บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1348: ความลับของดาบเก้าสวรรค์
………………..
ตอนที่ 1348: ความลับของดาบเก้าสวรรค์
ในสายตาคนทุกผู้ ร่างของซูอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูราวกับพร้อมดับดิ้นทุกชั่วกาล
วิญญาณอาสัญบางตนจากกลุ่มเต๋าโบราณกระทั่งเตรียมพร้อมแทรกแซงด้วยคิดว่าศึกใกล้อวสาน ถึงกาลเหมาะสมลงมือ
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าหนึ่งดาบจะทะลวงอกของจิตรกรได้ทันที!
ดุจเทพลากพู่กัน กะทันหันอหังการ ลัมล้างความคิดฝันของทุกคนโดยสิ้นเชิง
เหยียนเต้าหลิน ชาวประมงและเติ้งจั๋วล้วนสีหน้าผันแปรมหันต์ ขาก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว หัวใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
พวกเขาอยู่ใกล้ที่สุด ทว่ากลับมิอาจเห็นเลยว่าซูอี้ใช้ไพ่ตายใดจึงสำแดงอำนาจของดาบอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ออกมาได้
“เจ้า…”
ดวงตาของจิตรกรเบิกกว้างด้วยความเชื่อไม่ลง “ในเมื่อเจ้ามีไพ่ตายเช่นนี้ ไฉนต้องรอให้บาดเจ็บก่อนจึงค่อยใช้เล่า?”
“ตกใจหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างขอโทษขอโพย “โทษข้าเถอะที่รักสนุกไปหน่อย”
“รักสนุก?”
จิตรกรโกรธเสียจนขบฟันแทบแหลก นี่มันเหตุผลบ้านไหนกัน?
เหล่าสักขีพยานที่อยู่ไกลออกไปล้วนสิ้นวจี นี่คือความรักสนุกจริง ๆ หรือ?
เปรี้ยง!
ร่างของจิตรกรแหลกสลาย ปราณดาบอันร้ายกาจแผ่กระจายมลายสิ้นพลังชีวิตทั้งมวล
“ทัศนาจารย์ ก่อนตาย ตอบคำถามข้าสักข้อได้หรือไม่?”
เสียงของจิตรกรดังขาด ๆ หาย ๆ
“ว่ามา”
ซูอี้พยักหน้า
น้ำเสียงของจิตรกรแผ่วลงขณะดวงตามืดมัวมากขึ้นทุกขณะ
ซูอี้เงียบไป
ทว่าจิตรกรดูจะเข้าใจ เขาหัวเราะกับตนเองพลางรำพึง “ก่อนตาย… ข้าเพิ่งได้รู้… การอยู่ในยุคสมัยเดียวกับเจ้า ช่าง… น่าผิดหวังเสียนี่กระไร”
เสียงยังมิทันขาดหาย เขาก็ดับดิ้นไปเสียแล้ว
ภาพนี้ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึง ผู้เฒ่าบางคนกระทั่งสะเทือนใจกว่าใคร
จิตรกรคือบรรพชนของโรงวาดฤทัย!
เขาโด่งดังอยู่ในชั่วขณะหนึ่ง ชื่อเสียงสะเทือนจักรวาลพร่างดาวและเป็นที่ยกย่องในโลกหล้า
ทว่ายามนี้ ตัวตนในตำนานผู้นี้กลับดับสูญ!
ซูอี้ยกไหสุราขึ้นคารวะขณะกล่าวเบา ๆ “แม้ข้าจะไม่เคยเห็นหัวเจ้า ทว่าก็กล่าวได้ว่าเจ้าเป็นคนรู้จักผู้หนึ่ง สุราจอกนี้ข้าดื่มให้เจ้า”
กล่าวจบ เขาก็เชิดหน้าจิบหนึ่งอึก
จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวกับพวกชาวประมง “ต่อเลยหรือไม่?”
“แน่นอน”
สีหน้าของเติ้งจั๋วสงบเงียบ
“ให้ข้าไปก่อนเถอะ”
เหยียนเต้าหลินกล่าวพลางนำกล่องดาบสำริดวางไว้เบื้องหน้าขณะจ้องซูอี้ตรง ๆ “ในกล่องดาบนี้มีดาบอารักษ์หอเก้าสวรรค์ของข้าอยู่ มันมีนามว่า ‘เก้าสวรรค์’”
จากนั้นเขาก็เปิดกล่องดาบ
ตู้ม!
วจีดาบหนาหนักก้องกังวานทั่วฟ้าดิน
ภายในกล่องดาบนั้นมีดาบวิถีเรียบง่ายที่มีความยาวสามฉื่อเล่มหนึ่ง สิ่งเดียวที่สะดุดตาคือดาบเล่มนี้เปี่ยมด้วยบรรยากาศการผันแปรแห่งกาลเวลา
“ที่แท้ก็เป็นดาบเล่มนี้”
ซูอี้ย้อนนึกได้ว่าในหมู่ศิษย์สังกัดหอเก้าสวรรค์ ทุกคนต้องทำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีต่อดาบวิถีเล่มหนึ่ง ทว่าจนกระทั่งยามนี้ นอกจากเหยียนเต้าหลิน ก็ไร้ผู้ใดในหอเก้าสวรรค์รู้ที่มาของดาบเล่มนี้!
ขณะนี้ ดาบวิถีเล่มนั้นก็ถูกเผยแก่สายตาคนทุกผู้
เหยียนเต้าหลินหยิบดาบเก้าสวรรค์ออกมา จากนั้นจึงโยนกล่องดาบทิ้งไปและกล่าวว่า “เมื่อนานมาแล้ว ดาบเล่มนี้ถูกช่างเสื้อนำไปผนึกตราลับไว้ตราหนึ่ง และเขายังบอกอีกว่ายามใช้ดาบนี้ต่อกรกับเจ้า มันจะพาเจ้าไปสู่หายนะ”
ทุกคนล้วนตะลึง สายตาหันมองเป็นตาเดียว
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเงียบ ๆ
ตู้ม!
เหยียนเต้าหลินส่งจิตสั่งการดาบเก้าสวรรค์ฟาดฟันใส่ซูอี้อย่างเต็มกำลัง
ดาบนั้นดูราวกับฟาดฟันลงมาจากเก้าชั้นสรวง ภาวะดาบขาวโพลนปกคลุมไปทั่วทศทิศ
ซูอี้ฟาดดาบแห่งโลกาเข้าสลายการโจมตีถึงตายนี้
ทว่ายามนั้นเอง ในภาวะดาบอันแหลกสลาย อำนาจผนึกลับประหลาดสายหนึ่งระเบิดออก หนึ่งเงาร่างลวงตาปรากฏราวหมู่เมฆท่ามกลางแสงเหนือสรวง สะท้อนในห้วงความนึกคิดของซูอี้
ภาพลวงตานั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้มีภาพลักษณ์โดดเด่นในอาภรณ์ขาวดุจหิมะผู้หนึ่ง!
เปรี้ยง!
ในห้วงความนึกคิด ดาบเก้าคุมขังสะท้านสั่นสะเทือนไหว ตรวนอันผนึกกรรมวิถีอดีตชาติของเสิ่นมู่ไว้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
และตรวนนั้นก็ระเบิดเปรี้ยงก่อนจะหายไป
ขณะเดียวกัน ร่างหนึ่งอันเปลี่ยนมาจากพลังกรรมวิถีก็ปรากฏขึ้น รูปลักษณ์โดดเด่น อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ เหมือนเช่นเงาร่างลวงตานั้น!
เสิ่นมู่!
ซูอี้ขมวดคิ้ว และในที่สุดก็เข้าใจ
ภาพลวงตาอันสร้างจากอำนาจผนึกลับของดาบเก้าสวรรค์นั้นคือเสิ่นมู่ และภาพลวงตานี้เองที่ปลุกกรรมวิถีอดีตชาติของเสิ่นมู่ในตรวนเส้นที่แปดออกได้!
ขณะครุ่นคิดเช่นนี้เอง
เหยียนเต้าหลิน เติ้งจั๋ว และชาวประมงก็โจมตีเข้ามาแล้ว
ทั้งสามคนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซูอี้ดูเหม่อลอย สภาพจิตใจเว้าแหว่ง มีหรือจะพลาดโอกาสงามเช่นนี้ได้?
ตู้ม!!
ร่างของซูอี้ปลิวกระเด็น ร่างบาดเจ็บสาหัส โลหิตทะลักเยี่ยงน้ำตก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนล้วนตะลึงระคนอุทาน
ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงเหตุพลิกผันนี้
เพราะถึงอย่างไร ก่อนหน้านี้ ซูอี้ก็เพิ่งสังหารจิตรกรไปอย่างง่ายดาย เผยอำนาจร้ายกาจเหลือเชื่อ
ทว่าหลังจากเหยียนเต้าหลินใช้ดาบเก้าสวรรค์ ซูอี้ก็ราวกับได้รับผลกระทบหนักเสียจนเผยช่องโหว่กลางศึกจนถูกซัดกระเด็นไป!
“มิต้องสงสัยเลยว่าดาบเก้าสวรรค์เล่มนี้มีอำนาจเพียงพอกระทบจิตใจทัศนาจารย์!”
หลายคนเห็นแล้วก็อดสะเทือนใจมิได้
สีหน้าของซูอี้ในเวลานี้อ่านแทบไม่ออก เขาต้องแยกจิตเป็นสองส่วน ขณะรบกับศัตรูร้ายก็ต้องให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงในห้วงความนึกคิดด้วย
…
“เสวี่ยหลิว เจ้ามาหาข้าแล้วหรือ?”
ในห้วงความนึกคิด ‘เสิ่นมู่’ ผู้แปรเปลี่ยนมาจากอำนาจกรรมวิถีอดแสดงความประหลาดใจและตื่นเต้นไม่ได้ยามพบกับเงาลวงตนที่เหมือนกับตนทุกประการ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสิ่นมู่เชื่อว่าการปรากฏของเงาหลอนนั้นเกี่ยวพันกับเซียนเสวี่ยหลิว!
สิ่งนี้แทบทำให้ซูอี้หัวเราะอย่างเดือดดาล
เจ้าคนงมงายในรักผู้นี้กลายเป็นอำนาจกรรมวิถีไปแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงสตรีผู้ฆ่าเขา!
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะกล่าวมากความ เขาควบคุมร่างเจตจำนงก่อนจะกล่าวตรง ๆ “ฆ่าเงาหลอนนั่นเสีย จากนั้นก็อยู่นิ่ง ๆ ว่าง่ายที หลังจากศึกวันนี้จบลง ข้าจะอธิบายเหตุผลกับเจ้า”
เสิ่นมู่อึ้งไป
ยามนี้ เงาลวงตาชี้มายังซูอี้ขณะกล่าวว่า “นี่คือร่างเวียนวัฏของเรา เจ้าก็แค่ต้องชิงร่างวิถีเขาเสียหากจะไปพบแม่นางเสวี่ยหลิว”
เสิ่นมู่ลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ตู้ม!
ห้วงความนึกคิดสะท้านไหว ซูอี้ลงมือสังหารร่างเงานั้นทันที
ทว่าเสิ่นมู่ขวางเขาไว้!
“สหายเต๋า ร่างลวงตานี้แปลงมาจากเจตจำนงที่ข้าในอดีตชาติทิ้งไว้ มันจึงเป็นส่วนหนึ่งของข้า หวังว่าสหายเต๋าจะเมตตาด้วย”
เสิ่นมู่อธิบาย
ซูอี้แสนปวดเศียร
เขากำลังสู้กับพวกเหยียนเต้าหลินอยู่ มีหรือจะทนเรื่องไร้สาระเช่นนี้?
เขาแน่ใจว่าหากไม่ทำลายเงาหลอนนั่น กรรมวิถีอดีตชาติของเสิ่นมู่จะกลายเป็นตัวแปร และบางทีอาจฉวยโอกาสระหว่างทำศึกเข้าแทรกแซงห้วงความนึกคิด ควบคุมร่างวิถีของเขาก็เป็นได้!
ซูอี้หรือจะทนสถานการณ์เช่นนี้ได้?
ซูอี้กล่าวตรงประเด็น “เจ้าจะยึดร่างของข้าหรือไม่?”
“ไม่ล่ะ!”
เสิ่นมู่ตอบโดยไม่คิด
ซูอี้ถามอีกหน “แต่ถ้าสตรีนามเสวี่ยหลิวผู้นั้นขอให้เจ้าทำเล่า?”
เสิ่นมู่ตะลึง สีหน้าดูอ่านยากขึ้นมา
ซูอี้หยุดกล่าวเพ้อเจ้อ จากนั้นก็ใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังทำลายเงาหลอนนั้นทันที
“สหายเต๋า เจ้า…”
เสิ่นมู่เดือดดาล
“จำไว้ว่าข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า ยามนี้ข้ากำลังสังหารศัตรู หากเจ้ากล้าทำให้ข้าไขว้เขวอีก เราจะได้เห็นกัน!”
“หากเจ้ายังอยากเห็นเสวี่ยหลิวผู้นั้นอีก ก็อยู่เฉย ๆ ให้ข้าซะ!”
ซูอี้ทิ้งประโยคนี้แล้วออกจากห้วงความนึกคิดไป
เสิ่นมู่สิ้นวจีด้วยความตะลึง
…
เปรี้ยง!
ซูอี้ถูกฟาดกระเด็นไปอีกหน
เขาดูเหม่อลอย ไม่อาจมุ่งสมาธิกับการต่อสู้ได้ เขาจึงกระทำการสะเปะสะปะจนถูกเหยียนเต้าหลิน ชาวประมงและเติ้งจั๋วรุมโจมตี
มิเพียงร่างของเขาจะแหว่งวิ่น บาดแผลยังสาหัสขึ้นด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าผู้ชมสั่นสะพรึง
ทัศนาจารย์… จะแพ้จริง ๆ หรือ?
“เตรียมตัวลงมือ”
ในหมู่กลุ่มเต๋าโบราณ คนมากมายลอบเตรียมการลงมือ
“ระวังให้ดี ยามทัศนาจารย์พ่ายแพ้จะเกิดศึกตะลุมบอนขึ้น เจ้าต้องมิย่ามใจ จำไว้ว่าต้องลงมืออย่างสุดกำลัง”
ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงทั้งหลายแห่งปัจจุบันต่างสนทนาผ่านกระแสปราณ ดวงตาปรากฏจิตสังหารจาง ๆ
สำหรับคนเหล่านี้ ผู้ใดแพ้พ่ายในศึกนั้นไม่สำคัญ
เรื่องสำคัญคืออำนาจวัฏสงสารในร่างทัศนาจารย์จะตกสู่มือผู้ใด!
“สะบั้น!”
ใต้ท้องนภา เหยียนเต้าหลินเหวี่ยงดาบฟาดฟัน
ขณะเดียวกัน ชาวประมงก็เร่งใช้ตราประทับแดนธรณี เติ้งจั๋วเองก็ฟาดฟันดาบหักกระหนาบโจมตีทั้งซ้ายและขวา
ซูอี้ดูจะอยู่ในภาวะคับขัน ไร้หนทางหลบเลี่ยง
ยามนี้ ณ ฟ้าดินแดนใกล้เคียง ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงบางคนลงมืออย่างช่วยไม่ได้
เหล่าวิญญาณอาสัญจากกลุ่มเต๋าโบราณล้วนใช้สมบัติส่วนตนเข้าฆ่าฟัน
หัวใจของเหล่าสักขีพยานที่อยู่ไกลออกไปล้วนระส่ำด้วยความเศร้า ทัศนาจารย์… จะตกตายแล้วจริง ๆ หรือ?
ยามนั้นเอง ณ แดนดินไกลโพ้นไร้ผู้ใดสังเกต ปราณอันน่าสะพรึงมากมายได้ปรากฏขึ้นจากเงามืด และกำลังทะยานพุ่งมาที่นี่
ทว่ายามนี้เอง ดวงตาของซูอี้ผู้ใกล้ดับดิ้นพลันเรืองวาบอย่างเย็นชา
ตู้ม!
ดาบแห่งโลการะเบิดคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัว ฟาดฟันไปบนอากาศ
เป๊าะ!
ดาบเก้าสวรรค์หักสะบั้น
เหยียนเต้าหลินไร้โอกาสหลบเลี่ยง จึงถูกหนึ่งดาบฟาดฟันจนปลิวกระเด็น แผลชุ่มโลหิตถูกวาดขึ้นบนอกจนแทบเครื่องในทะลัก
และเมื่อซูอี้กวาดคมดาบ
เติ้งจั๋วและดาบหักของเขาถูกกระแทกกระเด็นกลางหาว โลหิตพรั่งพรูจากปากและจมูก สีหน้าดูตกตะลึงยิ่ง
และตราประทับแดนธรณีของชาวประมงยังถูกสะบั้นขาดกลางเวหา และจากผลกระทบดังกล่าว ชาวประมงก็สะท้านเยี่ยงต้องอสนีบาต ร่างซวนเซแทบร่วงจากกลางอากาศ ใบหน้าซีดขาว
ในพริบตา ซูอี้ก็สลายวงล้อมโจมตียามคับขันลง!
ผู้ฝึกตนในวิถีจุติสรวงซึ่งกำลังจะลงมือจากระยะไกลล้วนหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะชะงักการเคลื่อนไหว ต่างฝ่ายต่างตะลึงมิแพ้กัน
นี่มันเรื่องอันใด?
ผู้ที่คิดว่าทัศนาจารย์สิ้นฝีมือคืนสวรรค์ล้วนชะงัก สติของคนเหล่านั้นแทบหลุดลอย
สถานการณ์กลับตาลปัตรหรือ?
ทุกสายตาล้วนมองซูอี้เป็นตาเดียว
อาภรณ์สีเขียวของเขาแหว่งวิ่นเปรอะโลหิต ร่างวิถีได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าหากเป็นคนอื่นคงมิอาจทานทน
ทว่าขณะเดียวกัน หลังของเขากลับตั้งตรงเยี่ยงตลอดมา สีหน้าไร้อารมณ์เช่นกาลก่อน ราวกับแม้ว่านภาถล่มก็ไม่สะทกสะท้าน
เหล่าผู้ชมเงียบสงัดด้วยความหดหู่
ทุกคนรู้สึกหนาวเยือกในใจอย่างมิอาจอธิบาย
ทัศนาจารย์ไร้เทียมทานจริง ๆ หรือ?
ไกลออกไป เหยียนเต้าหลิน ชาวประมง และเติ้งจั๋วอดตัวสั่นสะท้านมิได้ พวกเขาสัมผัสถึงแรงกดดันยิ่งกว่าคราใด
………………..