บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1351: ให้ผู้อื่นรับเคราะห์แทนตน
ตอนที่ 1351: ให้ผู้อื่นรับเคราะห์แทนตน
ชายผู้เข้ามาโจมตีซูอี้เป็นชายชุดดำผู้หนึ่ง
ปราณบนร่างถูกซ่อน ร่างของเขาดูจะรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ดุจสายลมพัดโชยเหนือหุบเหวตามครรลองธรรมชาติ
การโจมตีเช่นนี้ร้ายกาจโดยไม่ต้องสงสัย
กระทั่งสามารถปรากฏบนแท่นนภาม่วงโดยเร้นกายจากการรับรู้ของตัวตนวิถีจุติสรวงเหล่านั้นได้
จนกระทั่งยามที่ชายชุดดำโจมตีซูอี้นั้นเอง เขาจึงเผยความแข็งแกร่งของตนออกมาอย่างแท้จริง
นั่นคืออำนาจซึ่งอยู่ในขอบเขตจิตทารก!
สิบนิ้วสองมืองุ้มเยี่ยงตะขอ อาบไล้ด้วยแสงสว่างเจิดจ้าดุจกรงเล็บแหลมคมพลันทะยานเข้ามาเยี่ยงมังกรทิพย์กลางเมฆา รวดเร็วเหลือเชื่อ
และยามนั้นเองที่ทุกผู้ล้วนตาสว่าง ตระหนักว่ามีบางผู้ชิงลงมือก่อน!
ซูอี้หาขยับหลบไม่ ทว่าก็เห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายถนัดตา
เขากระทั่งเห็นว่าดวงตาของชายชุดดำเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น
เปรี้ยง!
เมื่อเข้ามาห่างกายซูอี้เพียงสามจั้ง ร่างของชายชุดดำก็ดูจะชนเข้ากับกำแพงล่องหน ร่างของเขาซวนเซแทบร่วงลงไปกองกับพื้น นัยน์ตาเห็นดาราพราวระยับ
“พวกเขาต่างก้าวสู่วิถีจุติสรวงแล้วทั้งนั้น แต่ยังเล่นลอบกัดเช่นนี้ ใช้ไม่ได้เลย”
ซูอี้กล่าว
บริเวณใกล้เคียงนั้นปกคลุมด้วยกฎเร้นลับต้องห้าม ผู้ใดบุกเข้ามาจะถูกพันธนาการทันที
ชายชุดดำตื่นตระหนก หันหลังเผ่นหนี
หนึ่งแสงดาบวูบไหวทะยาน
ศีรษะของชายชุดดำกระเด็นคว้างกลางอากาศ ปราณดาบน่าสะพรึงกลัวทำลายร่างเขาเสียสิ้น
หนึ่งยอดคนจุติสรวงขอบเขตจิตทารกขั้นต้นถูกสังหาร!
ชัดเจนตรงไปตรงมา
แม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน ทว่าเขากลับไร้หนทางเทียบตนกับพวกชาวประมง จิตรกร เหยียนเต้าหลิน และเติ้งจั๋วได้เลย
เหตุนองเลือดนี้ทำให้ทุกผู้ซึ่งอยู่ห่างออกไปประหลาดใจ สีหน้ายากอ่านออก
เขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ แต่กลับฆ่าได้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกด้วยดาบเดียว ทำให้เหล่าผู้ทรงอำนาจจากขุมกำลังใหญ่พากันขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทัศนาจารย์คือธนูสุดวิถีแล้วจริง ๆ หรือ?
ทันทีที่คิดเช่นนี้ ร่างสะบักสะบอมของซูอี้เหนือแท่นนภาม่วงก็โอนเอนเล็กน้อย หนึ่งหยาดโลหิตย้อยหยดจากมุมปาก
แม้ว่าเขาจะปาดมันทิ้งอย่างเฉยชา ทว่ากลับเป็นลางบอกเหตุที่ทำให้ดวงตาของเหล่าผู้ทรงอำนาจขุมกำลังใหญ่ลุกโชน
ดูเหมือนทัศนาจารย์จะทนได้อีกไม่นานแล้วจริง ๆ!
ตู้ม!
หนึ่งเสียงระเบิดกัมปนาท และชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งก็ก้าวอาด ๆ อย่างมาดร้ายออกมาจากฝั่งตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
“ทัศนาจารย์ เมื่อไม่นานนี้ เจ้าฆ่าสมาชิกตระกูลข้าไปมากที่ฝั่งสมุทรมารไร้กำหนด และวันนี้เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
ซูรั่วถิง ตัวตนบรรพกาลในวิถีจุติสรวงจากตระกูลซู
เสียงของเขายังไม่ทันสร่าง ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอัสนีคลั่งสีทองทะยานเข้าสังหารซูอี้บนแท่นนภาม่วง
ฉัวะ!
ขณะยังค้างกลางอากาศ ด้วยหนึ่งสะบัดมือ อสนีบาตเหนือนภาพลันแปรเปลี่ยนเป็นหอกศึกสีทองโปรยปรายลงเยี่ยงห่าฝน
เหตุนี้ทำให้ตัวตนสูงส่งจากขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ ไม่กล้าลังเล พวกเขาต่างออกมาชิงลงมือ
“ลงมือร่วมกันเถอะ!”
จงเทียนเฉวียนตะโกนลั่น เขากวักนิ้วเรียกใช้มีดศึกจุติสรวงอันทรงอำนาจทะยานออกไป
“แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่จะกำชัยในมือก็คือข้า”
ขณะกล่าว ลู่จ่างถิงจากบรรพตมารธารปรภพก็แย้มยิ้มเฉยเมย ก้าวขึ้นสู่นภาแล้วกรุยวิถีบรรพตซากศพทะเลโลหิตใต้ฝ่าเท้าราวเทพมารกรีฑาทัพ
“ฮ่า ๆ เช่นนั้นก็ลองดูว่าผู้ใดจะล่าเจ้าคนแซ่ซูนั่นได้!”
ท่ามกลางเสียงเสสรวล ชายวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งทางฝั่งสุขาวดีจรทักษิณก็ออกเคลื่อนไหว ทะยานสู่อากาศพร้อมง้าวศึกวาดลายสีเงินในมือ
“รอที่นี่แหละ ข้าจะออกไปยืดเส้นสักหน่อย!”
ขณะนั้นเอง ในหมู่กลุ่มเต๋าโบราณเช่นพรรคเซียนเร้นราตรี หอเซียนดาบมายาและหุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณ เหล่าวิญญาณอาสัญในขอบเขตรวมวิถีต่างลงมือสุดกำลัง
ทั่วฟ้าดินล้วนเรรวน คลื่นมหาวิถีร้ายกาจชวนตระหนกกวาดทั่วเก้าสวรรค์ชั้นพิภพ สารพัดสมบัติทรงพลังร้ายกาจสาดแสงเซียนแรงกล้าฉีกกระชากท้องนภา และเคล็ดวิชาจุติสรวงล้วนถูกปลดปล่อยราวหาได้ทั่วไป ก่อให้เกิดสารพัดคลื่นทำลายล้างโหมซัด
มองปราดแรกให้ความรู้สึกเยี่ยงสงครามเทพในตำนานโบราณ!
ผู้ฝึกปีศาจ ผู้ฝึกมาร ผู้ฝึกดาบ ผู้ฝึกเต๋า… ต่างฝ่ายต่างทุ่มสุดกำลังตะลุมบอน
ในพริบตา แท่นนภาม่วงก็ทลายลง เขาหยั่งนภาถล่มสิ้นไร้เค้าเดิม ทั่วฟ้าดินดุจเทพยดาประชันศึก!
เหล่าผู้มองจากไกล ๆ ล้วนผงะอึ้ง ต่างฝ่ายต่างถอยไปไกลลิบ มิกล้าอยู่ต่อแม้เพียงผู้เดียว
ณ ศึกตะลุมบอนยามตัวตนในขอบเขตจุติสรวงนับร้อยลงมือขณะนี้ พวกเขาหากังวลสนใจสิ่งใดไม่ รวมถึงชีวิตของเหล่าสักขีพยานด้วย!
และซูอี้ได้ทะยานสู่ท้องนภาไปอย่างรวดเร็วแต่แรกแล้ว
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนสะเทือนสรวง ตัวตนในวิถีจุติสรวงจากขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายล้วนมุ่งเป้ามาที่ซูอี้เพียงผู้เดียว
สมบัติและเคล็ดวิชาบ้าคลั่งประดังประเดทั่วฟ้าดิน
ซูอี้หาต่อต้านสุดกำลังไม่
เขาใช้กฎแสงพริบตา ร่างวูบไหวเยี่ยงเส้นแสงเคลื่อนย้ายพริบตา หลบเลี่ยงการโจมตีอันร้ายกาจถึงตายเหล่านี้
ในสายตาศัตรูเหล่านั้น ซูอี้ยามนี้เป็นเยี่ยงหนึ่งมัจฉาเลี่ยงหลบอย่างสิ้นหวัง พลิ้วกายว่ายวนกับที่ ดูมิอาจรับไหวอย่างยิ่ง
“ทัศนาจารย์เอ๋ย เจ้าโชคดีที่ได้เป็นเหยื่อบรรพตมารเก้าหยินของข้า!”
บางผู้เสสรวล หยุดลงตรงหน้าซูอี้ เหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือฟาดลงมาอย่างรุนแรงพร้อมเพลิงทิพย์สีม่วงโชติช่วง
แทบจะในยามเดียวกัน กลุ่มตัวตนวิถีจุติสรวงจากบรรพตมารเก้าหยินก็พุ่งเข้ามาหาซูอี้ ขวางเขาไว้ทุกทิศทาง
พวกเขาต่างใช้สมบัติอันทรงพลังที่สุด หวังปราบซูอี้ลงในหนึ่งกระบวนท่า
ทว่าไม่รีรอให้ซูอี้ลงมือ ผู้ฝึกตนวิถีจุติสรวงจากพรรคเซียนเร้นราตรีก็เข้ามาโจมตีคนของบรรพตมารเก้าหยินในทันที
เปรี้ยง!
สุญญะแดนนี้ระเบิดปลิดปลิวอลหม่าน
การล้อมโจมตีของบรรพตมารเก้าหยินแตกกระเจิง และยอดฝีมือบางผู้ก็บาดเจ็บด้วยเหตุนี้
และซูอี้ก็ฉวยโอกาสนี้ทะยานเลี่ยงวิกฤติไปไกล
“กล้าลอบโจมตีเราหรือ? ไอ้#¥!”
“ฆ่า! ฆ่าไอ้พวกสารเลวจากพรรคเซียนเร้นราตรีให้ข้าที!”
ยอดฝีมือจากพรรคเซียนเร้นราตรีหรือจะทน? พวกเขาเองก็เข้าประชันตรง ๆ เช่นกัน!
แม้ว่าพวกเขาสองฝ่ายจะรู้เต็มอกก็ตามทีว่าการต่อสู้เช่นนี้มีแต่จะส่งประโยชน์ให้ฝ่ายอื่น
ทว่าสองฝ่ายประจัญศึก ต่างฝ่ายล้วนตาแดงฉานด้วยโทสะ ใครเล่าจะมัวสนใจ?
ไกลออกไป ซูอี้ผู้วูบไหวเคลื่อนกายอิสระในสนามรบอดขำมิได้
นี่แหละหนอตัวประกอบ!
พวกเขาดูจะมีผู้ฝึกตนวิถีจุติสรวงนับร้อย ๆ ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขามาจากฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งล้วนมีเจตนาแอบแฝง แน่นอนว่าไม่อาจร่วมมือกันได้โดยจริงใจ!
ซูอี้ไม่จำเป็นต้องเสี้ยมเขาควายให้ชนกันแต่อย่างใด เมื่อเกิดศึกตะลุมบอน พวกเขาล้วนอยากจับเป็นตน และย่อมเกิดการกระทบกระทั่งมากมายเป็นธรรมดา
ไม่ว่าเจ้าแก่พวกนี้จะลึกล้ำเพียงไร ก็มิอาจหยุดยั้ง!
และสิ่งที่ซูอี้กำลังทำอยู่ก็คือจับปลาในน้ำขุ่น ใช้ตนเป็นเหยื่อล่อจูงจมูกเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังใหญ่ ทำให้พวกเขาปะทะ กระทบกระทั่ง และต่อสู้กัน!
ในสายตาคนนอก ศึกตะลุมบอนอันกล่าวได้ว่ายืดเยื้อทั่วโลกานี้อลหม่านเกินไปจริง ๆ!
เพื่อแก่งแย่งโอกาสจับเป็นทัศนาจารย์ ผู้ฝึกตนในวิถีจุติสรวงจากขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายล้วนเข้าโรมรัน กระทั่งปะทะกันเอง
ช่างเหลือเชื่อ
และซูอี้ก็เคลื่อนกายย้ายร่าง หลบเลี่ยงวูบไหวท่ามกลางศึกตะลุมบอนนี้เยี่ยงหนึ่งมัจฉาพริ้วร่างหลบเลี่ยงรวดเร็วท่ามกลางสายวารียามสารท
สถานการณ์นี้ดูอันตรายอย่างยิ่ง เขาพร้อมตายตกได้ทุกเมื่อ ทว่ากลับหลบได้อย่างฉิวเฉียดทุกหนไป
และทุกครั้งที่เขาปรากฏกาย ก็ไม่แคล้วก่อให้เกิดการปะทะแก่งแย่งจากขุมกำลังต่าง ๆ ทำให้เกิดการต่อสู้กระทบกระทั่งกันขึ้นมากมาย
สิ่งที่ยิ่งชวนกรามร่วงคือตัวตนวิถีจุติสรวงซึ่งเป็นดั่งนายเหนือแห่งโลกานั้นต่างพุ่งเข้ากองไฟตาม ๆ กัน ต่างฝ่ายล้วนทิ้งกิริยาโรมรันด่าทอ ดูเละเทะมิต่างกับโจ๊กหนึ่งหม้อ
“สุนัขที่ไหนลอบกันข้า? เผยตัวออกมาซะ!”
ลู่จ่างถิงแห่งบรรพตมารธารปรภพคำรามลั่น เขาถูกลอบโจมตี บั้นท้ายของเขาถูกแผดเผาด้วยเพลิงทิพย์จนดำเมี่ยม จึงเดือดดาลคลั่งแค้น
“สมควรตายนัก กล้าลงมือกับเราหรือ? ตระกูลโจวโบราณของพวกเจ้าอยากถูกล้างทิ้งหรือไร? ไสหัวไป!”
บางผู้ข่มขู่เสียงแข็ง ดวงตาแดงฉาน
“ข้าบอกเลยนะ ใครกล้าโจมตีเราอีก อย่าโทษข้าที่… โอ๊ย! ใครมันปายันต์ตระการแสงมาวะ?”
บางผู้เห็นว่าสถานการณ์ชุลมุนเกินไป ตระหนักแล้วว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อก็รังแต่จะส่งผลเสียถึงทุกผู้ จึงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
“ทุกท่าน ทุกสิ่งเป็นแผนชั่วของทัศนาจารย์!”
“สงบโทสะลงเถิด ในความคิดข้า เราควรร่วมมือกันจับสัตว์ร้ายนี้ให้ได้ก่อน แล้วมาหารือว่าจะแบ่งวัฏสงสารกันเช่นไร…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ลู่จ่างถิงก็โจมตีเข้ามาด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธแล้ว “เจ้าสุนัขนี่ ยังกล้าพูดอีก เมื่อครู่เจ้าโจมตีบั้นท้ายข้าใช่หรือไม่? ตายซะ!!”
ทันใดนั้น การเกลี้ยกล่อมก็พังไม่เป็นท่า
อันที่จริง ในศึกตะลุมบอนใหญ่โตเช่นนี้ หากผู้มีความแข็งแกร่งพอบดขยี้ทุกสิ่งลุกขึ้นหยุด ก็อาจหยุดเหตุขัดแย้งนี้ลงได้
หาไม่ก็ไร้ผลสิ้นเชิง
และซูอี้ก็ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายนี้ ร่างของเขาวูบไหวเคลื่อนผ่านทั่วสนามรบ ชักจูงหายนะแก่ให้ฝ่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ดุจมือล่องหนคอยก่อกวนยุยงให้เกิดความขัดแย้งชุลมุน เย้าหยอกกับตัวตนนับร้อยในวิถีจุติสรวงจากฝ่ายต่าง ๆ เร้าโทสะต่อกัน ก่อให้เกิดศึกวุ่นวายคราแล้วคราเล่า
ทว่าการกระทำเช่นนี้เองก็อันตรายอย่างยิ่ง เหมือนเช่นการร่ายรำเหนือคมมีด หากไม่ระวังก็จะประสบหายนะตายตกเสียเอง!
ผู้เฒ่าเก่าสังเวียนบางผู้ลิ้มรสตระหนักแล้วชัดเจน และเมื่อประจักษ์แก่เจตนาของซูอี้ พวกเขาก็ทั้งตะลึงและกรุ่นโกรธ
มิอาจจินตนาการได้เลยว่าไฉนหนึ่งบุคคลผู้บาดเจ็บใกล้ตายสิ้นอำนาจจะยังสามารถดิ้นรนได้จวบยามนี้
ผิดปกติเกินไป!
ชายชราชุดเทาผู้หนึ่งคำรามด้วยโทสะ “ทุกท่าน เรื่องนี้เป็นอุบาย! ทัศนาจารย์กำลังใช้เหตุตะลุมบอนนี้หลอกให้เราฆ่ากันเอง!”
อุบาย?
หลายผู้สงบโทสะลง
ทว่าเมื่อซูอี้ถูกล้อมกรอบอีกหน ตัวตนในวิถีจุติสรวงจากขุมกำลังอื่นก็มิคิดสนใจและพุ่งเข้าขวางอย่างบ้าคลั่ง
ฉวยโอกาสนี้ ซูอี้ก็หลุดพ้นจากปัญหา พลิ้วกายมาหาชายชราชุดเทาอีกครั้งหนึ่ง
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามีอุบาย ไฉนไม่หนีไปเล่า?”
ดวงตาของซูอี้ลึกล้ำ มองชายชราชุดเทาอย่างเย็นชา
ชายชราชุดเทาเปี่ยมความตื่นเต้น ทว่าก่อนที่จะทันลงมือ ดาบแห่งโลกาก็ทะยานเวหาสะบั้นร่างของชายชราชุดเทาลงทันที!
และร่างของซูอี้ก็ทะยานไปที่อื่นอีกหน
เหมือนดุจเส้นแสงแห่งหายนะ สร้างพายุโลหิตขึ้นทุกแห่งหนสัญจร!