บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1361: ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีแก่ตระกูลอวิ๋น
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1361: ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีแก่ตระกูลอวิ๋น
ตอนที่ 1361: ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีแก่ตระกูลอวิ๋น
ณ จวนตระกูลอวิ๋นมีทหารอารักขาอย่างแน่นหนา
แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายร่วมอยู่ในงาน
แม้กระทั่งคนที่อ่อนที่สุดก็ยังมีระดับวิถีขอบเขตคืนสู่สามัญ
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนเก่าแก่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัด
บ้างมาจากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม บ้างมาจากตระกูลเหวินโบราณ และบ้างก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่จากขุมกำลังระดับสุดยอดอื่น ๆ
ผู้แข็งแกร่งจากโรงดาบเทพลี้ลับก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน
ฐานะของพวกเขายิ่งเหนือกว่าคนอื่น ๆ ถึงแม้จะเป็นวิญญาณอาสัญ ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างไปจากคนปกติทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นหัวหน้า เขาสวมชุดยาวและใส่หมวกทรงสูง พลังเซียนปกคลุมทั่วร่าง อานุภาพน่าเกรงขาม
เนี่ยอวิ๋นหยวน
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งแห่งโรงดาบเทพลี้ลับ เขามีพลังล้ำลึกที่ไม่อาจคาดคะเนได้
เวลาที่แขกเหรื่อในงานบังเอิญกวาดตามองไปที่เนี่ยอวิ๋นหยวนล้วนแล้วต้องแสดงความเคารพยำเกรงออกมา
เบื้องหลังของตระกูลอวิ๋นก็คือโรงดาบเทพลี้ลับแห่งนี้!
และในวันนี้ นอกจากโรงดาบเทพลี้ลับแล้ว ยังมีแขกเหรื่อจากขุมกำลังโบราณอื่น ๆ อีกด้วย ถึงแม้ฐานะของพวกเขาจะไม่อาจทัดเทียมกับเนี่ยอวิ๋นหยวนได้ ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นตัวแทนจากขุมกำลังยุคก่อน จึงไม่มีใครไม่ให้ความเคารพ
เวลานี้ งานพิธีสมรสของตระกูลอวิ๋นยังไม่เริ่ม คนทั้งหลายในงานต่างก็พูดคุยกันเบา ๆ
“จากที่ข้ามอง คนของตระกูลซู ตระกูลโจว และตระกูลจง คงจะไม่มา”
มีคนกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
คำพูดประโยคเดียวทำให้หลายคนที่อยู่ในงานถึงกับถอนใจ
การต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วง ตัวตนขอบเขตจุติสรวงของตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทั้งสามตระกูลนี้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ทว่าสุดท้ายตายเรียบ ไม่มีคนรอดชีวิต!
ในจำนวนนี้ การตายของจงเทียนเฉวียนกับโจวหานซานยังนำมาซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่
พ่ายแพ้อย่างย่อยยับเช่นนี้แล้ว พวกเขายังคิดจะมาร่วมงานอีกหรือ?
“จากการต่อสู้ในครั้งนี้ ชื่อเสียงของทัศนาจารย์ยิ่งพุ่งสูงถึงขั้นไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ใต้หล้าในตอนนี้ ที่ใดก็ตามที่มีผู้ฝึกตนปรากฏตัว เป็นต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ของทัศนาจารย์ จนกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ไปแล้ว”
มีคนพูดด้วยสีหน้าปั้นยาก
ข่าวการต่อสู้ที่แท่นนภาม่วงเมื่อสามวันก่อนจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นที่ตื่นตระหนกไปทั่วแต่ละภูมิดารา ผู้คนต่างพูดถึงกันไม่หยุด
ทัศนาจารย์กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ อีกทั้งยังได้รับความสรรเสริญและยกย่องจากผู้ฝึกตนในโลกหล้า
หากย้อนกลับไปมองดูขุมกำลังที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วง ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังโบราณหรือว่าจะเป็นตระกูลโบราณอารักษ์วิถีอย่างตระกูลจง ล้วนต้องอับอายขายหน้า อำนาจบารมีเสื่อมลงจนถึงขั้นเป็นตัวตลกในสายตาคนทั้งหลาย!
“เดิมทีข้ายังเข้าใจว่าทัศนาจารย์กลับชาติมาเกิด คงยากจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมได้อีก แต่ใครจะคาดคิดว่ากำลังการต่อสู้ในตอนนี้ของเขาจะเหนือกว่าเมื่อชาติที่แล้วตอนที่รุ่งเรืองที่สุด”
มีคนถอนใจ “เมื่อก่อนข้าไม่เคยแม้แต่จะคาดคิดว่าระดับการฝึกตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิจะมีกำลังการต่อสู้ที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้”
คนทั้งหลายดื่มไปคุยไปและต่างก็อดตระหนกไม่ได้
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายถึงกับทึ่งตะลึงอย่างใหญ่หลวง
ด้วยสาเหตุนี้เอง เวลาที่พูดคุยถึงทัศนาจารย์ คำพูดคำจาของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวังและไม่กล้าพูดพล่ามไปเรื่อย
นี่เป็นอำนาจบารมีที่ได้จากการสังหาร!
“แต่ก็เป็นเพราะเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทัศนาจารย์กับขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นต้องมีความแค้นใจต่อกัน แทบไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าวันข้างหน้าเขาจะต้องถูกคิดบัญชีอย่างแน่นอน!”
ทันใดนั้นเอง ผู้ชายในชุดขนนกคนหนึ่งก็ส่งเสียงร้อง
คนทั้งหลายต่างพากันมองดูและนึกออกแล้วว่าผู้ชายในชุดขนนกคือใคร
หลัวเซียวอวิ๋น
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของหุบเขาเซียนแปรสุริยัน ซึ่งหนึ่งในเป็นขุมกำลังโบราณ
หุบเขาเซียนแปรสุริยันเป็นผู้นำแห่งเจ็ดสำนักวิถีดาบและกระบี่ เมื่อกาลก่อนเคยมีเซียนดาบไร้เทียมทานจำนวนหนึ่งสำเร็จออกมาจากที่แห่งนี้!
คนทั้งหลายต่างนิ่งเงียบและไม่กล้าพูดต่อ
บุคคลอย่างหลัวเซียวอวิ๋นสามารถตัดสินความเป็นความตายของทัศนาจารย์ได้ แต่… พวกเขาไม่กล้า
“คำกล่าวนี้ไม่ผิด”
เวลานี้เอง เนี่ยอวิ๋นหยวนผู้สวมชุดยาวหมวกทรงสูงและเครายาวที่พลิ้วไหวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยนี้เพิ่งจะเปิดฉากขึ้นเท่านั้น”
“ในช่วงเวลาต่อมา ไม่เพียงแต่ตัวตนยิ่งใหญ่ในขอบเขตจุติมงคลเท่านั้นที่จะปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง คนเก่ง ๆ ซึ่งเป็นรุ่นเยาว์ของเหล่าเซียนก็จะพากันมายังจักรวาลพร่างดาว!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว เนี่ยอวิ๋นหยวนก็ยิ้มน้อย ๆ แสดงสีหน้ามีความหวัง “ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือในช่วงเวลาต่อมา ‘เซียน’ ที่เคยเป็นใหญ่ในใต้หล้าเมื่อยุคก่อนก็ต้องปรากฏตัวอีกครั้งด้วยเช่นกัน!”
ฉับพลันมีเสียงสูดปากดังขึ้นจากด้านในห้องโถง
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตื่นตะลึงกับข้อมูลเช่นนี้ พวกเขาต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก
วันข้างหน้าเซียนก็จะปรากฏตัวขึ้นบนโลกมนุษย์อีกครั้งเช่นนั้นหรือ?
ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่คนทั้งหล้าได้เลย หากพูดออกไปจะต้องเกิดเป็นกระแสอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!
“ถึงแม้ว่าเซียนเหล่านั้นจะเป็นวิญญาณอาสัญ แต่จัดการกับตัวตนอย่างทัศนาจารย์เช่นนี้ก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
เนี่ยอวิ๋นหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หรืออาจไม่ต้องให้เซียนลงมือ ผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตจุติมงคลกับผู้ไร้เทียมทานซึ่งเป็นทายาทเซียนเหล่านั้นก็สามารถสยบซูอี้คนนั้นลงได้!”
คำพูดที่กล่าวมาเต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนกับเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าวันที่ว่านี้จะมาถึงในไม่ช้า
คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกกระสับกระส่ายและไม่อาจสงบใจได้อีก
“สหายเต๋าเนี่ยกล่าวได้ถูกต้อง”
หลัวเซียวอวิ๋นแห่งหุบเขาเซียนแปรสุริยันกล่าว “ตอนที่ข้าเดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ได้ยินผู้อาวุโสในสำนักพูดคุยกันว่าไม่เกิดสามเดือน ตัวตนขอบเขตจุติมงคลขั้นต้นจำนวนหนึ่งน่าจะออกเดินทางในใต้หล้าได้โดยไม่หวาดเกรงต่อกฎสวรรค์!”
“หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ถึงแม้ตอนนี้ทัศนาจารย์จะเฉิดฉายราวกับดวงตะวันกลางฟ้า แต่ไม่เกินสามเดือนเขาจะต้องเจอกับพิบัติใหญ่อย่างแน่นอน!”
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่อึมครึม สีหน้าของคนทั้งหลายแตกต่างกันไป และพวกเขาต่างก็ตื่นตะลึงในคำบอกกล่าวของหลัวเซียวอวิ๋นกับเนี่ยอวิ๋นหยวน
“ข้าก็หวังว่าวันนั้นจะมาถึงโดยเร็ว”
เสียงหัวเราะสบายอารมณ์ดังขึ้น
ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่
คนที่มาคือเจ้าตระกูลอวิ๋น อวิ๋นฉางหง!
ผู้ยิ่งใหญ่ที่บรรลุสู่หนทางแห่งจุติสรวงตอนที่อยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องเมื่อไม่นานมานี้!
คนทั้งหลายต่างก็พากันลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพ
แม้กระทั่งผู้ใหญ่จากขุมกำลังโบราณอย่างเนี่ยอวิ๋นหยวนกับหลัวเซียวอวิ๋นก็ยังยิ้มทักทาย
“ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ”
อวิ๋นฉางหงยิ้มพลางโบกมือ “ครั้งนี้ คนแซ่อวิ๋นยังเชิญเซียนม่อมาด้วย แต่เสียดายเซียนม่อติดธุระสำคัญจึงไม่อาจมาร่วมงานได้ ทว่าเซียนม่อได้ส่งทูตมา อีกประเดี๋ยวเมื่อทูตมาถึง พวกเราจึงเริ่มพิธี!”
เซียนม่อ!
หมายถึงเซียนม่อชิงโฉว!
ทุกคนต่างพากันตระหนก ทายาทเซียนผู้มีฐานะสูงส่งและพิเศษเช่นนั้น ถึงแม้ชื่อเสียงจะไม่ได้โด่งดังนัก ทว่าทุกคนในงานมีใครไม่รู้บ้างว่าเซียนม่อชิงโฉวเป็นตัวตนอันดับหนึ่งในบรรดาทายาทเซียน?
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่าตระกูลอวิ๋นจะมีความสัมพันธ์กับเซียนม่อชิงโฉว!
เวลานี้ ผู้ใหญ่จากขุมกำลังโบราณอย่างเนี่ยอวิ๋นหยวนกับหลัวเซียวอวิ๋นต่างก็แสดงความตื่นตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาอดส่งสายตามองไปทางอวิ๋นฉางหงไม่ได้
เมื่อเห็นทุกคนมองมาทางตัวเองแล้ว อวิ๋นฉางหงก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลอวิ๋นของพวกเขามักจะทำตัวเงียบ ๆ มาโดยตลอด
แต่บางครั้งก็ไม่รังเกียจที่จะแสดงภูมิหลังให้ชนชาวทั่วหล้าได้รับรู้เช่นกัน!
“ท่านเจ้าตระกูล งานพิธีสมรสของคุณชายน้อยเตรียมการพร้อมสรรพแล้วขอรับ”
บ่าวเฒ่าเข้ามารายงาน
อวิ๋นฉางหงหัวเราะพลางกล่าว “เชิญทุกท่านไปยัง ‘สนามเต๋าประกายทอง’ พร้อมกับอวิ๋นผู้นี้!”
งานพิธีสมรสในวันนี้จัดขึ้นบนสนามเต๋าประกายทอง
เวลานี้ คู่บ่าวสาวดำเนินพิธีอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จนเสร็จสิ้นท่ามกลางการร่วมเป็นสักขีพยานของตระกูลทั้งสองฝ่ายและแขกเหรื่อนับไม่ถ้วน
สำหรับตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีแล้ว งานสมรสของคนหนุ่มสาวไม่ได้มีความสำคัญมากนัก
แต่ที่สำคัญคือพวกเขาจะถือโอกาสนี้แสดงความสามารถและฐานะของตนเองให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานได้เห็น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใต้หล้าตอนนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปมากดังพายุโหมพัดกระหน่ำ
ตระกูลอวิ๋นโบราณต้องการให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงอานุภาพของตระกูลตัวเองใหม่อีกครั้งเช่นกัน
…
สนามเต๋าประกายทองสร้างขึ้นอยู่ข้างหน้าผาบนยอดเขา ซึ่งสามารถจุคนได้นับพัน
เวลานี้งานพิธีในสนามเต๋าได้จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว แขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีต่างก็เข้านั่งประจำตำแหน่งและพูดคุยกันอย่างคึกคัก
ชายหญิงแต่งตัวสวยงามยืนอยู่ด้านหน้าของสนามเต๋า
ส่วนสาวสวยผู้มีดวงตางอนงามก็คือบุตรีของเจ้าตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม ซึ่งนามว่าเฟิงหลิงจือ
พิธีสมรสกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว อวิ๋นเฉาเฟิงกับเฟิงหลิงจือต่างก็รอคอย
เมื่ออวิ๋นฉางเฟิงเจ้าตระกูลนำแขกผู้มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดจำนวนหนึ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว ทุกคนพลันจับตามองไปยังพวกเขา
แขกเหรื่อในงานต่างพากันลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพ
สุดท้ายอวิ๋นฉางหง เนี่ยอวิ๋นหยวน และหลัวเซียวอวิ๋นก็ทยอยนั่งลงตามตำแหน่งบนแท่นหยกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของสนามเต๋า
“ท่านพ่อ พิธีเริ่มได้แล้วหรือยังขอรับ?”
อวิ๋นเฉาเฟิงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ร้อนใจอันใด ยังต้องรอแขกอีกท่านหนึ่งก่อน หากว่าแขกท่านนั้นไม่มา งานนี้จะเริ่มขึ้นไม่ได้”
อวิ๋นฉางหงยิ้มพลางตอบ
ยังต้องรอแขกอีกคน?
คนทั้งหลายในงานต่างก็ตะลึง เป็นแขกฐานะสูงส่งเพียงใดกัน เหตุใดเจ้าตระกูลอวิ๋นจึงได้ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้?
ทันใดนั้นเอง เสียงดังโหวกเหวกกับเสียงตื่นตะลึงก็ดังมาจากหน้าประตูจวน
“วันนี้เป็นวันมงคลของตระกูลอวิ๋นยังมีคนบังอาจมาก่อเรื่องอีกเช่นนั้นหรือ?”
แขกเหรื่อที่อยู่ในสนามเต๋ามากมายถึงกับตื่นตระหนก
ในจักรวาลพร่างดาว มีใครที่บังอาจกล้าดีมาก่อเรื่องที่จวนตระกูลอวิ๋น?
คงจะเสียสติไปแล้ว!
“ไปดูสิ”
อวิ๋นฉางหงขมวดคิ้วพลางออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
บ่าวรับใช้เฒ่ารับคำสั่งแล้วออกไป
จากนั้นอวิ๋นฉางหงก็ลุกขึ้นยืน หยิบจอกสุราขึ้น ยิ้มพลางกล่าว “ทุกท่าน วันนี้เป็นวันมงคลของบุตรชายข้า ได้รับเกียรติจากทุกท่านมาร่วมงานด้วยตนเอง มา ก่อนที่งานพิธีสมรสจะเริ่ม อวิ๋นผู้นี้ขอดื่มคารวะทุกท่านก่อนหนึ่งจอก”
คนทั้งหลายพากันลุกขึ้นยืนและหยิบจอกสุราขึ้นมา
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจะดื่มสุรารวดเดียวจนหมด
เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นกลัวก็ดังขึ้นจากที่หน้าประตูจวน “เจ้าตระกูล แย่แล้วขอรับ ทัศนาจารย์บุกเข้ามายังจวนของพวกเราแล้ว!”
เสียงนั้นแหวกทะลุท้องฟ้า บรรยากาศในสนามเต๋าพลันเงียบกริบลง
ทัศนาจารย์!!
คำเรียกนี้เหมือนดังสายฟ้าผ่าลงกลางใจของคนทั้งหลาย คนจำนวนมากถึงกับหน้าถอดสี
คนบางส่วนตัวสั่นงันงก นิ้วมือกระตุก จอกสุราร่วงลงกับพื้น
ในชั่วพริบตา เสียงจอกสุราหล่นกระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ดังขึ้นไม่หยุด ในบรรยากาศอันเงียบกริบราวกับป่าช้าเช่นนี้ ช่างบาดหูเสียเหลือเกิน
เมื่อหันไปมองดูอวิ๋นฉางหงอีกครั้ง เขาก็ตื่นตระหนกเช่นกัน หัวคิ้วถึงกับขมวดขึ้น
ทัศนาจารย์…เหตุใดจึงมาในเวลานี้ได้?
นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของทุกคน
“ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีแก่ตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้า เหตุใดจึงบอกว่าแย่? เจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังหน่อยซิ”
เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
พร้อมกับเสียง ร่าง ๆ หนึ่งกระแทกสนามเต๋าประกายทองอย่างแรงเหมือนกับว่าวที่เชือกขาด โต๊ะเก้าอี้ของคนมากมายถูกซัดจนเป็นผุยผง
คนคนนั้นก็คือบ่าวรับใช้เฒ่าที่รับคำสั่งออกไปคนนั้น
ตอนนี้สภาพของเขาสะบักสะบอมและน่าสมเพชเป็นอย่างมาก ร่างทั้งร่างร่วงลงกับพื้น ร้องครวญครางไม่หยุด
เพียงแต่ว่ากลับไม่มีใครสนใจเขา
สายตาของคนทั้งหลายในงานเลี้ยงล้วนจับจ้องไปยังทิศทางที่เสียงอันราบเรียบดังขึ้น!
………………..