บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1363: มันถูกวางแผนมาเนิ่นนาน
ตอนที่ 1363: มันถูกวางแผนมาเนิ่นนาน
บรรยากาศเงียบงันอึมครึม
ซูอี้มองปราดเดียวก็เข้าใจความคิดของหลีจง กล่าวว่า “ข้าต้องการคิดบัญชีกับตระกูลอวิ๋นโบราณ หากเจ้ามิเข้าใจสาเหตุ…”
หลีจงกล่าวอย่างโล่งอกโดยมิรีรอให้เขาพูดจบ “สหายเต๋ามิต้องกังวล ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้สามารถช่วยได้”
เหตุนี้ทำให้อวิ๋นฉางหงและตระกูลอวิ๋นหัวใจร่วงสู่ตาตุ่ม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามิอาจหวังให้หลีจงช่วยพวกเขาได้แล้ว
สายตาของซูอี้มองไปที่หลัวเซียวอวิ๋น
ขณะนี้ หลัวเซียวอวิ๋นหัวใจเย็นยะเยือก “เจ้าจะทำอันใด?”
“ส่งเจ้าไปปรภพก่อน”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ฉัวะ!
ปราณดาบหนึ่งสายปรากฏขึ้นทะยานพาดเหนือนภา แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณดาบพร่างพรมเยี่ยงน้ำตกลงใส่หลัวเซียวอวิ๋น
พิรุณดาบสาดคลั่ง สะท้อนนิมิตหกวิถีเวียนวัฏอันมืดมนลึกลับ
หลัวเซียวอวิ๋นขนลุกขนพอง ใช้ไม้ตายก้นหีบของตนออกมาทันที
ตู้ม!
ปรากฏหอคอยเก้าชั้นหลังหนึ่งขึ้น แสงเซียนนับพันสาด ถักทอเป็นม่านแสงเยี่ยงเงาแห่งโลกาทอดคุ้มกายหลัวเซียวอวิ๋นไว้
หอคอยจิตวิญญาณเก้าภูมิ!
เมื่อถูกใช้ มันจะสร้างเงานิมิตเก้าภพภูมิขวางคุ้มกาย
ในสายตาคนทุกผู้ หลัวเซียวอวิ๋นเหมือนยืนกับที่ ทว่าแท้จริงแล้วเขากระโดดข้ามโลกหล้าทั้งเก้าเยี่ยงโยนหินเหนือผิวน้ำ!
ทว่าวิถีเต๋าของซูอี้ยามนี้ร้ายกาจเพียงไร ยามสู้ศึกแท่นนภาม่วง เขาสังหารผู้ฝึกตนในวิถีจุติสรวงนับร้อยได้โดยง่าย!
พิรุณดาบอันอาบด้วยนิมิตวัฏสงสารก็ทะลวงลงสะบั้นทำลายนิมิตภูมิทั้งเก้า หอคอยจิตวิญญาณเก้าภูมิถูกฉีกกระชากแหลกสลายเป็นธุลีพลิ้วหาย
“ไม่!”
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของหลัวเซียวอวิ๋นดังลั่นขึ้น
ร่างของเขาหายไปในพิรุณดาบ วิญญาณละล่องหายในพริบตา
ยอดฝีมือจากขุมอำนาจโบราณในละแวกใกล้เคียงเลี่ยงหลบกันไปก่อนแล้ว และเมื่อได้เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ล้วนตะลึงเหงื่อกาฬผุดพราย สีหน้าแปรเปลี่ยนด้วยความตกใจ
สำหรับวิญญาณอาสัญเหล่านี้ อำนาจวัฏสงสารคือคู่ปรับโดยธรรมชาติ ไร้หนทางแก้ไขใด ๆ!
โดยเฉพาะเนี่ยอวิ๋นหยวนซึ่งตกใจหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ รู้สึกราวเพิ่งรอดหายนะได้ฉิวเฉียด
เขาแน่ใจว่าหากเมื่อครู่เขาพลั้งปากกล่าววาจาใดไป ชะตาตนคงไม่ต่างจากหลัวเซียวอวิ๋น!
ยามนี้ ทุกผู้ล้วนตัวสั่น อดระลึกขึ้นมิได้ว่าซูอี้เพิ่งพูดไปให้เนี่ยอวิ๋นหยวนและหลัวเซียวอวิ๋นหุบปาก หาไม่จะถูกฆ่า!
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าซูอี้จะลงมือสังหารหลัวเซียวอวิ๋นในดาบเดียวจริง ๆ!
“ทัศนาจารย์ เจ้าจะทำอันใดกับตระกูลอวิ๋นของข้า!?”
อวิ๋นฉางหงกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเดือดดาล
ซูอี้โจมตีสังหารหลัวเซียวอวิ๋นอย่างมิไว้หน้าผู้ใดในถิ่นเขา ไม่ต่างจากตบหน้าเขาเลยสักนิด
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ในสายตาผู้อื่น ที่นี่อาจเป็นรังมังกรแดนพยัคฆ์ ทว่าในสายตาข้า ก็เหมือนเข้ามาในแดนไร้ผู้คนนั่นแหละ”
ทุกผู้ “…”
แดนไร้ผู้คน?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นคนหรือ?
ทว่าไร้ผู้ใดกล้าเอ่ยปาก
ใครเล่าจะกล้าเข้าพัวพันกับปัญหานี้?
“แดนไร้ผู้คน? ฮ่า ๆ แดนไร้ผู้คนอันใด เจ้าคิดว่าตระกูลอวิ๋นของข้ากลัวเจ้าจริง ๆ หรือ?”
เสียงหนึ่งระเบิดหัวเราะขึ้นเหนือนภาอย่างมาดร้ายแว่วมาไกล ๆ
สุญญะบิดเบี้ยว กลุ่มตัวตนร้ายกาจทะยานเข้ามา
พวกเขามีมากกว่ายี่สิบ
ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในวิถีจุติสรวง!
ผู้นำเป็นชายชุดสีเงิน รูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่ม เส้นผมขาวเยี่ยงหิมะ แสงเซียนอาบย้อมทั่วกายเยี่ยงเทพ
“ท่านอาสาม!”
อวิ๋นฉางหงโล่งใจเผยความปรีดา กล่าวทักทายทันที
คนตระกูลอวิ๋นทั้งหลายล้วนตื่นเต้นเช่นกัน
ผู้มาคือกลุ่มตัวตนบรรพกาลของตระกูลพวกเขาซึ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวงกันแล้ว
ชายชุดสีเงินซึ่งดูเหมือนชายหนุ่มหน้าสุดนั้นคือ ‘ท่านอาสาม’ ที่อวิ๋นฉางหงว่า มีนามว่าอวิ๋นฮ่วนเทียน
ตัวตนบรรพกาลรุ่นลายครามแห่งตระกูลอวิ๋น ศักดิ์อาวุโสสูงส่งร้ายกาจ!
“ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านก็มาด้วย”
แทบจะในขณะเดียวกัน เนี่ยอวิ๋นหยวนก็แสนปรีดา ตระหนักทันทีว่าในกลุ่มตัวตนวิถีจุติสรวงผู้มามีผู้อาวุโสสองคนจากโรงดาบเทพลี้ลับรวมอยู่ด้วย
พวกเขาคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีหมึก เถลิงมงกุฎหยกบนศีรษะ ถือกล่องดาบสีม่วงใบหนึ่ง
และหญิงงามผู้มีบรรยากาศเย็นชาในอาภรณ์ตระการสี ถือพัดขนนกสีขาวดุจหิมะเล่มหนึ่ง กิริยาสง่างาม การวางตนสูงส่งไร้คู่เปรียบ
ทั้งสองคือผู้อาวุโสผู้ทรงอำนาจในโรงดาบเทพลี้ลับ
มีนามว่าเว่ยฉางฝู่และหร่วนไฉ่จือ
ทั้งคู่ล้วนมีอำนาจในขอบเขตจุติมงคล!
เหตุที่ทั้งสองปรากฏตัวสู่โลกหล้าได้นั้นเป็นเพราะต่างคนต่างถือสมบัติลับเลี่ยงการตอบโต้ของกฎสวรรค์อยู่
ขณะนี้ เมื่อกลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติสรวงนำโดยอวิ๋นฮ่วนเทียนแห่งตระกูลอวิ๋น อารักขาโดยเว่ยฉางฝู่และหร่วนไฉ่จือจากโรงดาบเทพลี้ลับมาถึง บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนกะทันหัน
เหล่าแขกเหรื่อพากันขวัญหาย ตระหนักแล้วว่าเหตุวันนี้ย่ำแย่ลงทุกขณะ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดศึกอันยากคาดเดา!
สายตาทุกผู้ล้วนหันมองซูอี้เป็นตาเดียว
ทว่าทุกผู้กลับประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้กลับยังดูสุขุมเยือกเย็น ไร้ความกดดันใด ๆ ทั้งสิ้น
เขากระทั่งเมินการมาถึงของเหล่าตัวตนในวิถีจุติสรวงเหล่านั้นไปแต่แรก และกล่าวกับอวิ๋นฉางหงว่า “กระทำการใดไม่ซ้ำสาม ข้าจะถามเจ้าเป็นหนสุดท้าย ตัดสินใจเช่นไร?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว บรรยากาศก็หดหู่กดดันมากขึ้นทวีคูณ
บรรยากาศกรุ่นจิตสังหารแผ่ออกทั่วบริเวณเยี่ยงคลื่นโถม
อวิ๋นฮ่วนเทียน เว่ยฉางฝู่ หร่วนไฉ่จือ และตัวตนวิถีจุติสรวงยี่สิบกว่าคนล้วนขมวดคิ้ว
ราวกับไม่อยากเชื่อว่าการมาถึงของพวกเขาจะถูกเมินเฉย!
สีหน้าของอวิ๋นฉางหงเองก็ย่ำแย่
ทัศนาจารย์ยังเห็นสถานการณ์ชัดเจนอยู่หรือไม่?
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าร่ำไห้
แขกคนอื่น ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
พวกเขามารื่นเริงในงานเลี้ยงมงคล ใครเล่าจะคิดว่าจะมาเผชิญพายุซึ่งกระทั่งชีวิตพวกตนยังอาจถูกกระทบเช่นนี้ ใครเล่าจะทนไหว?
ซูอี้พยักหน้า “ไม่ต้องอยู่รอหรอก ไปเถอะ”
เหล่าแขกเหรื่อล้วนโล่งใจ
และภาพเช่นนี้ทำให้อวิ๋นฉางหง อวิ๋นฮ่วนเทียนและผู้ทรงอำนาจสกุลอวิ๋นอีกหลายคนเดือดดาลถึงขีดสุด!
วันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลอวิ๋นของพวกเขา ทว่าเหล่าแขกกลับถูกทำให้ตกใจกลัวขอตัวกลับจากถิ่นฐานตระกูลอวิ๋นก่อน
สิ่งที่ยิ่งน่าโมโหก็คือ แขกเหล่านั้นกระทั่งต้องขอความเห็นชอบจากคนนอกเช่นทัศนาจารย์ก่อนจากจร
แล้วตระกูลอวิ๋นของพวกเขาอยู่ตรงไหน?
หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออก ทั่วจักรวาลพร่างดาวจะมองตระกูลอวิ๋นของพวกเขาเช่นไร?
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหนเสีย แม้จะห่วงติดร่างแหในพายุนี้ไปด้วย จะรออยู่ห่าง ๆ ก็ย่อมได้ ยามพายุจากจร ข้าจะจัดงานแต่งปลอบขวัญพวกท่านให้เอง”
อวิ๋นฮ่วนเทียนผู้มีเส้นผมขาวดุจหิมะ รูปลักษณ์เยี่ยงชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก ทนให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมิได้
เหล่าแขกล้วนแค่นหัวเราะในใจ ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงกัดฟันเลือกอยู่ต่อ ยืนรออยู่แสนห่างอย่างเงียบงัน
อวิ๋นฮ่วนเทียนกล่าวกับหลีจงว่า “สหายเต๋า หากเจ้าเลือกยืนฝั่งทัศนาจารย์ นี่หมายถึงการแสดงจุดยืนของเซียนม่อชิงโฉวด้วยหรือไม่?”
หลีจงรำพึง “เจ้าฟังวาจาของตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ได้หรือไม่?”
อวิ๋นฮ่วนเทียนว่า “ว่ามา”
หลีจงกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “หากเฒ่าเว่ยผู้นั้นอยู่ในมือตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้าจริง ๆ จะเป็นการดีที่สุดหากจะปล่อยเขาออกมาโดยเร็วที่สุด เรื่องวันนี้อาจมีช่องให้รอมชอมกันได้ หาไม่…”
โดยไม่รีรอให้พูดจบ เว่ยฉางฝู่ก็กล่าวขัดยิ้ม ๆ “หากทัศนคติเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกล่าววาจาใดกันอีกแล้ว”
หลีจงขมวดคิ้ว และสุดท้ายก็เงียบไป
คิดสู้กับทัศนาจารย์?
เกรงว่าคงจบด้วยการโขกหัวหลั่งเลือดประไร!
และซูอี้ผู้เห็นเหตุทั้งหมดนี้มิกล่าววาจาใดอีก ดาบแห่งโลกาถูกถือในมือ
ภาพนี้ทำให้เปลือกตาคนทุกผู้เต้นกระตุก
ทัศนาจารย์… จะลงมือเลยหรือ!?
และการกระทำเช่นนี้ก็กลายเป็นการยั่วยุอย่างยิ่งในสายตาอวิ๋นฉางหง!
เขาถอนหายใจยาว กล่าวกับตนเอง “ช่างแปลกนัก ในการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์แห่งโลกหล้า ตระกูลอวิ๋นของข้าอยู่เงียบ ๆ ตลอดมา ไฉนจึง… ถูกทัศนาจารย์เหยียบย่ำเอาเช่นนี้ได้!”
กล่าวจบ นัยน์ตาของเขาก็คมปลาบเยี่ยงอัสนีบาต จ้องซูอี้อย่างเย็นชาเปิดเผย “ไอ้แก่พิการนั่นอยู่ในมือตระกูลข้าจริง อยากช่วยเขาหรือ? ได้สิ ส่งเคล็ดวัฏสงสารของเจ้ามา และข้าจะปล่อยคนประเดี๋ยวนี้เลย!”
เหล่าผู้ชมล้วนอื้ออึง
นี่คือการเปิดเรื่องเข้าปะทะอย่างถึงที่สุด!
ซูอี้เชิดหน้าขึ้นดื่มสุราในไห ดวงตากวาดมองทุกผู้รายล้อม จนสุดท้ายก็มองมายังอวิ๋นฉางหง
“ข้าบอกไปแล้วว่าหากเจ้าไม่ปล่อยคน ตระกูลอวิ๋นก็จะถูกลบจากโลกหล้า”
วาจาเรียบเฉยยังมิทันสิ้น ร่างของซูอี้ก็ปรากฏหนึ่งจิตดาบทะยานพุ่ง
ทั่วฟ้าดินสะท้านสั่น สะเทือนถึงสุญญะแดนดิน
และซูอี้ผู้ทะยานสู่เวหาแล้วก็กล่าวใต้ท้องนภา “หากมิเชื่อก็ลองดูได้”
ทุกผู้สูดหายใจเฮือก
ทว่าอวิ๋นฮ่วนเทียน ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นพลันหัวเราะลั่นอย่างแสนยินดี “ทัศนาจารย์ เจ้าพาตนเองมาสู่ร่างแหเองนะ!”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ นับแต่ข่าวเจ้าหวนคืนสู่จักรวาลพร่างดาวปรากฏ ตระกูลข้าก็คาดไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึงเป็นแน่แท้ ข้าจึงเตรียมการไว้ก่อน รอโอกาสเชิญเจ้ามาติดกับเท่านั้น มิคาดเลยว่าเจ้าจะมาโดยมิได้เชื้อเชิญเช่นนี้ น่าประหลาดใจจริงแท้!”
กล่าวจบ อวิ๋นฮ่วนเทียนก็อดหัวเราะมิได้
ทุกผู้ล้วนมีปฏิกิริยา ปรากฏว่าตระกูลอวิ๋นวางแผนไว้เนิ่นนานแล้ว!
ไม่น่าเล่า แม้จะเผชิญหน้าทัศนาจารย์หลังจบศึกแท่นนภาม่วง พวกเขายังกล้าท้าความตาย!
หัวใจของหลีจงเองก็ร่วงถึงตาตุ่ม สัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างผิดพลาด
เขามาส่งถ่านยามหิมะตกให้ซูอี้ หามาเพื่อส่งซูอี้สู่ปรภพไม่!
ทว่า ขณะที่หลีจงกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง เขาก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
ตู้ม!
ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น แสงเซียนเจิดจรัสสายแล้วสายเล่าก็ทะยานออกสู่เก้าชั้นสรวง สอดประสานกลางอากาศสร้างเป็นค่ายกลวิถีเซียนอันลึกลับยิ่งใหญ่
ดาบวิถีสามสิบหกเล่มกระจายอยู่ตามทิศต่าง ๆ แสงเซียนเจิดจรัส จิตสังหารแผ่ทั่วแดนดิน
ฟ้าดินหม่นแสง หมู่เมฆทั่วทศทิศกระจายหาย!
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ติดอยู่ท่ามกลางค่ายกลอันปกคลุมด้วยปราณดาบ แสงเซียนและคลื่นอำนาจค่ายกลกระเพื่อมไหวดุจทะเลคลั่ง ปิดกั้นทุกทางหนีสิ้น
ดุจวิหคในกรง สองปีกยากโบยบิน!
ทุกผู้ล้วนตะลึงมองอย่างตกใจ
กระทั่งหลีจงและตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตจุติสรวงยังอดอ้าปากค้างเปลี่ยนสีหน้ามิได้
ปรากฏว่านี่คือค่ายกลวิถีเซียนที่แท้จริง!
เพียงปราณแผ่พลิ้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดยากหายใจ ไม่ต้องคิดเลยว่าต่อให้พวกเขาจะเป็นตัวตนในขอบเขตจุติสรวง หากถูกขังในนั้นก็มีแต่ต้องสู้ยิบตา!
………………..