บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1359: หลอมรวมผลวิถี
ตอนที่ 1359: หลอมรวมผลวิถี
เสิ่นมู่
ชาติที่เจ็ดของซูอี้ นักดาบโดยกำเนิด
ในสายตาของทัศนาจารย์ เขามองว่าคนผู้นี้เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่หาพบได้ยากในหมื่นแสนปี
ยามอายุสิบห้า เขารู้แจ้งสิบวันสิบคืน และพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้ทันที
ยามอายุได้สิบเจ็ด เขาข้ามผ่านประตูเป็นตายลึกล้ำ ข้ามขอบเขตเป็นราชันแห่งภูมิ
ยามอายุยี่สิบสาม เขาได้มาถึงขอบเขตไร้ขีดจำกัด หนึ่งดาบสูงสุดในวิถีสู่สวรรค์
ใช้เพียงความเข้าใจในวิถีดาบและฝีมือของตนเอง เพียงยี่สิบสามปีก็ยืนบนจุดสูงสุดแห่งวิถีราชันแห่งภูมิได้
แม้กระทั่งทัศนาจารย์ก็ยังเคยอิจฉาจนอดรำพึงไม่ได้ว่าเป็นรองเสิ่นมู่อยู่มากไม่ว่าจะด้านความเข้าใจกระจ่างแจ้งหรือด้านฝีมือก็ตาม
ทว่าตอนอายุยี่สิบสามปี เสิ่นมู่ถูกหญิงสาวนางหนึ่งทำลายจิตวิถีและดับชีวิตลง ณ บัดนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองเสิ่นมู่ผู้ที่สวมชุดสีขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ มีรูปงามโดดเด่นเกินใครแล้ว ซูอี้ก็ยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า เซียนเสวี่ยหลิวนางนั้นมีเสน่ห์มากมายถึงเพียงใดกัน จึงทำให้เสิ่นมู่หลงใหลจนภาวะจิตแตกสลายชีวิตดับสูญ?
เกินธรรมดาจริง ๆ เสียด้วย
เสิ่นมู่รู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าท่าทีของซูอี้นั้นเย็นชามาก จึงกล่าวขึ้นมาด้วยความละอาย “ก่อนหน้านี้ ข้าไม่รู้มาก่อนถึงสภาพการณ์ของเจ้า ดังนั้น…”
ซูอี้กล่าวตัดบท “ไม่จำต้องอธิบาย เดิมทีเจ้ากับข้าก็เป็นคน ๆ เดียวกัน มีความสัมพันธ์ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้”
เสิ่นมู่นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าวพลางพยักหน้า “ก็ใช่ แต่… เจ้าไม่เหมือนกับข้า ไม่มีทางอายุสั้นเหมือนดังข้าเช่นนี้อย่างแน่นอน”
ประกายเศร้าหมองผุดขึ้นบนสีหน้าของเขา
ซูอี้กล่าว “ข้าเคยเห็นร่างจำแลงจิตวิญญาณของเซียนเสวี่ยหลิวมาแล้ว”
พูดจบ เขากระดิกปลายนิ้ว ความทรงจำกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นกลางห้วงความนึกคิด สะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในส่วนลึกสันเขาอีกา
ตอนนั้น จิตวิญญาณของเซียนเสวี่ยหลิวแฝงอยู่ในร่างของเทียนฉี พยายามที่จะดึงความทรงจำที่เป็นของเสิ่นมู่ให้ฟื้นขึ้นจากจิตวิญญาณของซูอี้ จากนั้นจึงทำลายซูอี้
“เสิ่นมู่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ลืม”
ในภาพเหตุการณ์ เซียนเสวี่ยหลิวกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน “เงื่อนอายุยืนจากโลหะสามัญชนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเจ้า และกาลก่อนเจ้าก็มอบมันให้ข้า สาบานว่าจะพิทักษ์ข้าชั่วชีวิตมิตีจาก”
พูดถึงตรงนี้ นางถอนใจเบา ๆ “ความรักที่มีให้กันมีค่ายิ่งกว่าเงื่อนอายุยืนชิ้นนี้มาก…”
“กาลก่อน ข้าบอกเจ้าไปตรง ๆ แล้วว่าศิษย์สำนักมารหกโลกีย์เช่นข้าต้องทำลายความรัก พิสูจน์วิถีอย่างไร้ปรานี ยิ่งเลือกคู่วิถีแข็งแกร่งเพียงใด ยามตัดพันธะก็ยิ่งสามารถควบคุมอำนาจมหาวิถีได้แข็งแกร่งเท่านั้น”
“ข้ายังบอกเจ้าอีกว่ายามข้าตกหลุมรักเจ้า ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เจ้ามา ทว่ายามที่เจ้าหลงรักข้าโงหัวไม่ขึ้น นั่นจะเป็นวันที่ข้าสะบั้นความรัก สังหารเจ้าด้วยมือข้า เพื่อที่ข้าจะฝึกฝนมหาวิถีสูงสุดได้”
“นี่คือมหาวิถีของข้า ดังนั้นในอนาคต ข้าจะไม่ต้องเผชิญกับมารใด ๆ หัวใจไร้สิ่งปลอมปน ลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง ถามหน่อยเถิดว่าจะมีอันตรายใดหยุดข้าบนวิถีนี้ได้อีกหรือไม่?”
“แต่เจ้าก็โง่งมเหลือเกิน หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าก็บอกว่าเต็มใจสละตนเพื่อเติมเต็มมหาวิถีของข้า…”
ซูอี้สังเกตเห็นว่าร่างของเสิ่นมู่สั่นระรัว สองมือกำหมัดแน่น อยู่ในสภาพน่าสมเพชน่าสงสาร นิ่งเงียบไม่พูด ราวกับเป็นคนละคน
พรึบ!
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ ความทรงจำที่กลายเป็นม่านแสงก็เลือนหายไป
ส่วนเสิ่นมู่สะดุ้งตื่นขึ้นราวกับตื่นจากความฝัน เพียงแต่ว่าสายตายิ่งหม่นหมองกว่าเดิม
“นางบอกว่า ในตอนนั้นเจ้ายินดีที่จะเสียสละตัวเอง เพื่อส่งเสริมมหาวิถีของนาง เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”
ซูอี้ถาม
เสิ่นมู่พยักหน้า กล่าว “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
ซูอี้ “…”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ซูอี้ถาม “ตอนนี้รู้สึกเสียใจหรือไม่?”
เสิ่นมู่ส่ายหน้าโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ข้าเคยสัญญาไว้ว่าสามารถตายเพื่อนางได้ ตอนมีชีวิตไม่เคยเสียใจ ตอนนี้ก็ไม่รู้สึกเสียใจด้วยเช่นกัน”
ซูอี้ “…”
ชั่วขณะนี้ เขาอยากจะอัดเสิ่นมู่เสียให้น่วมจริง ๆ!
ถูกหลอกใช้จนถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่รู้สึกเสียใจอีก?
เสิ่นมู่หัวเราะเยาะให้กับตัวเอง กล่าว “ข้ารู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนอื่น ๆ ยากจะเข้าใจ ในตอนนั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดที่หัวเราะเยาะข้า มองว่าข้าโง่เขลา ดักดาน แต่ข้าไม่เคยใส่ใจเลยแม้แต่น้อย”
“เหมือนดังที่ข้าแสวงวิถีในด้านดาบ ต้องมีความจริงใจและจริงจัง ด้วยเหตุนี้ ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ยี่สิบสามปีจึงสำเร็จมหาวิถี โดยที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้”
“ความรักที่ข้ามีต่อเสวี่ยหลิว ก็เป็นเช่นนี้ จริงใจและจริงจัง ไม่มีเผื่อใจ”
“ในสายตาของพวกเจ้า ข้าตายเพื่อนาง เป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง แต่ในสายตาของข้า นั่นเป็นผู้หญิงที่ข้ารักอย่างที่สุด ตายเพื่อนางได้ เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลยไม่ใช่หรือ?”
เสิ่นมู่พูดถึงตรงนี้ กลับถอนใจออกมายาว ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นกล่าวด้วยความละอาย “เดิมทีข้าคิดว่า ตายไปก็จบ ไม่นึกเลยว่า เรื่องนี้จะกระทบกระเทือนไปถึงตัวเจ้า”
ไม่รอให้ซูอี้เอ่ยพูด เขาก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่เจ้าจงวางใจ เวลาที่เจ้าหลอมรวมพลังผลวิถีของข้า ข้าจะขจัดความรู้สึกและความทรงจำของตัวเองออกไปจนหมด คงไว้แต่เพียงประสบการณ์มหาวิถีอันบริสุทธิ์ที่สุด เช่นนี้ เจ้าจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบใด ๆ จากข้าอีก”
น้ำเสียงเฉียบขาด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซูอี้จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเสิ่นมู่ กล่าว “เรื่องราวในอดีตของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์กล่าวโทษและตัดสิน”
“แต่เดิมทีเจ้ากับข้าก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ในเมื่อเหตุต้นผลกรรมของเจ้าเมื่อตอนมีชีวิตได้ย้อนมาหาข้า ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”
พูดถึงตรงนี้แล้ว น้ำเสียงของซูอี้แฝงไว้ซึ่งความเย็นยะเยือก
เซียนเสวี่ยหลิวผู้ที่มาจากศักราชแห่งมาร ไม่เพียงแต่เคยร่วมมือกับช่างเสื้อวางแผนสังหารซูอี้ในสันเขาอีกาเท่านั้น
ทั้งยังเลือกชิงหว่านเป็นหมาก นำมาซึ่งเหตุต้นผลกรรมของเขาอีกด้วย!
ความแค้นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ซูอี้จะยอมรามือไปง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน!
“สหายเต๋าคิดจะทำอะไรเช่นนั้นหรือ?” เสิ่นมู่ถาม
ซูอี้ตอบน้ำเสียงราบเรียบ “ง่ายมาก เจ้าไม่ต้องลบความรักและความทรงจำของเจ้า เมื่อข้าหลอมรวมพลังผลวิถีของเจ้าแล้ว ข้าจะไปตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ชื่อว่าเสวี่ยหลิวคนนั้นให้จบสิ้น!”
“หากว่าภาวะจิตของข้าได้รับผลกระทบจากเจ้า จนต้องพ่ายแพ้ ภาวะจิตของเสวี่ยหลิวก็จะสมบูรณ์พร้อม สามารถไร้ซึ่งความหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง”
“หากว่านางแพ้ จะต้องตาย!”
ได้ฟังแล้ว สีหน้าของเสิ่นมู่สลดลง
นานมาก เขาจึงถอนใจขึ้นมาเบา ๆ กล่าว “ไม่ใช่เพียงเท่านี้หรอก ข้ารับรองได้เลยว่า หากเจ้าหลอมรวมความทรงจำกับความรักของข้า เมื่อเจอกับเสวี่ยหลิว จะเจอแต่เรื่องร้ายอย่างแน่นอน ลองคิดดู ในตอนนั้น ข้ายังสามารถตายได้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากว่าเจ้าได้รับผลกระทบจากข้า หากว่า….”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนี้เรียกว่าฝึกจิต ในด้านภาวะจิตใจ หากไม่อาจผ่านแม้กระทั่งด่านอิสตรีได้ จะฝึกตนอย่างไรได้อีก?”
พูดจบ ความเย้ยหยันดูแคลนผุดขึ้นบนสีหน้าของเขา “ข้าจะไม่หลีกเลี่ยงคนที่เคยทำให้เจ้าต้องประสบเคราะห์หนัก แต่จะตัดความสัมพันธ์กับนางจนหมดสิ้น ให้เห็นผลแพ้ชนะ!”
เสิ่นมู่จ้องซูอี้ ราวกับต้องการทำความรู้จักกับร่างที่กลับมาเกิดใหม่ของตนเองอีกครั้ง
นานมาก เขาถอนใจเบา ๆ กล่าว “บางครั้ง ข้าหวังจริง ๆ ว่าตัวเองไม่เคยได้รับดาบเก้าคุมขัง ไม่ต้องแบกรับเหตุต้นผลกรรมที่ดาบเล่มนี้นำมาให้แก่ข้า… เช่นนี้ จะได้ไม่ต้องลำบากคนอื่น…”
พูดถึงตรงนี้ เสิ่นมู่พ่นลมออกจากปากยาว ๆ ราวกับต้องการจะปล่อยวางความคับอก กล่าว “งมงายในความรักนั้นไม่ยาวนาน ฉลาดเกินไปเป็นภัยแก่ตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ของข้าจบสิ้นลงเหมือนดังคำกล่าวนี้ ข้าหวังว่า…เจ้าจะไม่เดินตามรอยข้า”
ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก ร่างของเสิ่นมู่ก็กลายเป็นสะเก็ดแสงหลอมรวมเข้าไปในโซ่ล่ามที่เจ็ดของดาบเก้าคุมขัง
จากนั้น โซ่ล่ามก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ในเวลาเดียวกัน แสงความทรงจำอันยิ่งใหญ่ก็พุ่งเข้าไปในห้วงความนึกคิดของซูอี้
ประสบการณ์ ความรัก และความทรงจำทั้งหมดเมื่อตอนที่เสิ่นมู่มีชีวิต… ปรากฏขึ้นในจิตใจของซูอี้ทั้งหมด หลอมรวมเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาจนสิ้น
นานมาก ซูอี้จึงหลอมรวมพลังผลวิถีของเสิ่นมู่ได้หมด
เมื่อทำความเข้าใจในประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาของเสิ่นมู่แล้ว สายตาของซูอี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างประหลาด
“ไม่เคยเจอเรื่องราวร้ายแรงอันใดมาก่อนจริง ๆ เสียด้วย…”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ นึกถึงไป๋อี้ศิษย์ลำดับที่แปดของตัวเองขึ้นมา
เมื่อเทียบกันแล้ว ประสบการณ์เรื่องราวของเสิ่นมู่ก็คล้ายกับกระดาษสีขาว ๆ แผ่นหนึ่งเช่นกัน
เสิ่นมู่เกิดในตระกูลโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในศักราชแห่งมาร
เขาเป็นต้นกล้าผู้ฝึกวิถีตั้งแต่กำเนิด มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ มีความสุดยอดอันน่าตื่นตะลึง
อาจารย์ของเขา เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถีดาบในศักราชแห่งมาร!
ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาในวัยเด็กได้รับความรักและเอาใจใส่ในแบบที่คนอื่น ๆ คาดไม่ถึง
ภายใต้การเอาใจใส่ของผู้อาวุโส เสิ่นมู่ผู้ที่เดิมทีมีพรสวรรค์เยี่ยมยอดอยู่แล้ว ก็ยิ่งเจิดจรัสเฉิดฉายบนหนทางการฝึกตนมหาวิถีมากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่เล็กจนโต ล้วนเป็นที่จับตามอง
เขาเคยถูกขนานนามให้เป็นยอดฝีมือวิถีดาบที่หาตัวจับได้ยาก และเคยถูกมองว่าเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่เฉิดฉายที่สุด
ผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มองว่าสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เขาจะขึ้นเป็นนักดาบอันดับหนึ่งในใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียว!
ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่กับพรสวรรค์ที่ร้ายกาจ ทั้งหมดนี้ทำให้การฝึกตนของเสิ่นมู่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เคยต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนามอันใด
จนกระทั่งอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เสิ่นมู่เบื่อหน่ายในชีวิตการฝึกตนที่ราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นนั้น เขาแอบออกจากบ้านไปเพียงคนเดียว ออกไปจากสถานที่ที่วงศ์ตระกูลแผ่อิทธิพลไปถึง ท่องเที่ยวพเนจรไปพร้อมกับดาบ
ไม่มีผู้อาวุโสคอยเอาใจใส่ และไม่มีฐานะครอบครัวเป็นที่พึ่ง เสิ่นมู่พบเจอกับอุปสรรคขวากหนามมากมายอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน
และยังเกิดเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมาอีกมากมาย
แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ สำหรับเสิ่นมู่แล้ว ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่และน่าสนุก จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
จนกระทั่ง…
เจอกับเสวี่ยหลิวผู้มาจากสำนักมารหกโลกีย์!
ผู้หญิงคนนี้หน้าตางดงาม เพียบพร้อมแต่กำเนิด ใบหน้าสวยประดุจภาพวาด ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ไม่เหมือนกับคนในวิถีมารแม้แต่น้อย
ผู้หญิงคนนี้พาเสิ่นมู่ออกเดินทางไปในใต้หล้า เมื่อเดินทางไปในหลาย ๆ ที่จนเพิ่มมากขึ้น จึงได้รับความรู้สึกชอบและพึงพอใจจากเสิ่นมู่ขึ้นมาทีละน้อย
คนหนึ่งเป็นนางจิ้งจอกพันปี อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่เพิ่งแตกหนุ่มใหม่ ๆ ผลที่ตามมาไม่ต้องบอกก็สามารถเดาได้
เสิ่นมู่จมปลักในความรักอย่างงมงาย ถอนตัวไม่ขึ้น
ส่วนเสวี่ยหลิวกลับเผยให้เห็นหางของจิ้งจอก ทำลายภาวะจิตของเสิ่นมู่ แสวงวิถีเข้าสู่จิตไร้ความผูกพัน!
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ซูอี้ถึงกับรำพึง
ต่อให้พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านี้ ความสามารถร้ายกาจยิ่งกว่านี้ แล้วอย่างไร?
ไม่เคยประสบพบเจออุปสรรคขวากหนาม มักจะตกหลุมได้ง่ายที่สุด
เสิ่นมู่ก็เป็นเช่นนี้
จากประสบการณ์ของเสิ่นมู่ ซูอี้สังเกตุพบว่าครั้งแรกสุดที่เสิ่นมู่ออกท่องเที่ยวพเนจร คงจะมีคนคอยติดตามและคุ้มครองอยู่ลับ ๆ
แต่หลังจากที่เจอกับเสวี่ยหลิวแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะพาเสิ่นมู่ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วใต้หล้า แต่ความจริงแล้วทุกที่ ๆ ไปล้วนไปในสถานที่ ๆ ตระกูลของเสิ่นมู่ไม่อาจครอบคลุมไปถึง
ยกตัวอย่างเช่นแถบรกร้างที่ห่างไกลแม้แต่นกกาก็ยังไม่บินผ่าน หรือโลกภูมิใหญ่น้อยบางแห่ง เป็นต้น
อีกทั้ง คนที่คอยคุ้มครองเสิ่นมู่อยู่ลับ ๆ มาโดยตลอดคงจะโดนเสวี่ยหลิวกำจัดไปนานแล้ว มิเช่นนั้น คงจะทำการหยุดยั้งและเปิดโปงฐานะของเสวี่ยหลิวไปนานแล้ว!
“ก่อนที่จะทำตัวมักคุ้นกับเสิ่นมู่ เสวี่ยหลิวคนนี้ต้องวางแผนเป็นเวลานานมากแล้ว เตรียมตัวมาจนพร้อม ใช้แผนการทำร้ายคนอื่นโดยไม่ทันตั้งตัว แผนการจึงสำเร็จ”
“แผนการเช่นนี้ นางเพียงคนเดียวไม่อาจทำได้สำเร็จเป็นแน่ หากคาดการณ์ไม่ผิด สำนักมารหกโลกีย์ในตอนนั้นคงจะร่วมลงมือด้วย เช่นนี้จึงสามารถหลอกลวงได้อย่างแนบเนียน หลบการตรวจสอบจากขุมกำลังผู้สนับสนุนเสิ่นมู่ไปได้”
ซูอี้แอบคิดในใจ
ทันใดพลันขมวดคิ้วขึ้น
ขณะที่กำลังนึกถึงเสวี่ยหลิว เขากลับไม่รู้สึกเคียดแค้นอะไรมากนัก ยิ่งกว่านั้น ยังเกิดความรู้สึกอยากจะเจอหน้าฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาเสียด้วยซ้ำไป!
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
		 
		 
		 
		