บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1356: ขณะที่ข้ายังมิโกรธ ไสหัวไปเสีย!
ตอนที่ 1356: ขณะที่ข้ายังมิโกรธ ไสหัวไปเสีย!
ด้วยวิถีเต๋าในปัจจุบันของซูอี้ หากคิดสังหารยอดฝีมือในขอบเขตจุติสรวงเหล่านั้นก็ย่อมต้องทุ่มเทอย่างมาก
ทว่าในเมื่อต่างฝ่ายต่างเริ่มงัดไม้ตายออกมา
ด้วยอำนาจของดาบเก้าคุมขัง เขาก็สามารถทำลายคู่ต่อสู้ทั้งมวลได้ในคราวเดียว!
ฝุ่นควันบางลง ฟ้าดินหวนคืนสู่สภาพเช่นกาลก่อน
ทว่าขณะนี้ ยอดฝีมือนับร้อยในขอบเขตจุติสรวงจากต่างสำนักล้วนถูกสังหารสูญสิ้น!
ในหมู่พวกเขามีวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีอยู่มากกว่ายี่สิบตน รวมไปถึงตัวตนวิถีจุติสรวงสูงสุดในขอบเขตจิตทารกเช่นจงเทียนเฉวียนและโจวหานซานด้วย!
“เจ้าสัตว์ร้ายน้อย อยากตายหรือไร!”
เสียงที่เดือดดาลเสียงหนึ่งแว่วมาจากไกล ๆ สุญญะพลันแตกร้าว จากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าหา
เขาคือชายชราร่างผอมจากหอเซียนดาบมายา
เขาเปี่ยมด้วยจิตสังหาร หนึ่งมือถือน้ำเต้าสีแดง อีกมือหนึ่งถือดาบเซียนฟาดฟันใส่ซูอี้อย่างโกรธแค้น
ตู้ม!
ดาบเซียนสลายกลายเป็นแสงดาบอันไร้ประมาณ และสร้างคลื่นอำนาจสะเทือนกฎสวรรค์
อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวนั้นสูงล้ำกว่าสมบัติวิถีเต๋าธรรมดาทั่วไป
ยามปราณดาบโปรยปราย มันก็ดูราวกับสามารถแยกนภาผ่าปฐพีได้
ม่านตาของซูอี้หดตัวอย่างเฉียบพลัน
อำนาจของดาบเล่มนี้ไม่อาจเทียบกับอาวุธสังหารที่วิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีใช้ออกมาก่อนหน้านี้ได้ มันแข็งแกร่งและทรงพลังเหลือเกิน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิถีเต๋าของชายชราร่างผอมนั้นร้ายกาจยิ่ง และดาบเซียนที่เขาใช้ก็ไม่มีทางใช้สมบัติชิ้นใดมาเทียบชั้นได้
จากนั้นซูอี้ก็ใช้ปราณดาบเก้าคุมขังกระตุ้นเคล็ดพลังวัฏสงสารทันที
ตู้ม!
แดนวัฏสงสารอันมืดมนปรากฏขึ้น
แม้ว่าการโจมตีนี้จะหยุดอำนาจดาบเล่มนั้นได้ในท้ายที่สุด แต่แดนวัฏสงสารก็สลายไปเช่นกัน ผลลัพธ์ของการประมือนี้ส่งผลให้เลือดลมทั่วกายของซูอี้ปั่นป่วน
“ความแตกต่างของความแข็งแกร่งแตกต่างกันเกินไป ดาบเซียนในมือของเจ้าแก่นั่นก็เกินธรรมดาจริง ๆ หากมิทุ่มกำลังสุดชีวิต เกรงว่าคงมิอาจเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
“ตาย!”
เห็นได้ชัดว่าชายชราร่างผอมเดือดดาลถึงขีดสุด จากนั้นเขาก็ใช้ดาบเซียนฟาดฟันสู่อากาศอีกหนอย่างไม่ปรานี
แทบจะในขณะเดียวกัน ฝูตงหลีผู้ถือร่มปรกนภาและเหล่าตัวตนร้ายกาจคนอื่น ๆ ล้วนเคลื่อนผ่านนภาเข้าโจมตีซูอี้
ทุกคนล้วนแข็งแกร่งและเปี่ยมจิตมาดร้าย อำนาจที่แสดงออกมานั้นเหนือชั้นกว่าวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีมากโข
นอกจากนั้น สมบัติลับที่พวกเขาใช้ล้วนทรงพลังอย่างเหนือจินตนาการใดเทียบ
ในพริบตานั้น ซูอี้ผู้ถูกล้อมโจมตีเบ็ดเสร็จก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ดาบแห่งโลกาครวญวจี หลังจากมันถูกหลอมรวมกับปราณดาบเก้าคุมขัง แม้ว่ามันจะสามารถต่อกรกับศัตรูอันร้ายกาจเหล่านี้ได้ ทว่าก็สร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้ยากอยู่ดี
แก่นของเรื่องอยู่ที่ผู้เฒ่าสิบกว่าคนเหล่านี้ต่างไม่ใช่ตัวตนในขอบเขตรวมวิถีแต่อย่างใด และแม้แต่สมบัติในมือแต่ละคนยังเป็นสมบัติวิถีเซียนด้วย!
ความแตกต่างนั้นห่างชั้นเกินไป
ทว่าซูอี้หาลดขวัญกำลังใจไม่
ดวงตาของเขาเย็นเยียบ หัวใจคุกรุ่นด้วยจิตสังหาร
ชั่วชีวิตของเขาประสบศึกร้ายกาจมาไม่อาจคณานับ เทียบกันแล้ว แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะรับมือได้ยาก ก็มิอันตรายต่อชีวิตมากนัก
เปรี้ยง!
ศึกนั้นดุดันถล่มแดนดิน
ตัวตนร้ายกาจสิบกว่าคนเหล่านั้นต่างเผยอำนาจอันไร้คู่เปรียบและไร้การออมมือ
หากเปลี่ยนเป็นตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตจุติสรวงในโลกนี้ เกรงว่าคงถูกการล้อมสังหารในปัจจุบันถล่มจนสิ้นชีพไปแล้ว!
“นี่สกัดไว้ได้ด้วยหรือ?”
หลีจงซึ่งมองการต่อสู้อยู่จากระยะไกลอดเบิกตากว้างไม่ได้
เขารู้ข้อมูลของคนสิบกว่าคนเหล่านั้น นอกจากทายาทเซียนเช่นฝูตงหลี พวกเจ้าเฒ่าคนอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นผู้นำสูงสุดในวิถีจุติสรวงยามมีชีวิตอยู่!
อีกทั้งพวกเขายังเป็นตัวตนขอบเขตจุติมงคลผู้เลื่องชื่อลืออำนาจในอดีตกาล เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถบดบังเมฆาและกวักมือสั่งพิรุณได้
หากสุ่มเลือกมาสักคน พวกเขาล้วนถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนาน เลิศล้ำเป็นรองเพียงเซียนในกลุ่มเต๋าโบราณเท่านั้น
จริงอยู่ที่ยามนี้คนเหล่านี้กลายเป็นวิญญาณอาสัญไปแล้ว และต้องใช้สารพัดสมบัติลับเพื่อซ่อนปราณขณะทำศึกเพื่อเลี่ยงการโจมตีจากกฎสวรรค์
ทว่าอำนาจต่อสู้ของเจ้าเฒ่าเหล่านั้นก็ยังห่างไกลเกินกว่าตัวตนใด ๆ ในขอบเขตรวมวิถีจะต่อกร!
นอกจากนั้นสมบัติที่พวกเขาใช้ต่างก็เป็นสมบัติเซียน แม้อำนาจจะถูกลดทอนลง แต่ก็ยังห่างไกลจากสมบัติชิ้นอื่นในโลกหล้ามากนัก
ทว่าพวกเขากลับมิอาจปราบราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นซูอี้ได้ในทันที หลีจงมีหรือจะมิประหลาดใจ?
หลีจงพึมพำในใจ
“เอาล่ะ ยามเขาพ่ายศึก ข้าจะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเขา!”
หลีจงตัดสินใจ
หนนี้ เขาได้รับคำสั่งจากม่อชิงโฉวให้มาส่งถ่านยามหิมะตก สร้างบุญคุณอันมิอาจปฏิเสธได้กับซูอี้
ด้วยเหตุนี้ เขาจะไม่ทนมองซูอี้ถูกผู้อื่นจับตัวไปทั้งเป็นได้
“ทุกคน ปราบคนผู้นี้ก่อน จากนั้นก็สกัดวัฏสงสารของเขาออกมาแบ่งกัน!”
เสียงของฝูตงหลีเย็นเยียบ
“ได้!”
ทุกคนล้วนเห็นชอบ
การโจมตีของพวกเขาทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้สถานการณ์ของซูอี้ย่ำแย่ลงทุกขณะ ร่างกายของเขาเริ่มบาดเจ็บ
ทว่าเขากลับดูเฉยชาเยี่ยงกาลก่อน ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ หากชายหนุ่มทุ่มสุดกำลังจริง ๆ ก็อาจต้องสูญเสียมหาศาล แต่เขาแน่ใจว่าจะสามารถสร้างวิถีนองโลหิตขึ้นได้!
“รอต่อไม่ได้แล้ว หากให้เด็กนั่นตกสู่มือผู้อื่น จะยังมีสิ่งใดต้องพูดกันด้วยหรือ”
หลีจงกัดฟัน ขณะกำลังจะก้าวสู่สมรภูมิซึ่งอยู่ห่างออกไป
ทว่ายามนี้เอง ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างกะทันหัน
หรือนั่นคือ?
ท่ามกลางฟ้าดิน หนึ่งสตรีหนึ่งสุนัขพื้นเมืองปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบงัน
สตรีผู้นี้สวมชุดคลุมผ้า เรือนผมดำยาวขมวดเป็นมวยหลวม ๆ และปักปิ่นไม้ ผิวพรรณเหลืองซีด รูปลักษณ์ไม่ค่อยโดดเด่นนัก
มีเพียงดวงตาอันสกาวแสงเยี่ยงระลอกน้ำยามสารท
ส่วนสุนัขพื้นเมืองนั้น… ก็ดูธรรมดาไม่ต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านทั่วไป
ทว่าเมื่อเขาเห็นสตรีและสุนัขพื้นเมือง หลีจงผู้เป็นจอมปีศาจแห่งขอบเขตจุติมงคลกลับหลั่งเหงื่อกาฬ หัวใจกระเพื่อมคลื่นอย่างหวาดหวั่น
ไฉนท่านเซียนผู้นี้จึงมาอยู่ที่นี่!?
“ชู่ อย่าเอ็ดไป อย่าขยับ มิเช่นนั้นจะเจ็บตัวได้”
สุนัขพื้นเมืองดูจะสังเกตเห็นสายตาของหลีจง มันจึงอดแยกเขี้ยวเผยซี่เขี้ยวขาวเต็มปากมิได้
หลีจงเงียบกริบ สีหน้ามืดคล้ำ
สตรีในชุดผ้ามิได้มองหลีจงมาแต่ต้นจนจบ
นางถือตะกร้าบุปผาเก่า ๆ ดูเรียบง่ายเฉกเช่นหญิงชาวบ้าน
ทว่ายามนางและสุนัขพื้นเมืองปรากฏกายขึ้น ตัวตนร้ายกาจนับสิบซึ่งกำลังล้อมโจมตีซูอี้อยู่ไกล ๆ พลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งและจับสังเกตได้เป็นครั้งแรก
“ท่านเซียนหงอวิ๋น! ยอดราชันซิงเชวีย!”
หลายคนดูประหลาดใจครู่หนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความพรั่นพรึง
เปลือกตาของฝูตงหลีกระตุก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เขาหัวเราะลั่นและแสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ท่านเซียนหงอวิ๋น? เจ้าก็มาที่นี่เพื่ออำนาจวัฏสงสารด้วยหรือ? พอดีเลย ข้ากำลังจะจับตัวเจ้าสัตว์ร้ายน้อยนี้ได้ และหลังจากนี้จะมอบส่วนแบ่งให้ท่านเซียนทีหลังนะ!”
ขณะนี้เอง ซูอี้ก็เห็นว่าปราชญ์หงอวิ๋นปรากฏกายขึ้นพร้อมสุนัขพื้นเมือง และยังสัมผัสได้ว่าศัตรูร้ายซึ่งกำลังล้อมโจมตีเขาอยู่นี้ล้วนหวาดกลัวปราชญ์หงอวิ๋นทั้งสิ้น!
“สตรีผู้นี้… รับมือยากกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
ซูอี้ครุ่นคิดอย่างประหลาดใจนัก
“พวกเจ้าเห็นแล้วว่านายข้ามา แต่ยังไม่หยุดมืออีกหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองยกหางเชิดหัวกล่าวอย่างทะนง
ทันทีที่วาจาถูกเปล่งออกมา เหล่าตัวตนร้ายกาจก็อดขมวดคิ้วมิได้ ความเครียดขึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนเหล่านั้น
“ซิงเชวีย เจ้าและนายเจ้าดูเฉย ๆ ก็ได้ ข้าสัญญาว่าเคล็ดวัฏสงสารจะมีส่วนของพวกเจ้าด้วย!”
ฝูตงหลีกล่าวยิ้ม ๆ
ขณะกล่าว พวกเขาก็หาหยุดมือไม่ การโจมตีทวีคูณความร้ายแรงขึ้นทุกขณะ
“ฮึ!”
สุนัขพื้นเมืองกำลังจะกล่าวบางอย่างด้วยความไม่พอใจ
ทว่าทันใดนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นผู้มองเหตุการณ์อยู่แต่ต้นโดยมิพูดจาก็ยกมือขึ้น
ในตะกร้าบุปผาเก่า ๆ พลันมีแสงเซียนสีแดงสดทะยานออกมาปกคลุมสมรภูมิที่อยู่ห่างไกลออกไป
ตู้ม!!!
แสงเซียนเจิดจ้าเยี่ยงเปลวเพลิง ยามสาดประกายก็ดูราวบรรจุอำนาจไร้ขอบเขต ฟาดร่างของตัวตนร้ายกาจทั้งหลายจนกระเด็นไปในทันที
หนึ่งการโจมตีนี้สะบั้นวงล้อมสังหารจนสลายทัพศัตรูสิ้น!
วิธีการอันร้ายกาจนี้ทำให้ซูอี้อดหัวใจสั่นไม่ได้
นี่มันสมบัติชนิดใดกัน?
มันแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
“ท่านเซียนหงอวิ๋น นี่หมายความเช่นไร?”
“เจ้าอยากฮุบวัฏสงสารไว้ผู้เดียวหรือ?”
เสียงตะโกนอุทานดังขึ้นตาม ๆ กัน
ตัวตนร้ายกาจเหล่านั้นล้วนเดือดดาล เจ้าเฒ่าบางคนกระทั่งเริ่มกระอักเลือด สภาพดูสะบักสะบอมยิ่ง
“ครั้งหนึ่ง ข้าและสหายเต๋าซูเชื่อมไมตรีฉันมิตร ข้าทนมองเขาตกสู่มือพวกเจ้ามิได้หรอก”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ
“เชื่อมไมตรีฉันมิตร?”
ฝูตงหลีอดหัวเราะไม่ได้ “ทุกคนล้วนไล่ตามเคล็ดวัฏสงสาร ไฉนต้องกลบเกลื่อนปิดบัง?”
สีหน้าของเขาย่ำแย่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทเซียนเช่นกัน ทว่าเมื่อครู่ เซียนหงอวิ๋นกลับฟาดเขาจนกระเด็นอย่างไร้ความปรานี!
ปราชญ์หงอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของนางกวาดมองพวกฝูตงหลีและกล่าวเบา ๆ “ขณะที่ข้ายังมิโกรธ ไสหัวไปเสีย!”
วาจานั้นราบเรียบ ทว่ากลับอหังการที่สุด
สีหน้าของพวกฝูตงหลีพลันถมึงทึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะตัดบทได้ไร้ความเกรงใจเช่นนี้!
“บอกให้ไสหัวไปไง หูหนวกกันหรือ?”
ซิงเชวียกล่าวด่า
ชายชราร่างผอมสูดหายใจลึก ๆ และกัดฟันกล่าว “เซียนหงอวิ๋น หากทำเช่นนี้ เชื่อว่าไม่เพียงหอเซียนดาบมายาของข้าจะมิเห็นพ้อง ทว่ากลุ่มเต๋าอื่น ๆ ที่นี่ก็ย่อมมิเห็นด้วยเช่นกัน!”
“ข้าบอกเจ้าก็ย่อมได้ว่าเจ้าหอเซียนดาบมายารุ่นที่เก้า ‘หลิงเยว่ซู’ และบรรพชนท่านอื่น ๆ กำลังจะตื่นจากนิทราในไม่ช้านี้! เจ้า…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ คิ้วของปราชญ์หงอวิ๋นก็ขมวดเล็กน้อย แสงเซียนสีแดงสดทะยานออกจากตะกร้าบุปผาที่นางถืออยู่
ตู้ม!
แสงเซียนสยบสังหาร ชายชราร่างผอมทุ่มกำลังขัดขืนเต็มที่ ทว่าก็ถูกฟาดฟันกระเด็นไปอย่างไม่อาจต่อกร ร่างแหลกสลายจนเกือบมอดมลาย
สภาพสะบักสะบอมนี้ทำให้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง หน้าเปลี่ยนสีไปตาม ๆ กัน
“ภายในสามอึดใจ หากยังมิไปก็ตาย”
น้ำเสียงของปราชญ์หงอวิ๋นสงบเยือกเย็น
สีหน้าของพวกฝูตงหลีดูเข้าใจยากไปชั่วขณะ
ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ยอมลงจากไปทีละคน
“หงอวิ๋น! เรื่องวันนี้มิจบเพียงเท่านี้หรอกนะ!”
เสียงมาดร้ายของฝูตงหลีแว่วมาจากไกล ๆ
ปราชญ์หงอวิ๋นหาสนใจไม่
นางเดินมาหาซูอี้อย่างไร้สะทกสะท้าน จากนั้นจึงนำสุราไหหนึ่งออกมาจากตะกร้าบุปผา “เมื่อไม่นานนี้ ข้าบ่มสุราไหใหม่ ลองหน่อยหรือไม่”
ซูอี้ผงะไปครู่และหลังจากรับไหสุรามา เขาก็ถอนหายใจ