บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1350: ยังสู้ไหวหรือไม่?
ตอนที่ 1350: ยังสู้ไหวหรือไม่?
ฟ้าดินเงียบสงัด จตุรทิศไร้วจี
อำนาจสั่นสะท้านอันมิอาจมองเห็นกระเทือนถึงอารมณ์คนทุกผู้เยี่ยงคลื่นน้ำ
จิตรกร ชาวประมง เติ้งจั๋ว เหยียนเต้าหลิน ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ตัวตนกลุ่มแรกในกาลปัจจุบันผู้ก้าวสู่วิถีจุติสรวง?
ผู้ใดบ้างจะมีอำนาจต่อสู้ที่ไม่อยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตจิตทารกขั้นต้น?
โดยเฉพาะในศึกที่ผ่านมา ความกล้าหาญ มรดกและกลยุทธ์ของสี่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวนี้ล้วนร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัว
พวกเขาถึงกับใช้ไม้ตายก้นหีบออกมาเสียหมดเปลือก!
ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังแพ้พ่าย…
สถานการณ์หนึ่งต่อสี่ แต่พวกเขาก็ยังตายตรงหน้าทัศนาจารย์ทีละคน!
ผลลัพธ์เช่นนี้สะเทือนทั่วโลกา เหนือการคาดเดาของทุกคน
วิญญาณอาสัญแห่งโบราณกาลทั้งหลายดูหม่นหมอง หัวใจสงบลงได้ยาก
เมื่อเห็นซูอี้บาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนพร้อมลงมือ ทว่าท้ายที่สุด ผลลัพธ์กลับตาลปัตรกลายเป็นชัยชนะของซูอี้!
และความแข็งแกร่งที่ชายหนุ่มแสดงออกมาทำให้พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ เพราะมันผิดปกติเกินไป
ใครเล่าจะคิดว่าผู้บาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่งจะลุกมาสังหารศัตรูเรียงหัวได้?
จงเทียนเฉวียน โจวหานซานและตัวตนจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเองก็หน้าคล้ำหมอง ยากจะสงบใจลง
ผลลัพธ์เช่นนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา!
“ชนะแล้ว!”
“ข้า…ข้าว่าข้าฝันไปแหง ๆ…”
“ข้าด้วย!”
ไกลออกไปเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วแดนดิน สนั่นลั่นเยี่ยงมวลคลื่นซัดฝั่ง
“แต่ไยข้าจึงรู้สึกมึน ๆ งง ๆ ในใจกัน… เหมือนมีบางอย่างขาดไปกระนั้น…”
ดวงตาของชายหนุ่มผู้หนึ่งดูงุนงง
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าวออกมา ตัวตนอาวุโสกว่าหลายผู้ก็ให้การสนับสนุน
“เพราะผู้สิ้นชีพล้วนแต่เป็นตัวตนในตำนานจากทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาวนี้!”
“ในอดีตกาล การกระทำของพวกเขาเป็นที่โจษจันทั่วโลกหล้า ส่งอิทธิพลต่อผู้ฝึกตนหลายต่อหลายรุ่น และชี้นำครรลองแห่งหล้า!”
“ยามพวกเขาตกตายก็เหมือนตำนานอันเป็นที่เลื่อมใสของผู้คนร่วงหล่นจากแท่นบูชา วีรกรรมตำนานในกาลก่อนก็ปิดฉากลงเช่นกัน”
“วีรกรรมแห่งหนึ่งยุคสมัย ท้ายที่สุดก็จะค่อย ๆ กลายไปเป็นศึกอันไร้ค่า มีหรือจะไม่ทำให้รู้สึกเศร้าใจ?”
ตัวตนอาวุโสเหล่านั้นรำพึง หัวใจพลิกผันขึ้นลง
จิตรกร ชาวประมง เติ้งจั๋ว เหยียนเต้าหลินล้วนตกตาย ทว่าจิตวิญญาณ ฝีมือและความสามารถที่แสดงออกในศึกนี้จะถูกจดจำและจารึกสู่ประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดผ่านยุคสมัย
สำเร็จหรือไม่ขึ้นกับรุ่นถัดไปตัดสิน
“ทัศนาจารย์คือเทพผู้ยืนยงชั่วนิรันดร์!!”
คนบางผู้แผดเสียงอย่างตื่นเต้น ซึ่งก็ทำให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้ชมเพิ่มขึ้นด้วย
เทียบกับเหล่าผู้รำพึงรำพันทอดถอนใจ ผู้ที่ตื่นเต้นจนร้องตะโกนออกมาด้วยความกระตือรือร้น เพราะประทับใจกับพฤติกรรมของทัศนาจารย์นั้นมีเยอะกว่า
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เหล่าผู้นำกลุ่มเต๋าสูงสุดแห่งโบราณกาลเหล่านั้นถือทัศนาจารย์เป็นศัตรูร่วม
ส่วนเหล่ายักษ์ใหญ่สูงสุดแห่งโลกหล้าล้วนมองทัศนาจารย์เป็นตำนานยุคเก่าผู้ต้องจบสิ้น
มีบางผู้คิดว่าเขาจะตายแน่
บางคนตัดสินว่าในยุคสมัยใหม่อันแปรเปลี่ยนมหาศาลนี้ ครรลองแห่งโลกาจะถูกชักนำโดยตัวตนในวิถีจุติสรวง และทัศนาจารย์ย่อมเหี่ยวเฉาร่วงโรย
…กระทั่งก่อนเริ่มศึกแรก ณ แท่นนภาม่วงนี้ ยังมีหลายคนเชื่อว่าทัศนาจารย์ไร้หวังกำชัย
มีกลายคนกระทั่งสงสัยว่าตัวตนในตำนานเก่าแก่นี้จะกล้าต่อสู้หรือไม่
ทว่ายามนี้ คำปรามาสและการตัดสินคาดเดาเหล่านี้ล้วนกลายเป็นเรื่องตลก!
ทัศนาจารย์ หนึ่งคนหนึ่งดาบ เถลิงชัยหนึ่งเดียวบนแท่นนภาม่วง!
ยามรอบข้างเดือดพล่าน ซูอี้ได้ทะยานสู่แท่นนภาม่วงแล้ว
อาภรณ์ของเขาเปื้อนเลือด ร่างกายแหว่งวิ่น โลหิตทะลักไหลไร้ห้ามจากบาดแผล ดูแล้วน่าตกใจยิ่ง
ทว่าเขากลับดูไม่ได้สนใจเท่าไร
ซูอี้จ้องมองดาบหักที่เติ้งจั๋วทิ้งลงพื้นไปเมื่อกาลก่อน แล้วกล่าวกับตนเองว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงร่วมมือกับช่างเสื้อเฒ่า แต่มันก็ไร้ความหมายแล้ว เมื่อข้าไปคิดบัญชีกับไอ้แก่ชั่วนั่น สัจธรรมจะเผยออกมาเอง”
เขานำสุราไหหนึ่งออกมารินลงสู่พื้นหมดไหทันที
“ทุกท่าน ความแค้นของเราจบสิ้น ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ติดค้างกัน เดินทางดี ๆ เถิด”
สีหน้าของซูอี้สุขุมเยือกเย็น
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเย็นชา
“ทัศนาจารย์ ขอบังอาจถามว่ายังสู้ไหวหรือไม่?”
วาจานั้นเป็นเช่นอสนีบาตสะเทือนทั่วชั้นฟ้าแดนดิน หยุดทุกเสียงฮือฮาในพื้นที่รอบข้าง
ในบริเวณพลันเงียบสงัด
ทุกสายตามองตามต้นเสียงไปเป็นตาเดียว
จงเทียนเฉวียน!
หนึ่งตัวตนบรรพกาลจากตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถี ยามซูอี้ต่อสู้ก่อนหน้านี้ คนผู้นี้เคยบอกให้ซูอี้ก้มหัวยอมจำนน
และคำตอบของซูอี้ก็คือจะลบตระกูลจงโบราณทิ้งจากโลกหล้าภายในครึ่งปี!
ยามนี้ จงเทียนเฉวียนยืนเหนือสุญญะ สองมือไพล่หลัง สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์
เบื้องหลังเขามีกลุ่มตัวตนวิถีจุติสรวงกลุ่มหนึ่ง การจัดทัพทรงพลังเช่นนี้ทำให้ตัวตนของเขาดูสูงส่งยิ่ง
“เด็ดหัวเจ้านั้นง่ายไม่ต่างจากหยิบของออกจากกระเป๋าเลย”
ซูอี้มองไปด้วยแววตาวาวโรจน์ “กล้าลองหรือไม่?”
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสก็จริง ทว่ายามสายตากวาดมองมา มันก็ทำให้จงเทียนเฉวียนหรี่ตาลง หัวใจบีบรัดโดยไม่รู้ตัว
“ข้าอยากลองดู!”
หนึ่งเสียงกัมปนาท และชายในชุดนักพรตสีแดงผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝั่งกลุ่มเต๋าโบราณ
ผิวของเขาขาวเนียนเยี่ยงหยก รูปลักษณ์เยี่ยงชายหนุ่ม ทั่วร่างมีแสงเซียนเปล่งประกาย
ข้างกายเขาก็มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งในวิถีจุติสรวงตามมาด้วย แต่ละคนล้วนมีปราณร้ายกาจชวนขนลุก
ทั่วหล้าเกิดเสียงเซ็งแซ่ มีผู้จำได้ว่าชายในชุดนักพรตเต๋าสีแดงนั้นเป็นผู้ทรงอำนาจจากขุมกำลังโบราณบรรพตมารธารปรภพ มีนามว่าลู่จ่างถิง
ฝีมือของเขาเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตรวมวิถี!
ในหมู่วิญญาณอาสัญผู้สามารถหวนคืนสู่โลกหล้าได้ทุกวันนี้ ขอบเขตรวมวิถีนับว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดแล้ว และเมื่อสองเดือนก่อนก็ไม่อาจมีผู้ใดได้พบเจอ
และเพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายแรงแห่งโลกานั้นเองที่ทำให้ลู่จ่างถิง วิญญาณอาสัญในขอบเขตรวมวิถีสะบั้นข้อจำกัดแห่งกฎสวรรค์ หวนคืนสู่โลกหล้าได้
เมื่อเห็นลู่จ่างถิงเดินออกมา คิ้วของจงเทียนเฉวียนก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทว่าหาประหลาดใจไม่
รอบข้างเขาหยั่งนภาวันนี้มีผู้ล่าแห่งโบราณกาลอยู่เหลือคณานับ มิอาจทราบได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
และจริงดังว่าเมื่อลู่จ่างถิงเสนอตน เสียงบุรุษเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกังวานใสเยี่ยงระฆังรุ่งอรุณ
“อย่าห่วงเลย ในเหตุการณ์วันนี้ ทุกคนก็รู้แก่ใจแล้วว่าหากพวกเจ้าบรรพตมารธารปรภพคิดฮุบเหยื่อไว้ผู้เดียว เกรงว่าคงเกินฝีมือตนมากไปหน่อย”
พร้อมกันนั้น กลุ่มตัวตนร้ายกาจกลุ่มหนึ่งก็ทะยานมาที่นี่
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนในอาภรณ์ยาวแขนเสื้อกว้างสีดำผู้หนึ่ง สวมมงกุฎรุ้งดารา แสงเซียนเบื้องหลังเขาสะท้อนเป็นภาพทะเลเลือดขุนเขาซากศพ ปราณร้ายกาจน่าสะพรึง
ยอดฝีมือจากสุขาวดีจรทักษิณ!
นี่คือกลุ่มเต๋าวิถีมารสูงสุดแห่งหนึ่งในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับตระกูลโจวโบราณอารักษ์วิถี และในช่วงปีผ่านมานี้ พวกเขาก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงผู้ฝึกตนมารแห่งโลกหล้า
และนี่เป็นเพียงปฐมบท…
เมื่อกำลังของตระกูลโจวโบราณอารักษ์วิถี บรรพตมารธารปรภพและสุขาวดีจรทักษิณก้าวออกมา ตัวตนวิถีจุติสรวงจากฝ่ายอื่น ๆ ต่างก็ออกมาแสดงจุดยืนทะเยอทะยาน
หอเซียนดาบมายา!
หุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณ!
พรรคเซียนเร้นราตรี!
หุบเขามารหยินนิลกาฬ!
กลุ่มเต๋าแต่ละแห่งล้วนเป็นขุมกำลังสูงสุดอันเรียกได้ว่ายักษ์ใหญ่แห่งโบราณกาล ต่างฝ่ายต่างออกมาเคลื่อนไหว สำแดงอำนาจมาดร้าย
แต่ละฝ่ายล้วนมีวิญญาณอาสัญอันเทียบได้กับขอบเขตรวมวิถี มีตั้งแต่หกถึงเจ็ดไปจนถึงสิบกว่าคน
ในหมู่ขุมกำลังสูงสุดแห่งปัจจุบัน ตระกูลโจว จงและซูแห่งหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีต่างเสนอตัว
ด้วยการปรากฏกายของตัวตนวิถีจุติสรวงจากขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ ทั่วฟ้าดินพลันหม่นรัศมี ปราณฆ่าฟันร้ายกาจปะทุอย่างบ้าคลั่ง บรรยากาศในบริเวณนั้นล้วนอึดอัดและหายใจลำบาก
ผู้คนซึ่งมองศึกจากไกล ๆ รู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ หัวใจร่วงลงสู่ตาตุ่ม
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังคงตื่นเต้นโห่ร้องให้แก่ความสำเร็จอันงดงามของทัศนาจารย์
ทว่ายามนี้ หัวใจของพวกเขากลับกระตุกวูบและสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังยิ่งกว่ายามใด
นี่… ยังมีทางสู้อยู่หรือ!?
ตัวตนในวิถีจุติสรวงจากขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายรวมกันก็เป็นร้อย ๆ!
เรื่องที่ยิ่งร้ายแรงก็คือทัศนาจารย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ใกล้ปลิดปลิวอยู่รอมร่อ
นอกเหนือจากนั้นคือ ความต่างชั้นระหว่างความแข็งแกร่งนั้นเทียบกันมิได้เลยในเชิงจำนวน!
มันคือทางตัน!
“เหตุใดเล่า ไฉนพวกเจ้ามิแซ่ซ้องว่าทัศนาจารย์คือเทพชั่วนิรันดร์ต่อ?”
ลู่จ่างถิงจากบรรพตมารธารปรภพหัวเราะ รู้สึกว่าพฤติกรรมของเหล่าผู้ชมนั้นน่าสนใจยิ่ง พวกเขาห่อเหี่ยวเยี่ยงมะเขือถูกแช่แข็งกระนั้น
ทว่าเหล่าผู้ทรงอำนาจจากฝ่ายอื่นหาได้ใส่ใจสักขีพยานเหล่านั้นไม่
พวกเขาเผชิญหน้ากัน เตรียมพร้อมโจมตี ร่างของพวกเขาชนเบียด ปกคลุมโลกหล้าด้วยบรรยากาศตึงเครียดปั่นป่วน
และจุดประสงค์ก็คือฉวยโอกาสนี้จับตัวซูอี้!
ใครเล่าจะไม่รู้ว่านี่คือกาลอันเหมาะสมจะจับตัวซูอี้ที่สุด?
กลุ่มศัตรูขวางอยู่ตรงหน้า สถานการณ์อันตราย และซูอี้ผู้ถูกทุกฝ่ายถือเป็นเป้าหมายกลับอยู่นิ่งสงบอย่างหาได้ยาก
แท่นนภาม่วงซึ่งเขายืนอยู่นั้นเหมือนเป็นตาพายุ แม้จะถูกศัตรูล้อมรอบ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวง่าย ๆ
มิใช่เพราะกลัวซูอี้แต่อย่างใด
แต่ขอเพียงสักคนลงมือ มันจะก่อให้เกิดการเข้าขัดขวางแทรกแซงจากฝ่ายอื่น ทำให้เกิดศึกตะลุมบอนอันมิอาจคาดคะเน!
“น่าสนใจ พวกเขาล้วนมองข้าเป็นเหยื่อ แต่กลับขัดขากันเอง”
ซูอี้พึมพำในใจ
ดวงตาของเขาลึกล้ำสงบนิ่ง ไร้การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ใด ๆ
อันที่จริง ในใจของเขามีจิตสังหารคุกรุ่นอยู่
ในอดีต เขาถูกมองเป็นศัตรูร่วมแห่งโลกหล้า และกระทั่งมีการจัดเทศกาลประชุมเซียนมาประกาศให้เขายอมแพ้ภายในครึ่งปี หาไม่ก็ถูกฆ่า!
แม้กระทั่งขุมกำลังใหญ่เช่นตระกูลโจวและตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถีก็ยังกล้ามองเขาเป็นเหยื่อ!
เขาจะอยู่หรือตาย ต้องขึ้นกับความประสงค์ของผู้อื่นจริง ๆ หรือ?
และวันนี้ ซูอี้มาที่นี่ เหตุผลแรกก็เพื่อมาต่อสู้ และสองคือฉวยโอกาสนี้หยั่งเชิงความแข็งแกร่งของเหล่าศัตรูร้ายพวกนี้
หากมิฆ่าให้หนำใจ ก็ไปไหนไม่ได้!
‘รอไปก่อน ต้องยังมีปลาใหญ่อีกมากมายที่ยังลอบมองมิกระโดดเข้ามาอีกแน่’
ซูอี้ลอบคิดในใจ
เขาสุขุมผ่อนคลาย กวาดตามองรอบข้างด้วยสายตาเย็นชา
และบาดแผลฉกรรจ์บนร่างของเขาก็กำลังฟื้นตัวอย่างเงียบ ๆ
“ทุกท่าน หากยังเอาแต่ยืนจ้องเช่นนี้ ก็จะมีแต่เอื้อเวลาให้คนแซ่ซูฟื้นตัวนะ!”
จงเทียนเฉวียนกล่าวเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
สถานการณ์วันนี้ร้ายแรงและรับมือยากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ และมิอาจเลี่ยงการตะลุมบอนครั้งใหญ่ได้แล้ว
สายตาของเหล่าตัวตนในวิถีจุติสรวงล้วนวูบไหว แสดงสีหน้าต่าง ๆ กัน มีหรือพวกเขาจะไม่รู้?
ยิ่งยื้อเวลาได้นาน ซูอี้ยิ่งได้โอกาสฟื้นบาดแผลคืนวิถี!
“งั้นก็เปิดศักราชใหม่ด้วยมือข้าเลยแล้วกัน!”
ใครบางคนกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
เสียงยังมิทันสิ้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแท่นนภาม่วงอย่างเงียบงันเยี่ยงเงาพราย แล้วพุ่งเข้าหาซูอี้!
………………..