บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 135 พบเจอฉาจิ่นอีกหน
จางเยวี่ยนซิงรีบกล่าวออก “ใช่ ๆ หลิงเสวี่ยนั่งลงเถิด ทุกคนก็ควรนั่งเช่นกัน อย่าทำให้คุณชายซูต้องใส่ใจเพียงเพราะการมาของข้าเลย!”
ประโยคท้าย เขากล่าวเน้นคำ
สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยน ในหัวรู้สึกสับสนเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงทีละคน
บรรยากาศหมองหม่นและน่าอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
จางเยวี่ยนซิงไม่ได้นึกใส่ใจ เขากำลังไตร่ตรองสุดหัวใจว่าจะดูแลผู้ยิ่งใหญ่อย่างซูอี้อย่างไร
เขาหันไปสั่งลุงหวง “นำเหล้าวิญญาณมาหนึ่งไห แล้วบอกให้แม่นางฉาจิ่นหันหน้ามาทางหน้าต่างคฤหาสน์เมื่อนางเริ่มบรรเลงกู่เจิง!”
ลุงหวงรีบทำตามคำสั่ง
รับชมภาพนี้ สีหน้าของทุกคนยิ่งดูซับซ้อน
รู้สึกเหมือนสวรรค์กำลังเล่นตลกกับตัวเอง!
คนพิกลพิการสูญเสียการฝึกฝนกลับทำให้จางเยวี่ยนซิง ซึ่งเป็นบุตรของผู้นำตระกูลระดับสูงหวาดเกรงและให้ความเคารพเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่เป็นเพราะจางเยวี่ยนซิงอยู่ตรงหน้าขณะนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยภายในใจและไม่ไถ่ถามออกไปโดยตรง
ในเวลานี้ ควรพูดให้น้อยลง
รับชมจางเยวี่ยนซิงจากด้านข้าง ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าวคำ “นายน้อยจางตั้งใจอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยหรือ?”
จางเยวี่ยนซิงคล้ายกับตื่นจากภวังค์ รีบกล่าวตอบทันใด “ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ เช่นนั้นไม่รบกวนทุกคนแล้ว เชิญคุยกันต่อได้!”
สิ้นเสียง เขาหันหลังเดินออกไปและปิดประตูห้อง
“พี่เขย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เหวินหลิงเสวี่ยถามเสียงเบา ดวงตาเผยความใคร่รู้
คนอื่นต่างก็อดไม่ได้ที่จะหันมองซูอี้
“เขาคงกังวลว่าจะรบกวนข้า” ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“รบกวนท่าน?”
เถียนเหยาด้านข้างอดกล่าวคำไม่ได้ว่า “แต่เห็นได้ชัดว่า… ว่า…”
พูดขึ้นเช่นนั้น นางพลันพูดต่อไม่ได้
“เห็นได้ชัดว่าเป็นคนพิการ?” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เถียนเหยาก้มศีรษะลงด้วยความอับอาย ด้วยเหตุผลบางประการ ครั้งต้องเผชิญหน้ากับซูอี้ หัวใจอันเย่อหยิ่งในตอนแรก กลับเกิดความยับยั้งชั่งใจอย่างไม่อาจอธิบายได้ ทั้งยังหมองเศร้าและสูญเสียมากขึ้นต่อเนื่อง
ตอนนั้นเองที่นางเข้าใจได้อย่างคลุมเครือ เมื่อครู่ที่ซูอี้พูดว่าไม่ใส่ใจ นั่นไม่ใช่คำแก้ตัวสำหรับความไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเขาไม่แยแสสิ่งใดเลยต่างหาก!
ที่น่าขบขันคือ ในตอนนั้นนางคิดว่าเขาเป็นเพียงคนขี้ขลาด…
ทว่าเขาเอาความมั่นใจเหล่านั้นมาจากที่ใด เหตุใดจางเยวี่ยนซิงถึงถ่อมตัวขนาดนั้น?
เถียนเหยาไม่อาจเข้าใจชายหนุ่มด้านข้าง
นอกเหนือจากนาง เหยียนอวี่เฟิงและคณะต่างก็นึกสงสัย
ไม่นานหลังจากนั้น ประตูถูกเปิดออก
“คุณชายซู บิดาข้าขอให้นำเหล้ามาให้”
จางเยวี่ยนซิงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
ด้านข้างเขา ชายรูปร่างท้วมเล็กน้อยและใบหน้าโปร่งไร้หนวดเครา เขาคือจางจือเหยียนผู้นำตระกูลจาง
รับชมการปรากฏตัวของผู้ยิ่งใหญ่ของมหานครอวิ๋นเหอ เหยียนอวี่เฟิงและคณะรีบลุกขึ้นราวกับไฟลนก้น หนังศีรษะด้านชาครู่หนึ่ง
แต่จางจือเหยียนไม่ได้สนใจพวกเขา เพียงเดินมายืนข้างซูอี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า มือสองประสานคำนับ “คุณชายซูอยู่ที่นี่ ผู้แซ่จางขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ!”
ซูอี้ยังคงนั่งนิ่ง เพียงมองขึ้นไปแล้วกล่าวออก “เพียงเพื่อมาส่งไหเหล้าหรือ?”
จางจือเหยียนตอบรับทันใด “เป็นเช่นนั้น”
สิ้นเสียง เขาสั่งจางเยวี่ยนซิงที่ถือไหเหล้าเข้ามาและวางลงบนโต๊ะด้วยตนเอง จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้แซ่จางไม่รบกวนคุณชายซูแล้ว”
เขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรว่า ซูอี้ไม่ต้องการพูดสิ่งใดแล้ว?
จึงรีบออกจากห้องไปพร้อมกับจางเยวี่ยนซิง
แต่จางจือเหยียนไม่รู้เลยว่า เนื่องจากการมาของเขา มันส่งผลกระทบที่ทำให้เหยียนอวี่เฟิงและคณะล้วนชะงักงัน
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ซูอี้เปิดไหเหล้าวิญญาณ ดมกลิ่นเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เหล้านี้ไม่เลว เรามาลองกันเถอะ”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็เทลงจอกให้เหวินหลิงเสวี่ยและตัวเอง
“เจ้าดื่มด้วยหรือไม่?” ซูอี้หันมองเถียนเหยา
“เอ๊ะ? ข้า… เอ่อ… นี่… คือ…” เถียนเหยาคล้ายกับตกใจจนพูดติดขัด
ซูอี้ไม่พูดสิ่งใด เพียงรินลงจอกให้นาง “มาลองเถอะ จอกนี้ดื่มให้เจ้า ขอบคุณที่ช่วยนำทางให้ข้าวันนี้”
เขารินเหล้าและยกจอกดื่มโดยไม่สนใจเหยียนอวี่เฟิงและคณะที่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ราวกับพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างอับอาย แต่ไม่มีใครกล้าพูดคำใดออก
โดยเฉพาะเฉินจินหลง เขาสาปแช่งอย่างรุนแรงในหัวใจ คราวที่แล้ว เขาถูกบังคับให้คุกเข่าตลอดทั้งคืน คราวนี้ เขายังถูกเมินเฉยราวกับคนโง่เขลา!
“พี่เขย เราไปกันเลยดีไหม?”
เหวินหลิงเสวี่ยไม่ได้สงบนิ่งเหมือนซูอี้ นางพูดถ้อยคำเบา
“อืม”
ซูอี้แลเห็นความทุกข์ใจของหญิงสาวในทันใด จึงลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราไปคุยกันในสถานที่ที่ดีกว่านี้เถอะ”
เหวินหลิงเสวี่ยส่งเสียงรับเบา
ทั้งสองหันหลังเดินจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครกล่าวห้ามหรือส่งเสียงใด
ทุกอย่างเงียบสงัด
ในเวลานี้ เถียนเหยาพลันรู้สึกขมขื่นในใจอย่างไม่อาจอธิบาย ในที่สุดนางก็เข้าใจบางอย่าง ในสายตาของชายหนุ่มผู้นี้คงรับรู้ได้ว่า เขาและนางแตกต่างกันราวกับสองโลก ครั้งพบเจอกันคราแรก เขาก็ไม่คิดใส่ใจอยากพูดคุย…
ที่น่าขบขันคือ ซูอี้ทำตัวห่างเหินจากนางโดยไม่ได้คิดสิ่งใดเลยต่างหาก
ประหนึ่งทุกสิ่งอย่างบนโลกล้วนไม่มีความหมาย
เพล้ง!
ทันใดนั้น จอกเหล้าในมือชายหนุ่มชุดคลุมหรูหราตกกระแทกพื้นจนแตก เข้าโพล่งออกมาทันใด “หรือว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่ปลิดปลงท่านฉินเหวินเยวียน?”
ประโยคเดียว ทุกคนล้วนตกตะลึงในตอนแรก หลังสูดหายใจเข้าลึก ท่าทีพลันแปรเปลี่ยน
“เป็นไปไม่ได้ ใครจะไม่รู้บ้างว่าซูอี้กลายเป็นคนพิการ?” เมิ่งหลู่อดที่จะกล่าวออกไม่ได้
“คนพิการ? คนพิการที่ไหนจะทำให้นายน้อยจางก้มหัวได้? แล้วทำให้ผู้นำตระกูลจางออกมาพบด้วยตนเองได้อย่างไร? เจ้าไม่เห็นหรือว่าซูอี้นั่งเฉยอยู่ที่เดิมตั้งแต่ต้นจนจบ?”
ชายหนุ่มชุดคลุมหรูหรากล่าวออกด้วยใบหน้าดูน่าเกลียด “ผู้นำตระกูลจางถึงกับก้มศีรษะให้ ในมหานครอวิ๋นเหอ ใครกันจะสามารถแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น? มันต้องเป็นเขาแน่!”
ทุกคนชะงักงันอีกครั้ง
นั่นก็หมายความว่า คนที่พวกเขานั่งด้วยตั้งแต่แรก ก็คือชายหนุ่มที่เพิ่งสังหารฉินเหวินเยวียนและบุตรชายเมื่อวานนี้ ทั้งยังเอาชนะเจ้าสำนักของพวกเขาเอง มู่ชางถู?!
เมื่อเมิ่งหลู่หวนนึกถึงคราที่เยาะเย้ยซูอี้ วิญญาณของนางแทบหลุดออกจากร่าง รู้สึกคล้ายกับเพิ่งเดินผ่านประตูนรก
แม้แต่เฉินจินหลงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับข้อเท็จจริงนี้ หัวใจเต้นรุนแรง หากเป็นไปได้นับจากนี้ เขาขอไม่พบเจอกับคนสกุลซูอีก!
ในเวลานี้ ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก ก่อนที่จางเยวี่ยนซิงจะเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้ามัวหมอง
กวาดสายตามองฝูงชน ถ้อยคำเย็นชากล่าวออก “เหยียนอวี่เฟิง คุกเข่าลงให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“นายน้อยจาง นี่…”
สีหน้าเหยียนอวี่เฟิงแปรเปลี่ยนทันใด
“ยังไม่คุกเข่าอีก?” จางเยวี่ยนซิงกล่าวคำเคร่งขรึม
ตุบ!
เหยียนอวี่เฟิงคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
เมิ่งหลู่ด้านข้างรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นายน้อยจาง มันไม่ใช่ความผิดของศิษย์พี่เหยียน…”
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูด คุกเข่าลงให้ข้าซะ!”
ดวงตาของจางเยวี่ยนซิงดุร้าย คล้ายกับสัตว์ร้ายกระหายเลือด
เมิ่งหลู่ตกใจมากจนทรุดตัวลงพื้น โดยไม่ทันได้มองดูว่ามีคราบน้ำอยู่บนพื้นที่นางนั่ง…
คนอื่นล้วนปิดปากสนิท
“หากใครบังอาจแพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แม้เพียงเล็กน้อย จางเยวี่ยนซิงสัญญาว่าจะทำให้มันตกตายโดยไม่มีหลุมศพให้ฝัง!”
หลังสูดหายใจเข้าลึก จางเยวี่ยนซิงหยิบไหเหล้าวิญญาณบนโต๊ะแล้วหันหลังจากไป
เหล้านี้เดิมมอบแก่ซูอี้ แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่เจ้าพวกนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ลิ้มลอง!
หากพวกนั้นไม่นำซูอี้เข้ามา เขาจะต้องเผยความหวาดกลัวแบบนี้ได้อย่างไร?
ภายในห้องส่วนตัว ทุกคนตะลึงงันจนใบหน้าถอดสี
ในเวลานี้ ณ แท่นสูงนอกหน้าต่างคฤหาสน์ แว่วเสียงกู่เจิงบรรเลง ‘ลำนำคู่เป็ดแมนดาริน’ ทำนองเหล่านั้นช่างมีชีวิตชีวาและเปี่ยมล้นเสน่หา
ทว่า ภายในหน้าต่างคฤหาสน์กลับอัดแน่นด้วยบรรยากาศน่าสังเวช
…
ภายนอกคฤหาสน์ดื่มเหมันต์
เหวินหลิงเสวี่ยมีท่าทีลังเลกล่าวคำออก
ซูอี้ยิ้มกล่าว “เจ้ากลับบ้านกับข้า หากมีคำถามใด ข้าจะตอบทุกสิ่งอย่าง”
เหวินหลิงเสวี่ยพยักหน้ารับ ก่อนถามด้วยความสงสัย “บ้านหรือ?”
“ที่พักอาศัยชั่วคราว” ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะที่กำลังกล่าวต่อ ฉับพลันก็มีคนจากคฤหาสน์ดื่มเหมันต์มาหา
“คุณชายซู โปรดรอก่อน”
เป็นสตรีมัดมวยผมพร้อมปิ่นนกหงส์ไฟ คิ้วโค้งโก่งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาดำขลับแวววาว ผิวบอบบางราวกับเป่าแผ่วเบาก็สามารถทำลาย มองดูแล้วรู้ได้ว่าเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบปีเท่านั้น ทว่ากลับมีเสน่ห์เหลือล้นจนน่าตกตะลึง
“มีสิ่งใด?” คิ้วสองของซูอี้ขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
ผู้ที่มาก็คือฉาจิ่น
เป็นนางโลมที่องค์ชายหกโจวจือหลีหลงใหลตอนที่อยู่บนเรือโดยสาร
ในวันแรกที่มาถึงมหานครอวิ๋นเหอ สตรีนางนี้ได้เข้าหาเพื่อสนทนาก่อน
นับว่าครานี้ควรเป็นการพบเจอครั้งที่สองของพวกเขา
ความระแวดระวังปรากฏออกอย่างชัดเจนในสายตาเหวินหลิงเสวี่ย
“หาได้มีสิ่งใด ข้าเพิ่งได้ยินว่านายน้อยมาที่งานเลี้ยงด้วย จึงวางแผนหาโอกาสดื่มอวยพร ไม่ได้นึกคิดว่านายน้อยจะออกมาก่อนเวลาอันควร”
ฉาจิ่นเผยท่าทีมีความสุข ริมฝีปากยกยิ้ม เสียงไพเราะนุ่มนวลราวออกจากขลุ่ย
“พี่เขย นางเป็นใครหรือ?” เหวินหลิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
สัญชาตญาณโดยกำเนิดของหญิงสาวบอกนางว่า สตรีนางนี้คล้ายกับมีแผนร้ายต่อพี่เขย!
ซูอี้กล่าวตอบเฉยเมย “สตรีนางหนึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป”
คำพูดแสนธรรมดา แต่หยาบคายอย่างยิ่ง
ฉาจิ่นชะงักงันครู่หนึ่ง ทว่ายังคงยิ้มออกพลางกล่าวว่า “คุณชายซู นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสมจะพูดคุย ข้าจะไปยังบ้านของท่านในคืนนี้ หวังว่าท่านจะไม่ปล่อยให้ข้าต้องรออยู่นอกประตู”
สิ้นเสียง นางเผยยิ้มและโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วจึงหันหลังกลับไปยังคฤหาสน์ดื่มเหมันต์
“พี่เขย เพียงข้าเห็นสตรีนางนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าคดในข้องอในกระดูก” เหวินหลิงเสวี่ยพึมพำ
“ไม่คาดคิดมาก่อน สายตาของเหวินหลิงเสวี่ยตอนนี้จะเฉียบคมจนน่าทึ่ง!”
ซูอี้ยกนิ้วโป้งกล่าวชม “นางเป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง เมื่อครู่ข้าหลบซ่อนตัวไม่ทัน หากนางกล้ามาในคืนนี้ สัญญาว่าข้าจะไม่เปิดประตูให้”
เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะ คล้องแขนซูอี้กล่าวออกอย่างมีความหวัง “ไปเถอะ พาข้าไปเยี่ยมชมบ้านของท่าน”
บรรยากาศของเด็กสาววัยเยาว์จางหาย ลมหายใจละเอียดอ่อนกลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์อันพร่างพราว ดูสง่างามมากขึ้น
แต่นางยังคงชอบคล้องแขนซูอี้เหมือนเมื่อก่อน โดยไม่สนใจเลยว่าความสนิทสนมเช่นนี้มักนำไปสู่ความเข้าใจผิดของผู้พบเห็น
ส่วนซูอี้นั้นไม่สนใจอยู่แล้ว เมื่อใดกันที่ซูเสวียนจวินต้องใส่ใจกับสายตาของผู้คน?
เดินอาบแสงแดดอบอุ่นภายใต้ผืนฟ้า อวลกลิ่นหอมเจือจางจากร่างกายหญิงสาว ทำให้เขาอารมณ์ดีตามไปด้วย ขณะปรากฏรอยยิ้มบนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
หลังจากการกลับชาติมาเกิดนี้ หากใครสักคนจะสามารถทำให้เขาจดจำตัวตนของซูอี้ไว้ในใจ คนผู้นั้นจะต้องเป็นเหวินหลิงเสวี่ยแน่นอน