บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1355: แดนแห่งวัฏสงสาร
ตอนที่ 1355: แดนแห่งวัฏสงสาร
การมีหรือไม่มีไพ่ตายนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าซูอี้มีไพ่ตายของเขา
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นในอดีตชาติหรือยามนี้ เขาก็รังเกียจการยืมอำนาจภายนอกเสมอ
มันคือความภาคภูมิที่ฝังแน่นในจิตวิญญาณของนักดาบ
ทว่านี่มิได้หมายความว่าเขาจะพาตนเองไปตายยามเผชิญกับเหตุการณ์เสี่ยงชีวิต
เมื่อศัตรูแต่ละคนต่างงัดไม้ตายสังหาร สิ่งที่ต้องทำในยามนี้คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน!
เผชิญหน้าไพ่ตาย!!
ซูอี้มิเคยกลัว!!!
เปรี้ยง!
ดุจธรณีถูกผ่าแยก
ยามสมบัติวิถีเซียนอันร้ายกาจทั้งหกชิ้นโจมตีซูอี้จากเหนือนภา มันได้หลงเหลือเพียงแสงสว่างแก่สายตาทุกคู่
ขณะเดียวกันนั้น ซูอี้ก็ชักดาบออกมา
ปราณลึกลับเกินเข้าใจปรากฏขึ้นบนคมดาบแห่งโลกาสีครามทอง
ปราณนั้นหนาแน่นและเกินคาดหยั่งเยี่ยงฮุ่นตุ้นอันมิอาจบรรยาย อำนาจที่สูงส่งพอที่จะสะเทือนทั่วสวรรค์ของมันแผ่ออกมาจากดาบแห่งโลกา
นั่นคือปราณดาบเก้าคุมขัง!
เมื่อนานมาแล้ว หลังจากซูอี้พิสูจน์วิถีสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ เขาก็แทบไม่ได้พึ่งพาดาบเก้าคุมขังอีก
เมื่อเขาได้ใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในยามนี้ เขาก็พบว่าตนสามารถควบคุมอำนาจส่วนหนึ่งของดาบเก้าคุมขังได้อย่างสบาย ๆ แล้ว!
แม้อำนาจส่วนนี้จะไม่ถึงแม้แต่หนึ่งส่วน แต่ก็ทำให้ซูอี้รู้สึกลึกซึ้งยิ่งกว่าหนใด
มันคืออำนาจยิ่งใหญ่เหนือโลกหล้า
เป็นอำนาจอันทะยานจากกรงขังแห่งสวรรค์ สูงส่งเหนือผู้ใด!
มันราวกับว่าขอเพียงเขาคิดอยาก ท้องนภานี้ก็มิอาจหยุดเขาได้ โลกหล้าอาจถล่ม เทพเซียนเหนือสวรรค์ถึงคราวสิ้นสลาย!
ตู้ม!
ดาบคำรามลั่นนภา ซูอี้ฟาดฟันโจมตีเข้าใส่สมบัติวิถีเซียนทั้งหกที่เข้าโจมตี
ในพริบตา ทั่วฟ้าดินก็ปั่นป่วนด้วยคลื่นอำนาจเจิดจรัสดุจดวงตะวันมโหฬารปรากฏกลางหาว ปราณทำลายล้างกลางดวงสุริยันทะยานกวาดทั่วเขตแดนพันลี้
เนิ่นนานจากนั้น แสงสว่างเหนือนภาก็ค่อย ๆ บรรเทา คลื่นปราณอันกราดเกรี้ยวค่อย ๆ จางหาย
“จบแล้วหรือ?”
ดวงตาของคนหลายผู้เบิกกว้าง
ในการปะทะล้างสรวงสลายแดนดินนี้ เกรงว่าตัวตนใด ๆ ในวิถีจุติสรวงคงบาดเจ็บล้มตาย อย่าว่าแต่ซูอี้เลย?
“น่าเสียดายที่หอเซียนดาบมายาของข้าสูญเสียยอดฝีมือจุติสรวงไปเก้าคนในศึกนี้ ทว่าขอเพียงข้าได้ตัวเจ้าซูอี้นั่นมาก็คุ้มค่า”
บางผู้กระซิบ
“หากเขาตายเล่า?”
บางผู้กังวล
“งั้นก็เก็บซากอนุสรณ์ หล่อหลอมอำนาจในนั้นด้วยเคล็ดวิชา แล้วใช้วิธีการของข้าล้วงปราณวัฏสงสารออกมาไง!”
บางผู้ดูเคร่งเครียด
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เหล่าผู้ชมทุกคนก็ดูจะสังเกตเห็นบางอย่าง สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยน มองไกลออกไปอย่างตะลึงงันเยี่ยงเห็นผี
ในโลกหล้าอันปั่นป่วนพังทลายนี้ หนึ่งบุคคลยืนสง่าผ่าเผย ภาวะดาบบนร่างกระเพื่อมขึ้นลงเยี่ยงคลื่นวารี แม้อาภรณ์เขียวบนร่างจะแหว่งวิ่นและเปื้อนโลหิต ทว่ากิริยายังคงแน่วแน่เยี่ยงดาบเหมือนเช่นเทพเซียนเหนือฟ้าดิน!
ขณะนี้ เหล่าผู้ชมล้วนเงียบเป็นเป่าสากด้วยตกตะลึง
ซูอี้!
เขายังอยู่!
หัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตจุติสรวงล้วนเย็นยะเยือกเยี่ยงร่วงลงสู่ขุมนรกไร้ก้นบึ้ง
ไม่เพียงซูอี้จะยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เขายังคงยืนนิ่งโดยไร้รอยขีดข่วน คู่เนตรระยับแสง ปราณไม่ได้อ่อนแรงลงแม้แต่น้อย!
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่มทื่อ
หกวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีใช้ไพ่ตายประสานการโจมตี อำนาจระเบิดรุนแรงจนกระทั่งเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตจุติสรวงทั่วโลกหล้าได้
ทว่าซูอี้กลับหยุดมันไว้ได้!
“ไม่มีทาง… เป็นเช่นนี้…”
เหล่าตัวตนในขอบเขตจุติสรวงมือไม้สั่นระริกด้วยความมิเชื่อ
“เหตุใดเขาจึงยังมีชีวิตอยู่? ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตจุติมงคลยังมิกล้ารับการโจมตีกระหน่ำเช่นนี้ตรง ๆ แล้วเขาทำได้เช่นไร?”
บางผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวเจือโทสะ
“เรามีไพ่ตาย แล้วเขา… เหตุใดจึงจะไม่มี?”
บางผู้กล่าวอย่างเจ็บช้ำ
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าแม้วิถีเต๋าของซูอี้จะแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะรับมือตัวตนขอบเขตจุติมงคลได้!
ในเมื่อเขารอดชีวิตได้โดยไร้รอยขีดข่วน เหตุผลย่อมต้องเป็นการใช้ไพ่ตายอันทรงพลังบางอย่าง
“หากยังมีไพ่ตายใดอีก ก็ใช้ออกมาเสีย”
ซูอี้ที่อยู่ใต้ท้องนภากล่าวอย่างเฉยเมยขณะลูบไปบนดาบแห่งโลกา
รอบข้างเงียบสงัด จิตต่อสู้ของเหล่าวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีในยามนี้ถูกบั่นทอนลงอย่างร้ายแรง จิตใจพวกเขาเริ่มหวั่นไหว
หากวัดด้วยความแข็งแกร่ง พวกเขาหาใช่คู่ต่อกร
ใช้ไพ่ตายก็มิอาจสยบ
พวกเขายังจะสู้ด้วยได้เช่นไร?
“ถอย!”
ชายวัยกลางคนชุดดำจากพรรคเซียนเร้นราตรีกล่าวอย่างเฉียบขาด ก่อนจะหนีไป
หนึ่งวาจาปลุกทุกคนจากภวังค์ และเมื่อตัวตนในขอบเขตจุติสรวงคนอื่นเห็นเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าอยู่ พวกเขาต่างก็เผ่นหนีตาม ๆ กัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็เสสรวล คู่เนตรลึกล้ำไร้อารมณ์
“ในเมื่อเผยไพ่ตายออกมาแล้ว หากปล่อยพวกเจ้ารอดไป มิเหมือนว่าข้าคนแซ่ซูไร้สามารถหรือ?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!
เมื่อมือขวาของเขายกขึ้น ดาบแห่งโลกาก็กระเพื่อมด้วยนิมิตหกวิถีเวียนวัฏ
และเมื่อซูอี้ใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังโคจรเคล็ดพลังวัฏสงสาร ภาพอันน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏ
เก้าชั้นฟ้าทั่วแดนดินสะท้านสะเทือนราวกับพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกขณะ
ท้องนภาที่เคยสว่างไสวประหนึ่งตกลงสู่รัตติกาลตราบนิรันดร์
นิมิตเช่นสระเวียนวัฏ แท่นเกิดใหม่ เส้นทางสุดวิถี ทะเลทุกข์ พลบค่ำสิ้นตะวัน ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิและอื่น ๆ ล้วนปรากฏขึ้นในโลกหล้าอันดำมืด
“นี่คือ?”
เหล่าตัวตนในขอบเขตจุติสรวงซึ่งหนีไปไกลแล้วล้วนชะงักอย่างหวาดผวา
รอบข้างนั้นดูราวกับอยู่ในโลกหล้าอันแปรเปลี่ยนจากวัฏสงสารซึ่งไร้หนทางหลบหนี
สระเวียนวัฏอันกว้างใหญ่และเรียบง่ายเต็มไปด้วยแสงสว่างเกินคาดหยั่ง เงานิมิตชีวิตและความตายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเหนือแท่นเกิดใหม่ วิถีอันปกคลุมด้วยบุปผาสุดวิถีดูราวหมื่นคบเพลิงสุกสกาว ชี้นำทางสู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดดำ…
ทะเลทุกข์อันไร้ที่สิ้นสุดเต็มไปด้วยกระดูกขาวโพลน มิอาจได้ผุดเกิด ชีวิตสิ้นอิสระ
ณ แดนดินที่ปกคลุมด้วยพลบค่ำอันวังเวงว่างเปล่า และเปี่ยมด้วยกลิ่นอายมรณะเงียบสงัดชั่วกาล
ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิไหวเอน กิ่งก้านทั้งหลายดูคล้ายกับเป็นประตูสู่โลกหล้าแดนสรวงทอดยาว…
ขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอาสัญแห่งโบราณกาลหรือเหล่ายอดฝีมือในวิถีจุติสรวง พวกเขาล้วนตะลึงสะพรึงกลัว
พวกเขา… ตกอยู่ในหกวิถีเวียนวัฏอันแท้จริง!?
ซูอี้ผู้ได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกอดประหลาดใจไม่ได้
การโคจรพลังวัฏสงสารด้วยปราณดาบเก้าคุมขังสร้างแดนหกวิถีเวียนวัฏที่แท้จริงนี้ได้หรือ?
ช่างน่าอัศจรรย์!
‘ในอดีตชาติเหล่านั้นของข้าไม่มีชาติใดบรรลุอำนาจวัฏสงสารมาก่อน แต่กลับเวียนวัฏได้ด้วยอำนาจของดาบเก้าคุมขัง…’
‘หรือนี่จะหมายความว่าตัวดาบเก้าคุมขังเองก็มีอำนาจวัฏสงสารในตัวมันเช่นกัน จึงก่อให้เกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ยามเคลื่อนเคล็ดพลังวัฏสงสาร?’
ซูอี้ครุ่นคำนึง
“หนี หนีเร็ว!”
ในโลกหล้าอันมืดมิด ใครบางคนกรีดร้องออกมาอย่างขวัญผวา
“หากไร้ทางหนี จะหนีไปหนใดได้?”
บางคนกล่าวขึ้นมาอย่างหมดหวัง
จริงอย่างที่เขาว่าฟ้าดินถิ่นนี้เป็นเช่นวัฏสงสารไร้ทางออก พวกเขาหมดหนทางหนีแล้ว!
“ทัศนาจารย์ ข้ายอมแพ้แล้ว ขอรามือเมตตาด้วย!”
จงเทียนเฉวียนตะโกนอย่างลนลานด้วยใบหน้าซีดขาว “ข้ารับปากว่าจากนี้ไป ตระกูลจงของข้าจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีก!”
ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงทั้งหลายต่างลนลาน
ขณะเดียวกัน…
หนึ่งเสียงดังลั่นมาจากไกล ๆ
“ทัศนาจารย์ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ พวกเราต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าวดีหรือไม่? ปล่อยพวกเขาไป และข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย!”
เสียงยังมิทันขาดหาย ทว่าแม้พวกจงเทียนเฉวียนจะมิอาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก แต่ก็เดาได้ว่ามีบางคนมาช่วยพวกเขาแล้ว!
หัวใจพวกเขาชื้นขึ้น ความหวังถูกจุดขึ้นใหม่
ในสายตาของซูอี้ เขาเห็นว่านอกแดนวัฏสงสารอันดำมืดที่ตนควบคุมมีตัวตนร้ายกาจกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามา
พวกเขามีมากกว่าสิบคน มีทั้งชายและหญิง พวกเขาต่างใช้สารพัดสมบัติสะกดปราณ
นอกจากนั้นซูอี้ยังเห็น ‘จอมปีศาจคว่ำบรรพต’ หลีจงผู้ติดตามทายาทเซียนม่อชิงโฉวรวมอยู่ด้วย!
แม้ผู้อื่นจะไม่คุ้นหน้า แต่ไม่ว่าฐานะหรือตัวตน พวกเขาก็ย่อมมิได้ด้อยไปกว่าฝูตงหลีกับหลีจงเลย!
ทว่าหลังจากผู้คนกลุ่มนี้ปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกของแดนวัฏสงสารอันมืดมิด พวกเขาก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้กว่านี้แม้แต่น้อย สีหน้าของทุกผู้เปี่ยมด้วยความหวั่นเกรง
ซูอี้กล่าวขำ ๆ “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ออกมา แต่ยามเห็นคนเหล่านี้ใกล้ตกตายก็ออกมาหยุด ไม่คิดว่าน่าขันไปหน่อยหรือ?”
“ซูอี้ เจ้าควรรู้สึกโชคดีนะ หากข้าเลือกลงมือแทนที่จะรอ เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจรับมือได้นานแล้ว!”
ชายชราร่างผอมเตี้ยกล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาลมาดร้าย
เขาแบกกล่องดาบกล่องหนึ่งบนหลัง ขณะถือน้ำเต้าสีแดงเพลิงในมือ ม่านแสงวิถีอันเจิดจรัสปกคลุมร่างและซุกซ่อนอำนาจของเขาไว้
ซูอี้ถอนใจถาม “เจ้ามาจากหอเซียนดาบมายาหรือไม่?”
“ถูกต้อง!”
ชายชราร่างผอมหาปกปิดสิ่งใดไม่ “ขอเพียงเจ้าหยุดเสียตรงนี้ เรื่องวันนี้จะจบลงที่นี่ หาไม่…”
ยังพูดไม่ทันจบ ซูอี้ก็ขยับดาบแห่งโลกาในมือน้อย ๆ
เปรี้ยง!
ในแดนวัฏสงสารมืดมิด ร่างของชายชราชุดขาวจากหอเซียนดาบมายาพลันระเบิดเปรี้ยงและสิ้นวิญญาณในพริบตา
ภาพนี้ทำให้เหล่าตัวตนในวิถีจุติสรวงซึ่งติดอยู่ภายในตะลึง
ยามนี้พวกเขาไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่รอถูกสังหารอยู่ในแดนวัฏสงสารนี้ โดยมิอาจรับรู้เรื่องต่าง ๆ ในโลกภายนอกได้เลย อย่าว่าแต่หาทางออก
ซูอี้กล่าวกับชายชราร่างผอมซึ่งอยู่ห่างออกไป “ยอดฝีมือจากหอเซียนดาบมายาของเจ้าตายหมดแล้ว ยังอยากจะพูดอันใดอีกหรือไม่?”
“เจ้า…”
ชายชราร่างผอมเดือดดาล ดวงตามืดบอดด้วยโทสะ
“คนแซ่ซู เจ้าจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ! หากเจ้าฆ่าพวกเขาทั้งหมด ข้ารับปากว่าฟ้าดินนี้ในภายหน้าจะไม่มีที่ให้เจ้ายืน!”
ฝูตงหลีผู้ถือร่มปรกนภากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากรู้ความก็ถอยออกมาและปล่อยพวกเขาไปเสีย! ข้าจะไม่ถือหากจะหยุดเพียงเท่านี้ หาไม่ ที่นี่วันนี้จะเป็นสถานที่และยามตายของเจ้า!”
เขาดูมิพอใจอย่างยิ่ง
ซูอี้กวาดตามองคนอื่น ๆ ขณะถาม “พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกันหรือไม่?”
“แน่นอน!”
หลายคนตอบโดยไม่คิดและวางตัวอย่างยิ่งใหญ่ยิ่ง
มีเพียงหลีจงผู้ลังเลรำพึง “พอแล้ว ปลักโคลนวันนี้ ตาแก่ไร้ค่าผู้นี้หาคิดพัวพันไม่”
เขาถอยไปไกลอย่างเงียบ ๆ
สิ่งนี้ทำให้ผู้อื่นขมวดคิ้ว ทว่าไร้ผู้ใดเอ่ยวจี
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวยิ้ม ๆ “งั้นข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์ใดมาพูดเช่นนี้”
กล่าวจบ
ดาบแห่งโลกาก็เงื้อสูง คมดาบฟาดฟันลงมา
ตู้ม!
แดนวัฏสงสารอันมืดมิดสะท้านสั่นก่อนจะสลายไปพร้อมกับเสียงกัมปนาท
ตัวตนในวิถีจุติสรวงหลายสิบคนซึ่งถูกกักอยู่ภายในสิ้นใจไปพร้อมกัน ไร้โอกาสได้มีปฏิกิริยา
เถ้าธุลีสลายสิ้น!
………………..