บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1349 ร่ำสุราหนึ่งจอก สิ้นหนึ่งความแค้น
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1349 ร่ำสุราหนึ่งจอก สิ้นหนึ่งความแค้น
………………..
ตอนที่ 1349 ร่ำสุราหนึ่งจอก สิ้นหนึ่งความแค้น
สายลมใต้นภาหวีดหวิว พัดพาอาภรณ์เปื้อนเลือดของซูอี้กระพือไหว
เขาดูจะไม่รู้ตัวว่าบาดแผลบนร่างตนเองนั้นร้ายแรงเพียงไร ทว่ากลับนำไหสุราออกมายกคำนับจากไกล ๆ
“เจ้าและช่างเสื้อหาใช่ผู้เดียวกันไม่ ข้าเข้าใจ”
กล่าวจบ ซูอี้ก็เงยหน้าขึ้นจิบสุรา
สายตาของเหยียนเต้าหลินซับซ้อนขึ้นมา จากนั้นเขาก็อดหัวเราะด้วยความโล่งอกไม่ได้ “ข้าช่างโชคดีที่ได้เป็นศัตรูของเจ้า ทัศนาจารย์ในชาตินี้!”
กล่าวจบ เขาก็ทะยานเข้าฆ่าฟันกลางเวหา
ตัวคนดูไม่ต่างจากดาบ แผดเผาทั้งอำนาจมหาวิถีและจิตวิญญาณในกาย
ทุกผู้ล้วนตะลึงอึ้ง มิคาดว่ายามนี้เหยียนเต้าหลินจะแผดเผาชีวิตและกรรมวิถีของตน คิดตัดสินชะตากับทัศนาจารย์ในคราวเดียว!
การระเบิดตนเองของตัวตนสูงสุด ณ ขอบเขตจิตทารกร้ายกาจเพียงไร?
ตู้ม!
เสียงสนั่นลั่นนภา สุญญะระเบิดเปรี้ยง
สายตาของทุกคนเจ็บแปลบ หัวใจบีบรัดแน่น ดวงตาเหม่อลอย พวกเขาเห็นเพียงเหยียนเต้าหลินซึ่งเป็นอวตารดาบทะยานข้ามนภามา ก่อนจะฟาดฟันลงสู่แดนดิน
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ จนเมื่อเหยียนเต้าหลินใกล้ถึงตัวจึงยกดาบแห่งโลกาขึ้นฟาดบนอากาศ
เปรี้ยง!!!
สุญญะป่วนปั่น
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปะทุจากร่างเหยียนเต้าหลินถูกกลบรัศมีไปทีละน้อย
ยามนั้นเอง ผู้คนจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างของเหยียนเต้าหลินหยุดอยู่ตรงหน้าซูอี้สามฉื่อ ร่างของเขากำลังกร่อนหายไปทีละน้อยเยี่ยงกระเบื้องร้าว!
ดวงตาของเหล่าผู้ชมต่างเบิกกว้างด้วยความตะลึง
“ยังมีอันใดอยากจะพูดอีกหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
เหยียนเต้าหลินดูอยากจะพูดบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ส่ายหน้า
ก่อนตาย สิ่งใดควรไม่ควรพูดล้วนไร้ความหมาย เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงการต่อสู้อันไร้ความหวัง
“เดินทางดี ๆ ล่ะ”
ซูอี้ตวัดดาบแห่งโลกาออกไป
จากนั้นร่างของเหยียนเต้าหลินก็มลายสิ้น
ยามนี้ เจ้าหอเก้าสวรรค์ผู้แข็งแกร่งค้ำจักรวาลพร่างดาวทุกแห่งหนมาแสนนานได้ปลิดปลิวสิ้น
หัวใจผู้คนตุ้มต่อมราวกับได้ประจักษ์แก่ตำนานหนึ่งโรยม่านปิดฉากลง
“ทัศนาจารย์ ข้ามีดาบเล่มหนึ่ง เชิญชมดูเถิด!”
ทันใดนั้น เติ้งจั๋วก็กล่าวขึ้น
เขาดูจะทิ้งความระแวดระวังสู่สายลม เปิดใจสุขุม อาภรณ์สะบัดพลิ้วเยี่ยงรัวกลอง
“ได้สิ”
ซูอี้พยักหน้า
เติ้งจั๋วลูบมือไปบนดาบหัก พลันส่ายหน้าแล้วโยนดาบทิ้งไป
และพลังปราณบนร่างของเขาก็เคลื่อนขอบเขตในฉับพลัน
“เคลื่อนขอบเขต!”
เสียงอุทานดังขึ้นในบริเวณ
ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงทั้งหลายล้วนสะเทือนใจเมื่อเห็นการฝึกฝนของเติ้งจั๋วเลื่อนจากขั้นต้นสู่ขั้นกลางของขอบเขตจิตทารกในทันใด!
ในฐานะตัวตนในวิถีจุติสรวง ใครเล่าจะไม่รู้ว่าการเคลื่อนขอบเขตมันยากเย็นเพียงใด?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเติ้งจั๋วติดอยู่ในภาวะคอขวดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และเพราะศึกที่ผ่านมาไปกระตุ้นศักยภาพของเขา จึงทำให้เขาคลี่คลายปริศนาจนทะลวงคอขวดได้ในทันที การฝึกฝนจึงเคลื่อนสู่อีกขั้นหนึ่ง
“เลื่อนขั้นได้เช่นนี้ ขอดื่มฉลองสักหน่อย!”
ซูอี้ยกไหสุราขึ้นคำนับจากไกล ๆ จากนั้นก็ยกขึ้นจิบ
เติ้งจั๋วว่า “ต้องขอบคุณสหายเต๋า ข้าจึงได้โอกาสทลายคอขวด”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ลงมือเถอะ”
“ได้!”
เติ้งจั๋วสูดหายใจลึก ๆ สีหน้าเคร่งขรึมโบราณ ก้าวเดินไปบนอากาศ
กิริยาสูงส่งเยี่ยงเทพเซียนผู้ไม่สัมผัสโลกีย์มลทิน ใช้ดัชนีเยี่ยงดาบ ปลายนิ้วดูเหมือนคมดาบที่หลอมรวมอำนาจอันอัศจรรย์
คมดาบระยับเจิดจ้ายิ่งขึ้นตามกาล และวิถีเต๋าในร่างดูจะถูกดูดกลืนหายไปทีละน้อย
ท้ายที่สุด สีหน้าของเขาก็ดูระโหยสิ้นแรง
มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ทั่วฟ้าดินสะเทือนสั่น ปราณทำลายล้างอันน่าสะพรึงแผ่ผ่านปลายนิ้วเติ้งจั๋ว อิทธิฤทธิ์ร้ายแรงเยี่ยงคลื่นยักษ์ถาโถมกวาดผ่านทั่วทศทิศ
ดาบยังไม่ทันฟาดฟัน ทว่าอำนาจกลับแผ่สะเทือนแดนดิน!
ซูอี้สัมผัสได้ถึงทุกสิ่งเหล่านี้และอดชื่นชมมิได้ ในหมู่อริเก่าเหล่านี้ หากจะมีผู้ใดมีวิถีดาบเลิศล้ำที่สุด ผู้นั้นก็คือเติ้งจั๋ว
“สะบั้น!”
จนเมื่ออยู่ห่างจากซูอี้เพียงเก้าจั้ง เติ้งจั๋วก็ตวาดลั่น
เสียงของเขาประหนึ่งเก้ามังกรคำรามประสาน
คมดาบเรืองรอง ณ ปลายนิ้วพลันพุ่งทะยาน
ชั่วขณะนี้ ฟ้าดินมืดสลัว ทุกสิ่งสะเทือนไหว
ผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ ต่างหลับตาลงโดยมิรู้ตัว มิกล้ามองเหตุการณ์ตรง ๆ อีก
อำนาจของดาบนี้ทรงพลังเหลือเชื่อ มันสะเทือนถึงหกสัมผัส ทลายสภาพจิตของผู้ที่มองมาได้!
มีเพียงตัวตนในวิถีจุติสรวงในบริเวณนั้นเท่านั้นที่โคจรการฝึกฝนต้านอำนาจดาบนี้ไว้ได้
ขณะนี้ เติ้งจั๋วอดยิ้มจากหัวใจมิได้
นี่คือดาบที่เขาทุ่มเทวิถีเต๋าทั้งหมด และยังเป็นดาบอันทรงพลังที่สุดในชีวิตของเขา
แสวงวิถีมาชั่วชีวิต ขณะนี้ฟาดฟันดาบเช่นนี้ได้ ตายไปก็ไร้ความอาวรณ์!
ไม่อาจทราบได้ว่าซูอี้เก็บดาบแห่งโลกาไปแต่ยามใด ร่างของเขายืนนิ่ง ห้านิ้วมือขวาเหยียดตรงประทับตรา ฟาดฝ่ามือเก้าหนติดต่อกันในอากาศ
ตู้ม!!
ปราณดาบซึ่งทะยานเข้ามาช่างเจิดจรัส ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ามือซึ่งซูอี้ซัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดมันก็ถูกขวางไว้ตรงหน้าซูอี้สามจั้งโดยมิอาจเคลื่อนผ่านได้ต่อ
จากนั้นปราณดาบก็สลายหายไป
ทุกผู้ล้วนงุนงง
ซูอี้บาดเจ็บเพียงนั้น ทว่าดาบที่เติ้งจั๋วทุ่มเทวิถีเต๋าฟาดฟันสุดกำลังหลังจากเคลื่อนขอบเขตก็ยังถูกเขารับไว้ได้!
เติ้งจั๋วซึ่งอยู่ห่างออกไปดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าคิดว่านั่นคือดาบอันภาคภูมิที่สุดของข้าแล้วแท้ ๆ ทว่ามิคาดเลยว่าจะยังมิอาจสร้างรอยขีดข่วนใด ๆ…”
เขาเห็นได้ว่าซูอี้จงใจรับดาบนี้ จึงได้เก็บดาบแห่งโลกาไป
แต่ก็เพราะเช่นนี้ หัวใจของเขาจึงรู้สึกขุ่นเคือง
“ดาบนี้หาได้ยากนัก หากเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อน ข้าก็คงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อสลายมันเช่นกัน”
ซูอี้กล่าวอย่างจริงจัง
เติ้งจั๋วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองซูอี้ตรง ๆ “ขอบคุณ”
ร่างของเขาพลันดูราวกับชายชราแก่หงำเหงือก ผิวย่นแห้งเหี่ยวเยี่ยงไม้แห้ง เปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีกระจายหายสิ้น
ซูอี้นิ่งไป ดวงตาเผยความซับซ้อน
ดาบที่เติ้งจั๋วฟาดฟันเต็มกำลังนั้นดูดซับวิถีเต๋าทั้งหมดซึ่งเพิ่งเคลื่อนขอบเขตของเขาไป
ทว่าก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต
แต่ยามนี้ เติ้งจั๋วกลับเลือกจบชีวิตตน!
ยอมตายดีกว่าสิ้นด้วยดาบของซูอี้
ความภาคภูมิและความมุ่งมั่นถูกแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่
หรือก็คือเขาเลือกหนึ่งในทางตายที่ดีที่สุด
“เดินทางดี ๆ”
ซูอี้กระซิบ
ผู้เฝ้ามองมาจากไกล ๆ ยากจะเข้าใจความคิดของเติ้งจั๋ว และยามเห็นวาระสุดท้ายนี้ พวกเขาก็รู้สึกเพียงตะลึงตกใจ
สิ่งที่ยิ่งทำให้เหล่าตัวตนในขอบเขตจุติสรวงทั้งหลายไม่อาจเข้าใจก็คือ ทัศนาจารย์ได้รับบาดเจ็บจนถึงขนาดจะตกตายได้ทุกเมื่อแล้วแท้ ๆ ทว่าเหตุใดจึงยังทรงพลังแข็งแกร่งเพียงนี้?
ไม่ว่าอย่างไร เติ้งจั๋วก็ดับสูญ
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิผู้ครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่งค้ำสำนักเพียงลำพัง และยังสง่าผ่าเผยกว่าผู้ใดในจักรวาลพร่างดาว ทิ้งเรื่องราวเป็นตำนานเอาไว้มากมาย
ยามนี้ เขาเองก็ตายลงใต้ท้องนภา บนแท่นนภาม่วงไปกับจิตรกรและเหยียนเต้าหลิน!
ในขณะนั้น ชาวประมงหาได้เคลื่อนไหวใดไม่
เหลือเขาอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว
ยากจะอธิบายสีหน้าของชาวประมง ณ ขณะนี้ ทั้งเศร้าโศก สิ้นหวัง ไร้กำลัง ตะลึงอึ้ง…
เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนยิ่ง
“ชาวประมงเฒ่า ข้ารู้ว่าคนที่เจ้าอยากสังหารที่สุดในชั่วชีวิตนี้ต้องเป็นข้าแน่”
ซูอี้นำไหสุรายกขึ้นมา “เพราะถึงอย่างไร ผู้ที่ผนึกเจ้าและทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างแย่กว่าตาย ซ้ำยังทำลายแดนบรรพชนของเจ้าก็ล้วนแต่เป็นข้า ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเจ้าไม่ได้หนีไปในวันนี้ เจ้าก็ควรค่าแก่หนึ่งสุราคำนับของข้า”
กล่าวจบ เขาก็เชิดหน้าขึ้นดื่ม
ชาวประมงกล่าวอย่างถอนใจ “สรรพสิ่งล้วนไร้จีรัง หนึ่งสิ่งยั่งยืนคือดับสูญวนเวียน หนี้แค้นเก่าทั้งหลายก็ถึงกาลสิ้นสุดแล้วจริง ๆ”
หลังจากเว้นช่วงไปเล็กน้อย เขาก็หัวเราะเยาะตนเอง “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากข้าอยากหนี เกรงว่าเจ้าทัศนาจารย์คงมิยอมเป็นแน่”
ม้วนหยกนี้ช่างเสื้อเป็นผู้ทิ้งไว้ ทั้งยังกล่าวว่ามันบันทึกคำตอบเรื่องที่ซูอี้ต้องการทราบ
ตู้ม!
ปราณของชาวประมงพลุ่งพล่าน เขาเริ่มลงมือทันทีโดยไร้ความลังเล ตราประทับแดนธรณีอาบแสงเซียนเจิดจรัสประทับลงใส่ซูอี้
ผู้ทรงอำนาจอันผ่านมรสุมร้อนหนาวมานานแสนนานเช่นเขา ทั้งความคิดและความกล้าล้วนไม่อาจเทียบธรรมดา ไม่มีทางตกต่ำสิ้นหวังเพียงเพราะความตายของผู้อื่น
นี่คือครรลองแห่งยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว!
หากไปเกิดในยุคโบราณ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบรรลุสู่วิถีจุติสรวง จุติมงคลบรรลุเซียน และต่อกรกับเจ้าสำนักสูงสุดอันยิ่งใหญ่ได้ทั้งสิ้น!
น่าเสียดายที่พวกเขาใช้ชีวิตผิดยุคสมัย
หากเกิดมาเลิศล้ำ ทว่ากลับอยู่ในยุคสมัยอันไร้วิถีจุติสรวง ก็ทำได้เพียงต้องหยุดสัญจรทอดถอนใจ!
เทียบกันแล้ว วิญญาณอาสัญวิถีจุติสรวงซึ่งตกตายด้วยมือซูอี้ก่อนหน้านี้อาจจะแข็งแกร่งในชั่วชีวิตตน แต่ในแง่ของภูมิหลัง ความคิดและความกล้านั้นไม่อาจเทียบได้กับพวกชาวประมง เหยียนเต้าหลินและคนอื่น ๆ เลย
ซูอี้หาได้หลบเลี่ยงไม่ เขาประชันดาบกับชาวประมงอย่างดุเดือด
ครู่ต่อมา
หนึ่งดาบของซูอี้ฟาดฟันสู่ร่างของชาวประมง โลหิตสาดกระเซ็นท่ามกลางแสงสีคราม!
ก่อนสิ้นใจ ชาวประมงเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ แน่ใจหรือว่าจะฝ่าวงล้อมหนีไปได้?”
ในบริเวณใกล้เคียงแท่นนภาม่วงนี้ ศัตรูร้ายกระจายอยู่ไม่น้อย ฝูงหมาป่าล้อมวงพร้อมขย้ำโจมตี
ยามนี้ซูอี้บาดเจ็บสาหัส แม้จะได้กำชัย แต่ใครเล่าจะบอกได้ว่าเขาจะรอดชีวิตในท้ายที่สุด?
เมื่อได้ยินวาจาของชาวประมง ทุกผู้ก็อดเงี่ยหูรอฟังมิได้
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะบอกกับชาวประมงผ่านกระแสเสียงปราณ “การมาของข้าหนนี้ หากไม่ฆ่าให้หนำใจ ก็มิหนีไปไหนหรอก”
ชาวประมงตะลึงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
จากนั้นเขาก็อดหัวเราะร่าราวสุขใจมิได้ “งั้นข้าก็บอกเจ้าเลยดีกว่าว่าผู้ที่ข้าอยากฆ่าที่สุดในชั่วชีวิตนี้ก็คือเจ้าจริง ๆ”
“แต่ที่เจ้าไม่รู้คือ… ผู้ที่ข้าชื่นชมที่สุด… ก็คือ… เจ้าเช่นกัน…”
เสียงนั้นขาดห้วงแผ่วเบา จนสุดท้ายก็มิอาจได้ยิน
ร่างของประมุขลัทธิทางช้างเผือกระเบิดเป็นจุณ จิตวิญญาณของเขาสลายไปแล้ว
ตัวตนทั้งสี่ผู้เป็นดั่งนายเหนือจักรวาลพร่างดาว จิตรกร เหยียนเต้าหลิน เติ้งจั๋ว และชาวประมงล้วนตกตายด้วยประการฉะนี้!
ขณะนี้ ทั่วฟ้าดินเละเทะหักพัง เหลือจุดที่ดูได้เพียงน้อยนิด
มีเพียงซูอี้ยืนอยู่เพียงลำพัง โลหิตเปรอะทั่วกาย องอาจผ่าเผยภายใต้ท้องนภา
เหล่าผู้ชมศึกจากไกล ๆ ล้วนตัวสั่นสติหลุดลอยยากจะเรียกกลับคืนได้เนิ่นนาน