคียงก็ถล่มสลายเยี่ยงทำจากกระดาษ แข็งแกร่งกดดันยิ่ง
ยามดาบแห่งโลกาของซูอี้เข้าปะทะ มันก็ให้ความรู้สึกราวกระแทกเข้ากับเสาค้ำสวรรค์ มิอาจสะท้านสะเทือนถึงมันได้แม้แต่น้อย
“นี่มันสมบัติแบบใดกัน?”
ทว่าทุกผู้ล้วนเห็นโดยทั่วกันว่ากล่องดาบสำริดนี้ร้ายกาจยิ่ง มันทรงพลังมิอาจสั่นคลอน ทุกการโจมตีฟาดออกไปเยี่ยงเทพสวรรค์ถอนเสาค้ำสรวงออกมาฟาดลงสู่หล้า!
เปรี้ยง!
สุญญะในรัศมีสามพันจั้งใต้ท้องนภาปั่นป่วนมิเหลือดี
สารพัดสมบัติวิถีอันทรงพลังก่อเกิดคลื่นทำลายล้าง สะเทือนสั่นทั่วฟ้าดิน ตะวันจันทราดับรัศมี
ทุกผู้ล้วนเห็นว่าหลังใช้ไพ่ตายของแต่ละคนออกมา สี่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวล้วนแตกต่างจากยามก่อนอย่างเห็นได้ชัด
และซูอี้ก็ตกสู่สถานการณ์อันตราย!
ในพริบตา ร่างของเขาก็เริ่มบาดเจ็บ อาภรณ์แหว่งวิ่น แผลบนร่างเริ่มเปิดให้โลหิตรินไหล
ภาพนี้ทำให้หัวใจใครหลายผู้เต้นกระตุก กระวนกระวายยิ่งกว่าหนใด
ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงซึ่งมองอยู่จากไกล ๆ ล้วนถอนใจโล่งอก อารมณ์ดีขึ้นโดยถ้วนหน้า
นับแต่เริ่มสงคราม ในที่สุดทัศนาจารย์ก็บาดเจ็บ!
มิต้องสงสัยเลยว่าเรื่องดำเนินไปในทางดี
จริงดังว่า ช่วงกาลต่อมา ร่างของซูอี้ก็เริ่มบาดเจ็บต่อเนื่องขึ้นเรื่อย ๆ โลหิตเปรอะอาภรณ์ สถานการณ์เกินรับไหวมากขึ้นทุกขณะ
“สี่ตัวตนสูงสุดในขอบเขตจิตทารกขั้นต้น ใช้อาวุธสังหารสูงสุดของแต่ละคน หากยังรับมือทัศนาจารย์ไม่ได้ นั่นต่างหากเรียกว่าผิดปกติ!”
จงเทียนเฉวียนกล่าวลอย ๆ
“ไม่ว่าอย่างไร ทัศนาจารย์ก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะล้ำเลิศอันดับหนึ่งในอดีตกาล แม้วันนี้จะตายตก เกียรติภูมิก็หาเสียหายไม่”
โจวหานซานรำพึง
เหล่าวิญญาณอาสัญแห่งโบราณกาลล้วนมีสีหน้าแตกต่าง บางยิ้มเยาะ บ้างสงสาร บ้างชื่นชม… และอื่น ๆ
ทว่าไม่ว่าจะเป็นชาวประมง เติ้งจั๋ว จิตรกร หรือเหยียนเต้าหลินล้วนไร้ซึ่งความทะนงในสีหน้า ทว่ากลับยิ่งเคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ และการโจมตีก็ถี่รัวขึ้นทุกหน!
ตลอดกาลนานมา พวกเขาต่อสู้กับทัศนาจารย์มาเกินคณานับ มีหรือจะไม่เข้าใจกระจ่างถึงความน่ากลัวของทัศนาจารย์?
แม้เขาจะอยู่ในสถานการณ์คับขัน ณ ขณะนี้ ก็มิอาจนิ่งนอนใจได้
ทันใดนั้น เสียงตะโกนของเติ้งจั๋วก็ดังขึ้นในสนามรบ
“ทัศนาจารย์ ถึงยามใช้ไพ่ตายแล้ว มิแสดงออกมาสักหน่อยเล่า?”
หนึ่งวาจาปลุกทุกผู้จากภวังค์
เหล่าสักขีพยานนอกสนามรบล้วนตาสว่าง ศึกดุเดือดตลอดมานี้ ทัศนาจารย์ยังไม่งัดไพ่ตายออกมาใช้!
ทัศนาจารย์น่ะหรือจะไร้ไพ่ตาย?
ไม่มีทางแน่!
ศึกบนแท่นนภาม่วงนองเลือดเปี่ยมจิตสังหาร ในเมื่อทัศนาจารย์กล้ามาตามนัดหมายลำพัง มีหรือจะมากับดาบเล่มเดียว?
“ขอเล่นอีกสักหน่อยนะ”
ซูอี้ตอบกลับยิ้ม ๆ
หนึ่งประโยคเลื่อนลอยทำให้เปลือกตาของพวกเติ้งจั๋วกระตุก
เรื่องนี้ดูผิดปกติอย่างมาก ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวทั้งสี่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายามนี้พวกเขากลับดูร้อนรนอย่างยิ่ง สีหน้าจริงจังยิ่งกว่าหนใด
ภายใต้การโจมตีเช่นนี้ บาดแผลของซูอี้จึงร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ
โลหิตหลั่งรินทั่วร่าง ชวนให้ตกใจขนลุก และยังทำให้เหล่าสักขีพยานกระวนกระวาย หัวใจจุกอยู่ในคอ
หากนี่เรียกว่าเล่น ก็เป็นการเล่นกับไฟโดยแท้!
“ทัศนาจารย์ ยามนี้ร่างวิถีของเจ้าเสียหาย พลังกายร่อยหรอ จากสภาพของเจ้า ต่อให้งัดไพ่ตายออกมา ท้ายที่สุดแม้จะพลิกสถานการณ์ได้ แต่เจ้ามองรอบ ๆ แท่นนภาม่วงนี้ก่อน ศัตรูร้ายกดดัน ฝูงหมาป่าจ้องมอง ท้ายที่สุดเจ้าก็ตายอยู่ดี!”
เหยียนเต้าหลินปริปากกล่าวเสียงเข้มราวกับจะเตือนซูอี้ ทว่าแท้จริงคือการโจมตีหัวใจ!
ซูอี้เสสรวลกล่าว “เจ้าเองก็รีบร้อนเพราะไม่อาจปราบข้าลงได้มาช้านานหรือ?”
สงครามยังคงคุกรุ่น สถานการณ์ของซูอี้ร้ายแรงขึ้นทุกครา ทว่าพวกเขาก็มิอาจปฏิเสธได้ว่ารู้สึกกระวนกระวายอยู่น้อย ๆ จวบยามนี้จริง ๆ
“ก็ได้ อย่าให้ศัตรูอื่นรออย่างกระวนกระวายเกินไป ถึงกาลสะสางความแค้นระหว่างเราแล้ว”
ดวงตาของซูอี้กวาดมองไกล ๆ ขณะกล่าว
ม่านตาของชาวประมง จิตรกร เหยียนเต้าหลินและเติ้งจั๋วหดตัวโดยพร้อมเพรียง ระแวดระวังตัวยิ่งกว่าหนใด และต่างทุ่มกำลังโจมตีเต็มที่
ซูอี้แย้มยิ้มราวหาใส่ใจไม่ “เริ่มที่จิตรกรแล้วกัน”
ดาบแห่งโลกาในมือของเขาสั่นสะท้าน ตัวดาบสีครามทองระเบิดแสงเจิดจรัสไร้ประมาณ และซูอี้ก็ยกแขนขวาขึ้นแทงตรงบนอากาศ
เคร้ง!!
ดาบหยกดำปลายมนของจิตรกรกระเด็นหลุดมือท่ามกลางเสียงสนั่นลั่น
ดาบแห่งโลกาหาผ่อนแรงลงไม่ มันทะยานตรงทะลวงผ่านอกของจิตรกร ยามปลายดาบทะลวงออกจากหลังของเขา โลหิตแดงฉานก็หลั่งริน
………………..