บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1357: ป้ายสัญลักษณ์จักรดารา
ตอนที่ 1357: ป้ายสัญลักษณ์จักรดารา
จากแดนแสนไกล หลังจากได้ประสบการลงมือดุดันเยี่ยงสายฟ้าฟาดของปราชญ์หงอวิ๋น
หลีจงลอบรำพัน ความรู้สึกเสียดายอิดออดแผ่ซ่านในใจอย่างรุนแรง
เดิมที นั่นเป็นโอกาสงามสำหรับการส่งถ่านยามหิมะตก ทว่าเขากลับพลาดเฉียดไปเพียงปลายเส้นผม
ใครเล่าจะตัดใจยอมแพ้ได้?
“ทว่าก็โทษข้าไม่ได้เช่นกัน ใครเล่าจะคิดว่าเซียนหงอวิ๋นผู้มักจะปลีกตัวสันโดดมิสนใจผู้ใดจะออกมาจากสมุทรมารไร้กำหนดกัน?”
แววตาของหลีจงดูซับซ้อน
เซียนหงอวิ๋น ทายาทเซียนผู้มีที่มาสูงส่งเป็นปริศนาออกจากโลกเซียนมายังแดนมนุษย์ตั้งแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์
ทว่าตัวตนและที่มาของนางลึกลับอย่างยิ่ง
ลือกันว่านางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเซียนสูงสุดตระกูลหนึ่งในโลกเซียน สูงส่งมิอาจบรรยาย ยามพบเซียน เซียนยังต้องไว้หน้านางสามส่วน
และยังลือกันว่านางเป็นศิษย์ใกล้ชิดของจักรพรรดิวิถีเซียนผู้หนึ่งในโลกเซียนอีกด้วย
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ความเห็นแตกแขนงหลากหลาย
ทว่าหลีจงรู้ว่าในสมัยโบราณ กระทั่งเหล่าเซียนในโลกหล้าจะพูดเกี่ยวกับเซียนหงอวิ๋น พวกเขายังต้องหลบซ่อนเลี่ยงคำ กล่าวเพียงว่าอีกฝ่ายหาใช่ทายาทเซียนธรรมดาไม่!
“ท่านเซียนม่อชิงโฉวน่าจะรู้ข้อมูลภายในอยู่บ้าง หากนางรู้ว่าเซียนหงอวิ๋นออกมาช่วยซูอี้ด้วยตนเอง ข้าก็ไม่อาจรู้ว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร”
เมื่อคิดเช่นนี้ หลีจงก็ส่ายหน้าหันหลังจากจร
เขาทำได้เพียงรายงานเรื่องทั้งหมดนี้แก่ม่อชิงโฉว ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตัดสินใจ
……
เมื่อได้ยินเสียงถอนใจเบา ๆ ของซูอี้ สุนัขพื้นเมืองก็เดินเข้ามา กล่าวอย่างไม่ชอบใจพร้อมกระดิกหาง “มิเพียงนายข้าช่วยชีวิตเจ้า นางยังบ่มสุรามาให้เจ้าลองชิมสด ๆ ใหม่ ๆ เจ้าจะถอนใจเพื่อการใด?”
ซูอี้แย้มยิ้ม โน้มตัวลงยกมือขึ้นขยี้ขยำหัวเจ้าสุนัขอย่างดุเดือดมันเขี้ยว “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
สุนัขพื้นเมืองโกรธจนแยกเขี้ยว แทบอดใจงับซูอี้มิได้ เจ้าบ้านี่มาลูบหัวมันอีกแล้ว โอหังบังอาจยิ่ง!
ซูอี้เปิดไหสุรายกจิบ สุคนธรสกระจ่างกลมกล่อมโชยแตะจมูก และทันใดนั้นก็รู้สึกราวมีดวงเพลิงนุ่มนวลไหลลงคอ แทรกซึมสู่แขนขาสรรพางศ์
ขณะนั้น ทุกรูขุมขนของซูอี้ผ่อนคลายดุจได้ลิ้มเมรัยเซียนรังสรรค์ ใจกายล่องลอย ผ่อนคลายสบายตัวมิอาจบรรยาย บาดแผลจากศึกที่ผ่านมาล้วนฟื้นสภาพเร่งเร็วเสียจนเห็นด้วยตา และพลังการฝึกฝนซึ่งเหือดหายก็คืนกลับอย่างรวดเร็วยิ่ง!
“สุรานี้… ยอดไปเลย”
ซูอี้อดจิบอีกอึกมิได้
สุนัขพื้นเมืองกลืนน้ำลายพร้อมแค่นเสียงกล่าวด้วยนัยน์ตาแดงฉาน “เพ้อเจ้อ สุราจากโอสถทิพย์จุติสรวงหลายร้อยชนิดมีหรือจะไม่สุดยอด?”
ทันทีที่มันพูดจบ มันก็รีบหดหัวราวกลัวซูอี้จะยีหัวมันอีก มิกล่าววาจาใดเพิ่ม
ซูอี้แย้มยิ้ม หันไปกล่าวกับปราชญ์หงอวิ๋นว่า “กล่าวตามตรง แม้ยามก่อนเจ้าจะไม่ออกมา พวกเขาก็ทำอันใดข้ามิได้อยู่ดี”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้าราวเห็นด้วย
ทว่านางก็กล่าวขึ้นทันที “ในศึกก่อนหน้านี้ ไพ่ตายของเจ้าเผยออกมาแล้ว จะให้ศัตรูหยั่งฝีมือสุดขั้วของเจ้ามิได้ หาไม่ หนหน้าที่พวกเขามา จะเตรียมวิธีการสังหารเจ้ามาด้วยแน่นอน ซึ่งจะมีแต่แย่มากกว่าดี”
“นอกจากนั้น ข้าคิดว่าการสังหารศัตรูด้วยอำนาจภายนอก แม้จะทรงพลังชั่วขณะ แต่ก็มิเอื้อผลดีใด ๆ กับการฝึกฝน และสำหรับเจ้า คู่ต่อสู้เมื่อครู่นี้หาใช่หินลับดาบอันเหมาะสมไม่ จะฆ่าเสียด้วยอำนาจภายนอกก็น่าเสียดาย”
ซูอี้ฟังแล้วก็กล่าวอย่างปักใจเชื่อ “เจ้าว่ามาก็ถูก”
ชั่วขณะนี้ เขาพลันรู้สึกราวเสวนากับสหายสนิท
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราชญ์หงอวิ๋นผู้นี้ก็แสวงวิถีด้วยตนเองแทนที่จะพึ่งพาวัตถุภายนอกเช่นเดียวกับเขา ทั้งทัศนคติและครรลองกระทำตนก็มิอาจใช้ทายาทเซียนเช่นฝูตงหลีผู้ใช้สารพัดสมบัติลับมาเทียบได้
“สักพักหลังจากนี้ข้าจะไปยังโลกเร้นลับที่เซียนทิ้งไว้ และหากเป็นไปได้ หวังว่าเจ้าจะไปกับข้าด้วย”
ปราชญ์หงอวิ๋นโพล่งขึ้น
ซูอี้ผงะไป ก่อนจะกล่าวว่า “ไปสำรวจหาวาสนาเซียนหรือ?”
“พูดเช่นนั้นก็ได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “ซากโบราณนั้นเกี่ยวพันกับผู้ทรงอำนาจผู้หนึ่งในโลกเซียน ยามนี้เจ้ายังไม่พร้อม หากเข้าไปเจ้าจะตาย จากการคำนวณของข้า ภายในครึ่งปี ด้วยการพัฒนาแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ของโลกหล้าฟ้าดิน อำนาจของค่ายกลวิถีเซียนซึ่งปกคลุมซากโบราณนั้นอยู่จะสลายไปมากกว่าครึ่ง”
“ทว่า ข้าสงสัยว่าเป็นไปได้สูงนักว่าจะมีวาสนาเซียนอยู่ในซากโบราณนั้น จึงอยากชวนเจ้ามาด้วยกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าจะมิให้เจ้ามาอย่างไร้ประโยชน์หรอก”
ซูอี้ส่ายไหสุราในมือขณะกล่าว “สุราไหนี้ก็พอแล้วล่ะ”
ริมฝีปากของปราช์หงอวิ๋นอดยกยิ้มมิได้ “หากเจ้าชอบ หนหน้าข้าจะเอามาให้เจ้าอีก”
ซูอี้มีหรือจะปฏิเสธ เขาแย้มยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณล่วงหน้าเลย”
สุนัขพื้นเมืองซึ่งอยู่ด้านข้างลอบปรามาส คนผู้นี้หน้าหนาจริงแท้!
ปราชญ์หงอวิ๋นนำยันต์หยกสีฟ้าครามขนาดเพียงสามชุ่นออกมาส่งให้ซูอี้ชิ้นหนึ่ง “เจ้าเก็บป้ายสัญลักษณ์นี้ไว้ และเมื่อข้าไปยังซากโบราณวิถีเซียน เจ้าแค่ถือมันไว้ในมือก็จะเข้าร่วมกับข้าได้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่ายันต์หยกนี้หาธรรมดาไม่ มันถูกสลักด้วยลวดลายลับวิถีเซียนหนาแน่นยากเข้าใจ เพียงปราณแผ่จากมันก็ทำให้ซูอี้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่เยี่ยงขุนเขา ลึกล้ำเยี่ยงหุบเหวได้
ด้านหลังยันต์หยกนี้สลักภาพจักรวาลดาราเอาไว้
“ยันต์นี้ช่วยชีวิตได้เช่นกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “ทว่า ในความเห็นข้า เว้นเสียแต่วิญญาณอาสัญในวิถีเซียนจะลืมตาตื่น หรือเกิดหนึ่งบุคคลผู้ไม่ถูกผูกมัดโดยกฎฟ้าดิน ปกติแล้วสหายเต๋าก็มิควรใช้วัตถุชิ้นนี้หรอก”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากเป็นเช่นนั้นย่อมดีแล้ว”
ต่อจากนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นก็จากไป มิกล่าววาจาใดอีก
ก่อนจาก สุนัขพื้นเมืองถ่ายทอดเสียงมาเตือนอย่างรวดเร็ว “เจ้าหนู เจ้าชั่งใจดี ๆ นะ หากมิถึงชั่วกาลเป็นตาย อย่าได้ใช้ยันต์ลับชิ้นนั้น สมบัตินี้…”
ทันทีที่พูดถึงตรงนี้ ต้นคอของมันก็ถูกมือของปราชญ์หงอวิ๋นคว้าแล้วยกขึ้น “ไปนะ”
และเพียงหนึ่งย่างก้าว นางก็หายไป
สุดหล้าไร้ร่องรอย
ซูอี้ก้มลงมองยันต์หยกฟ้าครามในมือ และตระหนักว่าที่มาของยันต์หยกนี้ต้องพิเศษยิ่งเป็นแน่แท้!
“ซากโบราณวิถีเซียน ไม่อาจรู้เลยว่าจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่…”
ซูอี้ครุ่นคิดขณะเก็บยันต์หยกหันหลังจากไป
แดนดินพังทลาย พิภพพังถล่ม สภาพแวดล้อมเละเทะไร้ชีวิต
เขาหยั่งนภาและแท่นนภาม่วงสลายหายไปราวกับถูกลบจากโลกหล้าในมหาสงครามก่อนหน้านี้แล้ว
ทว่าศึกในวันนี้ย่อมกระทบต่อครรลองแห่งโลกาเป็นแน่แท้!
……
“เจ้านาย ไฉนท่านต้องให้ป้ายสัญลักษณ์จักรดาราแก่ซูอี้ผู้นั้นด้วยขอรับ?”
ระหว่างทางกลับ สุนัขพื้นเมืองอดถามไม่ได้
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวลอย ๆ “ไฉนข้าจะทำมิได้เล่า?”
สุนัขพื้นเมืองพลังสิ้นวาจา หยุดพูดคุยอย่างอึดอัดใจ
ครู่ต่อมา มันก็พึมพำ “ถึงข้าจะไม่เข้าใจเจตนาของเจ้านายก็เถอะ แต่หากเสียยันต์นี้ไป…”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวขัด “เสียก็คือเสีย เมื่อโลกเซียนเกิดหายนะ เซียนทั้งหลายก็ล้มตายเยี่ยงพิรุณโปรย มิอาจทราบได้ว่ามีขุมกำลังใหญ่ถูกทำลายสิ้นไปมากมายเพียงใด และยามนี้พวกเราก็ติดค้างในโลกมนุษย์ แม้ภายหน้าเราจะได้โอกาสหวนสู่โลกเซียน ข้าก็เกรงว่าคงไม่อาจคืนอดีตกลับมา ไฉนต้องมัวห่วงยันต์ลับชิ้นเดียวด้วยเล่า?”
นัยน์ตาของสุนัขพื้นเมืองเศร้าหมอง วาจาสิ้นไป
กาลก่อน พวกนางมาจากโลกแห่งเซียนเพื่อหลบหายนะ ทว่าใครเล่าจะคาดว่าหายนะจะบังเกิดขึ้นในโลกนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ยามนี้ พวกนางทั้งปวงจึงกลายเป็นวิญญาณอาสัญ คนเป็นก็มิใช่ ผีก็มิเชิง
“เจ้านาย เรามีโอกาสคืนสู่โลกเซียนจริง ๆ หรือ?”
เนิ่นนานจากนั้น สุนัขพื้นเมืองก็ถามขึ้น
“แน่นอนสิ”
ปราชญ์หงอวิ๋นหาลังเลไม่ “กาลเวลาเปลี่ยนไปแล้ว วิถีจุติสรวงปรากฏขึ้นใหม่ ภายในสองปี เขตแดนสมรภูมิก็จะหวนปรากฏด้วยเช่นกัน ในโลกนี้… ไร้สิ่งใดเป็นไปมิได้!”
……
วันเดียวกันนั้น ข่าวศึก ณ แท่นนภาม่วงเขาหยั่งนภาก็สะพัดออกลือลั่นทั่วโลกา ก่อเกิดเสียงวิพากษ์เดือดพล่านยิ่งกว่าหนใด
“มิเพียงเขาไม่ตาย เขายังสังหารทั่วทศทิศ สลายวงศัตรูสิ้นด้วย!”
“สวรรค์!”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ครั่นคร้ามสะท้านตะลึงมากมายเพียงไร
ณ แท่นนภาม่วง ทัศนาจารย์หนึ่งคนหนึ่งดาบสังหารชาวประมง จิตรกร เติ้งจั๋ว และเหยียนเต้าหลิน สี่ยอดฝีมือสูงสุดแห่งจักรวาลพร่างดาว!
รวมถึงยังทลายวงล้อมสังหารผู้ฝึกตนนับร้อย ๆ ในวิถีจุติสรวง!
เกียรติประวัติเช่นนี้เจิดจรัสตระการ ให้ความรู้สึกเกินจริงเยี่ยงภาพฝัน
“ศึกนี้บรรยายได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่ยุคโบราณ! และหลังศึกนี้ในภายหน้า ใครเล่าจะยังกล้าพูดอีกว่าทัศนาจารย์จะถูกกำจัด?”
ตัวตนอาวุโสล้วนตะลึงถึงวิญญาณ
“กลุ่มเต๋าโบราณสิบกว่าแห่ง สามตระกูลโบราณอารักษ์วิถียิ่งใหญ่และขุมกำลังสูงสุดแห่งโลกหล้ามากมายร่วมมือ ทว่าพวกเขาต่างก็ถูกทัศนาจารย์กวาดล้างสิ้น! ทัศนาจารย์ผู้นี้… อยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมิจริง ๆ หรือ?”
เมื่อข่าวแพร่ออกไปมากขึ้น พวกเขาก็สับสนนัก
“สิ่งใดไร้ใดเหมือน? สิ่งใดคือหนึ่งดาบสยบหล้า? นี่ไงเล่า!”
“ไม่ว่าจะเป็นกาลก่อนหรือยามนี้ เจ้าก็เชื่อได้เสมอว่าทัศนาจารย์ไร้พ่าย!”
โลกหล้าเดือดพล่านโดยสมบูรณ์ ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเพียงไรโห่ร้องอย่างตื่นเต้น
“ทัศนาจารย์คือเทพตราบนิรันดร์!”
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์บางผู้กระทั่งเทิดทูนทัศนาจารย์สูงส่งสุดขั้ว
สำหรับกลุ่มเต๋าโบราณและขุมอำนาจสูงสุดแห่งโลกหล้าเหล่านั้น ศึกที่แท่นนภาม่วงนั้นเหมือนเสียงเตือนสติสนั่นจิต ทำให้พวกเขารับผลกระทบร้ายแรงยากสงบสติ
ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี สกุลจง
ข่าวการตายของจงเทียนเฉวียนและตัวตนอื่น ๆ ในตระกูล ณ ศึกแท่นนภาม่วงสะเทือนทั่วตระกูลจง ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนทั้งเสียใจและเดือดดาล
“พ่าย? พ่ายได้เช่นไร?!”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้เฒ่ามากมายเพียงไรเดือดดาลสิ้นสติ ยากจะยอมรับได้
……
ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี สกุลโจว
ทั้งตระกูลแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยผ้าลินินขาวเยี่ยงหิมะ
“หากแค้นนี้ไร้การชำระ ตระกูลโจวเราจะอยู่ในโลกหล้าได้เช่นไร?”
“รอก่อนเถอะ แม้เขาซูอี้จะชนะในยามนี้ แต่ก็เท่ากับประกาศตนเป็นปรปักษ์กับขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายอย่างเต็มตัว และสักวันเขาจะถูกคิดบัญชี!”
วาจาลักษณะเดียวกันสะท้อนเสียงแล้วเสียงเล่าในตระกูลโจว
……
ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี สกุลซู
บรรยากาศถิ่นนี้ก็หม่นหมองหดหู่เช่นกัน
ศึกที่แท่นนภาม่วงกระทบกระเทือนตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเหล่านี้อย่างหนักหน่วงยิ่ง ไม่เพียงทำให้ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงกลุ่มหนึ่งสิ้นสลายไป ยังกระทบถึงเกียรติภูมิของพวกเขาอย่างรุนแรง
เป็นสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน!
และสำหรับกลุ่มเต๋าโบราณเช่นหอเซียนดาบมายา บรรพตมารธารปรภพและพรรคเซียนเร้นราตรี ศึกนี้ก็ส่งผลกระทบร้ายแรงจนทำให้หน้าซีดเซียวไร้หน้าพบผู่ใด
มันคือความพ่ายแพ้ยับเยิน
ตัวตนในวิถีจุติสรวงนับร้อย ไม่เหลือผู้ใดรอดชีวิต!
นี่คือความอับอายอย่างสุดซึ้ง มิมีผู้ใดยอมได้!
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเต๋าโบราณหรือกลุ่มเต๋าสูงสุดแห่งปัจจุบันกาล ทุกผู้ก็รู้ว่าเมื่อศึกแท่นนภาม่วงจบลง เกียรติภูมิของทัศนาจารย์ย่อมทะยานสู่จุดสูงสุดยิ่งกว่ายามใด!
และผู้ใดคิดอยากกระทำสิ่งใดต่อเขาอีก เกรงว่าคงต้องคิดให้ดีว่าจะรับผลลัพธ์ของการกระทำได้หรือไม่!
………………..