บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1358: พบเสิ่นมู่
ในโลกหล้าอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
ช่างเสื้อกำลังชงชา
“คำนวณจากชั่วกาล ศึกที่แท่นนภาม่วงน่าจะจบแล้ว”
ช่างเสื้อพลันถอนใจ “น่าเสียดายที่พอทัศนาจารย์ตายไป ข้าก็ว้าเหว่นิดหน่อย เพราะถึงอย่างไร หลังประมือกับเขามานานแสนนาน ก็ช่างน่าใจหายเมื่อคิดว่าจะมิได้พบเขาอีกแล้วจากนี้ไป”
บ่าวเฒ่าที่ด้านข้างกล่าว “นายท่าน หากภายหน้าท่านต้องการพบทัศนาจารย์ ท่านก็ไปเคารพหลุมศพเขาได้นะขอรับ”
ช่างเสื้อผงะไป ก่อนจะอดถามมิได้ “โลงศพที่เตรียมไว้ให้ทัศนาจารย์พร้อมแล้วหรือ?”
บ่าวเฒ่ารีบร้อนกล่าว “เตรียมไว้แล้วขอรับ นอกจากโลงศพยังมีป้ายหลุมศพ เทียนไข กระดาษเงินและเครื่องเซ่นด้วยขอรับ ขาดแต่ให้นายท่านช่วยหาสถานที่ฮวงจุ้ยดี ๆ สร้างสุสานตั้งอนุสรณ์เท่านั้น”
“ข้าคิดว่าในเมื่อแดนลับพร่างจินดาถูกทำลายไปแล้ว ก็คงดีหากให้ใบไม้ร่วงคืนสู่ราก เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือบ้านเกิดของทัศนาจารย์นะ”
ช่างเสื้อกล่าว
บ่าวเฒ่าทอดถอนใจ “หากทัศนาจารย์ในปรภพทราบเข้า คงซาบซึ้งน้ำใจนายท่านเป็นแน่แท้ขอรับ”
ช่างเสื้อเสสรวลกล่าว “ฟ้ามืดแล้ว เมื่อถึงกาลข้าจะไปช่วยกลบเขาด้วยตนเอง”
กล่าวจบ เขาก็รินชาร้อนระอุลงจอกยกจ่อริมฝีปากเตรียมดื่ม
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างรีบร้อน “นายท่าน แย่แล้วขอรับ!”
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามา
เปลือกตาช่างเสื้อกระตุก “เกิดอันใดขึ้น? หรือพวกเจ้าเฒ่าจากกลุ่มเต๋าโบราณต่อสู้กันแย่งเคล็ดวัฏสงสาร?”
“ไม่…เปล่าขอรับ”
บ่าวรับใช้กล่าวตัวสั่นงันงก “เป็น…เป็นชัยชนะของทัศนาจารย์ขอรับ!”
เพล้ง!
ปลายนิ้วของช่างเสื้อสั่น จอกชาซึ่งจ่อปากตนอยู่ร่วงลงแหลกที่พื้น
ชาร้อนระอุราดรดทั่วกาย ทว่าเขากลับไร้ความรู้สึกสนใจ สีหน้าของเขาในขณะนั้นยากอ่านออกราววิญญาณลอยละล่องหลุดจากร่าง
บ่าวเฒ่ากล่าวเสียงแข็งอย่างเดือดดาล “เกิดอันใดขึ้น เล่ารายละเอียดมาเร็วเข้า!”
บ่าวรับใช้ไม่กล้าอ้อมค้อม เล่าเรียงเรื่องราวทีละส่วน
บรรยากาศกดดันเงียบดุจป่าช้า มีเพียงเสียงสั่น ๆ ของบ่าวรับใช้ดังต่อเนื่อง
ยามได้ยิน บ่าวเฒ่าตะลึงอึ้งสิ้นสติราวถูกสายฟ้าฟาด
ก่อนหน้านี้ เขายังคงหัวเราะเฮฮากับนายตนเรื่องความตายของเขา วางแผนกระทั่งจะตั้งสุสานเผากระดาษเงินให้
ทว่าเพียงพริบตา ข่าวร้ายก็ปรากฏขึ้น ทัศนาจารย์ชนะศึกใหญ่ที่แท่นนภาม่วง!
การตบหน้ากันนี้เกิดขึ้นเร็วยิ่ง!
ช่างเสื้อเงียบมาแต่ต้น
ไร้วาจาใด
สีหน้าของเขาซีดขาว หน้าผากยับย่นราวกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ในใจ
จนชั่วกาลผ่านเนิ่นนาน เขาพลันหัวเราะเยาะตนเองพลางรำพึง “ทั้งหมดนี้ยังสังหารคนผู้นี้ไม่ได้ ทำให้ข้าโกรธยิ่งนัก!”
ท้ายที่สุด น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นเกินอำพราง
บ่าวเฒ่าสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวขึ้นเสียงเข้ม “นายท่านโปรดระงับโทสะ หลังศึกนี้ ทัศนาจารย์อาจโดดเด่น ทว่าก็เทียบเท่ากับเขาล่วงเกินขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นโดยสมบูรณ์ เขาจะถูกคิดบัญชีในสักวันขอรับ!”
“คิดบัญชีรึ?”
ช่างเสื้อส่ายหน้ากล่าว “ยามนี้ข้าฆ่าทัศนาจารย์มิได้ การสังหารเขาในภายหน้าจะไม่ง่ายแล้ว”
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นถีบเตาซึ่งใช้ต้มชาล้มคว่ำ ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ข้าสังหรณ์ว่าทัศนาจารย์ คนผู้นั้นจะมาคิดบัญชีข้าก่อนน่ะสิ!”
บ่าวเฒ่าหัวใจเต้นกระตุก “นายท่าน เราซ่อนหลังฉากเสมอมา ต่อให้ทัศนาจารย์คิดล้างแค้น เกรงว่าคงยากจะหาร่องรอยเราได้นะขอรับ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ดูขาดความมั่นใจไปเสียหน่อย
ช่างเสื้อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “จากนี้ไป สะบั้นการติดต่อทั้งหมดกับโลกภายนอก ตัวหมากไร้ค่า เสียได้ก็เสียไป”
“ขอรับ!”
บ่าวเฒ่ารับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
“ก่อนรุ่งสางวันพรุ่ง เรียกกำลังทั้งหมดทั่วภูมินี้ ตามข้าไปซ่อนตัวที่ ‘แดนเร้นเทพ’!”
ช่างเสื้อว่าพลางผ่อนหายใจยาว “ขอเพียงรอดครึ่งปีนี้ได้ เมื่อเหล่าตัวตนบรรพกาลจากกลุ่มเต๋าโบราณปรากฏตัวสู่โลกหล้าได้ ข้าจะออกมางัดข้อกับเขาอีกหน!”
เขากล่าวเช่นนั้นด้วยนัยน์ตาเปี่ยมโทสะ
……
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
บนเกาะอันปกคลุมด้วยหมอกเซียนแห่งนั้น
“ปรากฏว่า… เขาชนะได้…”
ม่อชิงโฉวผู้แต่งกายเยี่ยงบุรุษอดตะลึงไม่ได้
นางได้รับรู้ข่าวศึกแท่นนภาม่วงจากปากของหลีจง และได้รับทราบว่าซูอี้สังหารพวกเหยียนเต้าหลินทั้งสี่ด้วยหนึ่งดาบ
ซ้ำยังรู้รายละเอียดยิบย่อยว่าเหล่าผู้ฝึกตนวิถีจุติสรวงนับร้อยถูกกวาดล้างสิ้นได้เช่นไร
ทั้งหมดนี้ทำให้นางรู้สึกราวฝันไป
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ได้เพียงนี้จริง ๆ หรือ?
“หากไม่ใช่เพราะการเข้ามาแทรกแซงของท่านเซียนหงอวิ๋น ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้คงมีโอกาสสร้างบุญคุณกับซูอี้ ทว่าน่าเสียดายที่ท่านเซียนหงอวิ๋นมาขอรับ”
หลีจงรำพึง
“หมายความว่าขณะนี้ ซูอี้อยู่ในมือของหงอวิ๋นหรือ?”
ม่อชิงโฉวขมวดคิ้ว ราวรู้สึกรับมือยากยิ่ง
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
หลีจงพยักหน้า
ไม่ว่าเซียนหงอวิ๋นจะทรงพลังเพียงไร มีที่มาลึกลับเช่นไร ทว่ายามนี้นางก็มีร่างเป็นเพียงวิญญาณอาสัญอยู่ดี และต้องการอำนาจวัฏสงสารทำลายคำสาปบนร่างของนาง
“ไม่ง่ายเลย…”
ม่อชิงโฉวเหยียดนิ้วเรียวขาวนวดหว่างคิ้วของนางเบา ๆ
หลีจงฉวยโอกาสนี้สอบถาม “คุณหนู ตาแก่ไร้ค่าผู้นี้ขอบังอาจถาม ท่านเซียนหงอวิ๋นผู้นี้มีที่มาเช่นไรหรือขอรับ?”
“นาง…”
นัยน์ตาพร่างพราวของม่อชิงโฉววูบไหวราวหวนระลึกถึงบางสิ่ง “เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสในตระกูลพูดอยู่ พวกเขาบอกว่าเบื้องหลังเซียนหงอวิ๋นผู้นี้มีขุมกำลังลึกลับอันสูงส่งยิ่งอยู่ ห่างไกลเกินกว่าที่ขุมกำลังใหญ่ในสามัญสำนึกในโลกเซียนจะเทียบได้”
“ทว่า เนิ่นนานก่อนโบราณกาลในโลกมนุษย์นี้ เกิดหายนะขึ้นในโลกเซียน ยิ่งยืนสูงเพียงไร ยิ่งรับผลกระทบร้ายแรงเท่านั้น”
“นี่ยังหมายความว่าขุมกำลังเบื้องหลังหงอวิ๋นน่าจะพังทลายลงนานแล้ว หาไม่ ไฉนนางต้องหนีหายนะมาสู่โลกมนุษย์แต่แรกด้วย?”
“มีหรือนางจะเหลือสภาพเพียงวิญญาณอาสัญหลังหายนะสิ้นกฎเกณฑ์?”
“ไม่ว่าตัวตนและที่มาของนางจะเจิดจรัสสูงส่งเพียงไร ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงอดีต ทุกวันนี้นางก็ไม่ต่างจากเรา เป็นเพียงวิญญาณอาสัญผู้ต้องการอยู่รอดในโลกหล้าเท่านั้น”
กล่าวจบ ม่อชิงโฉวก็กล่าวต่อเหมือนกังวลว่าหลีจงจะเข้าใจผิด “ยามนี้ ไม่ว่านางจะตกต่ำเพียงไร นางก็ไม่ใช่ผู้ที่เราสามารถประเมินต่ำได้อยู่ดี อย่าว่าแต่ทายาทเซียนเช่นฝูตงหลีเลย”
หัวใจของหลีจงครั่นคร้าม พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้เข้าใจแล้วขอรับ”
ทันใดนั้น นกกระจอกเซียนสีขาวดุจหิมะก็บินมาจากไกล ๆ
วิหคเซียนเข้ามากล่าวกับม่อชิงโฉวอย่างนอบน้อม “คุณหนู วิญญาณอาสัญของบรรพชนซิงหลินลืมตาตื่นขึ้นในแดนบรรพชนแล้ว แต่ยังไม่อาจออกจากแดนบรรพชนได้ จึงมาเรียนเชิญท่านไปพบขอรับ!”
ม่อชิงโฉวพลันแสดงสีหน้าปรีดา นัยน์ตาพร่างประกาย “ข้าจะไปแน่!”
บรรพชนซิงหลิน!
นี่คือหนึ่งในญาติผู้ใหญ่ของนาง และเป็นเซียนโดยแท้จริง!
และขณะเดียวกัน หัวใจของหลีจงก็ครั่นคร้าม วิญญาณอาสัญแห่งเซียนจะลืมตาตื่นขึ้นในเขตหวงห้ามเซียนละล่องหรือ?
นี่เป็นข่าวใหญ่จริง ๆ!
หากแพร่ออกไป ทั่วโลกหล้าได้สั่นสะเทือนใหญ่หลวงแน่!
“บรรพชนเพียงฟื้นสติ ไม่อาจออกจากแดนบรรพชนตระกูลข้าได้ และยังมิถึงกาลหวนคืนสู่โลกหล้า”
ม่อชิงโฉวเหลือบมองหลีจง “อย่าได้แพร่ข่าวออกไป”
นี่เป็นทั้งคำเตือนสติและการกล่าวเตือน
หลีจงกล่าวอย่างหนักแน่น “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้เข้าใจแล้วขอรับ!”
……
วัดสรรพสุญตา
กลางเหมันตฤดู สายลมโชยยะเยือก
ข้างสระแห่งหนึ่งในลานวัด
“ฮ่า ๆ สาใจแท้!”
เสียงหัวเราะลั่นสนั่นขึ้นสะเทือนพฤกษาโบราณถึงกระเบื้องหลังคา
หลวงจีนคงจ้าวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าแสนปรีดา
ซูอี้กล่าวขณะเอนร่างบนเก้าอี้หวาย “สาใจเรื่องใด?”
หลวงจีนคงจ้าวตบเข่าฉาด กล่าวอย่างมิชอบใจ “ข้าดีใจเพื่อเจ้า ยังจะต้องถามอีกหรือ?”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาที่ด้านข้างเองก็แย้มยิ้ม ทว่าหัวใจกลับยากสงบได้
เมื่อครู่ หลังซูอี้กลับมา เขาก็เล่าเรียงเหตุศึกแท่นนภาม่วงออกมาพอสังเขป
วาจานั้นดูเรียบง่าย ทว่ากลับเลือนลั่นสนั่นในใจเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา
มีเพียงพวกเขาที่รู้ว่าวิญญาณอาสัญผู้รอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ได้นั้น ไม่มีผู้ใดธรรมดาสักคน
และยามนี้ ซูอี้ก็สามารถสังหารวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งเช่นนี้ห่างไกลเกินกว่าพวกเขา ณ กาลก่อนคาดการณ์ไว้ยิ่งนัก!
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขารู้ว่ามีผู้อาวุโสสิบกว่าคนนำโดยฝูตงหลีร่วมมือรุมโจมตีซูอี้ เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาก็มิอาจสงบใจลงได้
หากไม่ใช่ผู้นำสำนักใหญ่ก็เป็นเสาหลักค้ำจุนกลุ่มเต๋าโบราณบางแห่ง ไม่ว่าผู้ใดหากเลือกมาสักผู้ก็ล้วนแต่เป็นยอดราชันย์จุติสรวงผู้สะเทือนทั่วโลกหล้า ณ โบราณกาลทั้งสิ้น!
ทว่าเมื่อพวกเขาร่วมมือโจมตีก็ยังมิอาจปราบซูอี้ลงได้ในกาลอันสั้น เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาจะมิตกใจได้หรือ?
“ท่านเซียนหงอวิ๋นที่สหายเต๋าว่า ข้าก็เคยได้ยินเรื่องของนางมาก่อนเช่นกัน ในโบราณกาล นางเป็นทายาทเซียนผู้ลึกลับที่สุด มีฐานะสูงส่งที่สุด และไม่เคยเข้าข้องแวะกับเรื่องทางโลกเลย”
เซียนดาบชิงซื่อเสถียรใจกล่าว “แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ย่อมมิกล้าประเมินตัวตนเช่นนางต่ำเกินไป”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาก็พยักหน้ากล่าวเสริม “เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่สหายเต๋าซูสานสัมพันธ์ฉันมิตรกับท่านเซียนหงอวิ๋นได้”
หลวงจีนคงจ้าวอดกล่าวมิได้ว่า “เซียนหงอวิ๋นผู้นั้นงดงามหรือไม่? แต่งงานได้หรือเปล่า? หากเข้าตา เจ้าก็แต่งนางเป็นคู่วิถีไปเลยสิ คิดดูแล้ว ตลอดชาติในอดีตของเจ้าเป็นหนุ่มโสดเสมอมา หากแต่งนางเซียนจากโลกเซียนได้ในชาตินี้ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดีแห่งโลกหล้า เพียงพอให้เหล่าบุรุษชาติทั่วหล้าอิจฉาตาร้อนได้เลย!”
ขณะกล่าว ตัวเขาเองก็อดแสดงสีหน้าโหยหาจากใจมิได้
ทุกผู้ “…”
แปะ!
ดาบพุทธะสรรพสุญตาอดตบหัวคงจ้าวอีกหนมิได้ “วอนโดนตบ!”
หลวงจีนคงจ้าวกุมหัววิ่งพล่าน
“ทั้งสองท่าน ข้าขอตัวกลับห้องก่อน”
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
“แน่ใจได้แล้วว่านอกจากสหายเต๋าซูจะมีวัฏสงสาร เขายังต้องมีไพ่ตายลึกลับอื่น ๆ อยู่อีกแน่”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว
ดาบพุทธะสรรพสุญตาพยักหน้าเห็นด้วย
ในห้อง
ซูอี้นั่งลงขัดสมาธิทันที ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ หวนสติสู่ห้วงความนึกคิด ปรากฏร่างเจตจำนงขึ้น
“สหายเต๋า ในที่สุดเจ้าก็มา”
‘เสิ่นมู่’ ผู้แปรเปลี่ยนจากกรรมวิถีอดีตชาติทักทายด้วยรอยยิ้มจากข้างดาบเก้าคุมขัง
เขาแต่งกายดี หล่อเหลาโดดเด่น กิริยาสง่างามผ่าเผย
ซูอี้กล่าวกับเสิ่นมู่ว่า “เรื่องระหว่างเจ้าและข้าต้องได้รับการสะสาง!”
………………..