บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1366: ถล่มสิ้น!
ตอนที่ 1366: ถล่มสิ้น!
ตู้ม!
จิตสังหารอันร้ายแรงพลุ่งพล่านเยี่ยงทะเลคลั่ง กวาดทำลายทั่วเก้าชั้นสรวง
ท้องนภาพลันหม่นแสงลง รอบทิศสะท้านไหว
เหล่าพยานอ้าปากค้าง
ขณะนี้ทัศนาจารย์ดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน จิตสังหารจากร่างสูงใหญ่ของเขาดูหนาแน่นราวควบตัวเป็นสสาร ชวนให้ผู้คนในโลกหล้ารู้สึกขนลุก
มีกระทั่งนิมิตหลอนจิตประหนึ่งบรรพตซากศพทับถม โลหิตนองเป็นทะเลไปทั่วแดนดิน ทำให้ผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
เหล่ายอดฝีมือตระกูลอวิ๋น ณ แดนหวงห้ามหลังภูเขาเองก็ร่างสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์
“เจ้าจะมองเฒ่าพิการนี่ตายอย่างสิ้นหวังจริง ๆ หรือ?!”
อวิ๋นฉางหงตวาดลั่น
สาเหตุที่ตัวประกันยังคงเป็นตัวประกันก็เพราะเขาสามารถใช้ข่มขู่อีกฝ่ายได้ขณะยังมีชีวิต
ทว่าเมื่ออีกฝ่ายสิ้นห่วงเกี่ยวกับความเป็นความตายของตัวประกัน บทบาทของตัวประกันก็จะไร้ความหมาย
อวิ๋นฉางหงเองก็กังวลว่าซูอี้จะคลุ้มคลั่งและหมดห่วง
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงต่ำ “หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลข้าจะถอยให้หนึ่งก้าว ขอเพียงเจ้าส่งเคล็ดวัฏสงสารมา เรื่องวันนี้จะจบอย่างที่เจ้าว่า!”
“ส่งเคล็ดวัฏสงสารให้อย่างนั้นหรือ?”
หลีจงแทบไม่อยากเชื่อหูตน “นี่เรียกว่าถอยให้ได้ด้วยหรือ!?”
อวิ๋นฉางหงกล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อคนตายไปก็สิ้นซึ่งทุกสิ่ง สำหรับทัศนาจารย์ เคล็ดวัฏสงสารหรือจะสำคัญเท่าชีวิตคน?”
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลข้าในวันนี้ได้เสียหายอย่างมหาศาล ยามนี้ข้าขอเพียงให้ทัศนาจารย์ส่งเคล็ดวัฏสงสารมา นี่ก็เรียกได้ว่าทนแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลีจงก็อดขำมิได้
เพียงแต่ว่า… ทัศนาจารย์จะยอมถอยหรือไม่?
หลีจงอดหันมองซูอี้มิได้
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจ ณ ยามนี้คือสีหน้าของซูอี้ยังคงเยือกเย็น แม้กระทั่งจิตสังหารบนร่างยังดูจะเงียบไป
ทว่าความสงบเงียบนี้เองที่ทำให้หลีจงรู้สึกตระหนกอย่างไร้คำอธิบาย
มันเป็นเหมือน… ลมสงบก่อนพายุเข้า!
“ทัศนาจารย์ ได้เวลาตัดสินใจแล้ว!”
ในใจของอวิ๋นฉางหงก็ว้าวุ่นเล็กน้อย ขณะกล่าวเร่งออกมาเสียงดัง
ภายใต้สายตาทุกคู่ ซูอี้ผู้ยืนบนอากาศเริ่มก้าวเข้ามา
“หากเฒ่าเว่ยยังอยู่ ทายาทตระกูลอวิ๋นที่กระจัดกระจายทั่วจักรวาลพร่างดาวก็ยังมีโอกาสใช้ชีวิตได้ต่อ”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงของซูอี้ก็ดังขึ้นดุจวายุหนาวเหน็บบาดลึก สะท้อนก้องทั่วฟ้าดินสะเทือนขวัญคนมากมาย
และขณะก้าวเดิน จิตสังหารบนร่างของเขาก็เอ่อสูงขึ้นทีละน้อยเยี่ยงระดับนทีหลังพิรุณโปรย!
“หากเฒ่าเว่ยตาย ข้าจะไล่ล่าสังหารคนตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้าไปจนสุดหล้าตราบจนล้างทุกผู้สิ้นจากโลกา!”
วาจานั้นไร้การผันผวนของอารมณ์ราวกับเป็นเพียงการประกาศสัจธรรม
ทว่ายามมันกระทบสู่โสต สมาชิกในตระกูลอวิ๋นทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสีและตระหนักได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
หร่วนไฉ่จือพึมพำอย่างมิอยากเชื่อ “เขาพยายามทำอันใดอยู่กันแน่? ปลาตายแหทะลุ คิดแตกหักเผาหยกพร้อมศิลาหรือไร?”
“เจ้ากล้า!”
อวิ๋นฉางหงตวาดอย่างตระหนก
ทว่าก่อนจะทันสิ้นคำ ซูอี้ก็ตวัดดาบลงมาฟาดฟัน
ตู้ม!
ปราณดาบเก้าคุมขังอัดแน่นอยู่ในปราณดาบ ม่านดาบหกวิถีเวียนวัฏอันอลังการคลี่ลงมาจากนภา
มองจากไกล ๆ ดูราวนายเหนือแห่งสวรรค์ขว้างแดนวัฏสงสารสู่แดนหวงห้ามที่อยู่ด้านหลังภูเขาของตระกูลอวิ๋น
นี่คือการโจมตีด้วยโทสะของซูอี้
เดือดดาลไร้ออมมือ
หนึ่งดาบเหวี่ยงลง เสียงกระทบระเบิดลั่นขวัญสะเทือน
เหนือแดนหวงห้ามที่อยู่ด้านหลังภูเขาของตระกูลอวิ๋น ค่ายกลวิถีเซียนมากมายกะพริบวูบ จากนั้นอำนาจค่ายกลที่หนาหนักก็ปรากฏขึ้น
ทว่าภายใต้ดาบนี้ ค่ายกลวิถีเซียนที่หนาแน่นนั้นกลับสะเทือนไหว เห็นได้ชัดว่าไม่อาจทานทนอำนาจได้และพร้อมจะสลายไปทุกเมื่อ!
“แย่แล้ว!”
อวิ๋นฉางหงตระหนกจนดวงตาเหลือกถลน
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าทัศนาจารย์ในขณะนี้พร้อมจะแตกหัก และคิดกวาดล้างอีกฝ่ายจนสิ้นตระกูล?
ขณะนี้ อวิ๋นฉางหงแค้นจนอยากขยี้เฒ่าเว่ยให้ตกตายสนองแค้นซูอี้ ทำให้เขาต้องเจ็บปวดเสียใจไปชั่วชีวิต
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยั้งมือ
ไม่ใช่มิอยากทำ แต่เขามิกล้านำชีวิตของคนทั้งตระกูลมาตายไปด้วยกัน!
ความเสียหายเช่นนั้นใหญ่หลวงเกินไป มิใช่สิ่งที่ตระกูลอวิ๋นของพวกเขาจะรับไหว
“บรรพชน ข้าทำเช่นไรได้บ้างหรือ?”
อวิ๋นฉางหงหันถามอวิ๋นฮ่วนเทียน
อวิ๋นฮ่วนเทียนเองก็เดือดดาล และเขาก็ไม่คิดออกว่าไยทัศนาจารย์จึงกล้าอาจหาญเช่นนี้
“ก็ได้ ส่งตัวไอ้แก่พิการนั่นไป!”
อวิ๋นฮ่วนเทียนตัดสินใจด้วยใบหน้าคล้ำเครียด
ยิ่งเป็นตัวตนโบราณเช่นพวกเขา ยิ่งไม่กล้าใช้ชีวิตทุกคนในตระกูลมาเดิมพัน
เผาศิลาพร้อมหยกตกตายพร้อมกันอันใด หากตัวประกันเพียงหนึ่งทำให้เกิดผลกระทบถึงขั้นกวาดล้างตระกูลเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดรับราคาเช่นนี้ได้หรอก!
เมื่อได้ฟังวาจาอวิ๋นฮ่วนเทียน ไม่เพียงอวิ๋นฉางหงจะถอนใจโล่งอก แต่ตัวตนทรงอำนาจอื่นในตระกูลอวิ๋นเองก็โล่งใจไปด้วย
มิมีผู้ใดกล้าตั้งข้อสงสัยได้ว่าเหตุใดทัศนาจารย์จึงกร้าวแกร่งได้เพียงนี้
“ทัศนาจารย์ เจ้าไม่อยากได้เฒ่าขาเดี้ยงนี่คืนหรือ? ขอเพียงเจ้าหยุดเพียงเท่านี้ก็เอาตัวเขาไปเลย!”
อวิ๋นฉางหงตะโกน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลีจงก็อดยิ้มเยาะมิได้ ก่อนหน้านี้ยามทัศนาจารย์ยอมถอย พวกเจ้าก็เข้ามาข่มขู่ยื้อแย่งเคล็ดวัฏสงสาร
เมื่อยามนี้ทัศนาจารย์คิดแตกหัก พวกเจ้าก็ลนลานกลัวหัวหดจนต้องเสนอส่งคนให้
ต่ำทราม!
ต่ำทรามยิ่งนัก!
ทว่าทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อซูอี้ทำหูทวนลมไม่สนใจ
ร่างของเขาเดินไปบนเวหาและฟาดฟันดาบลงมาอีกหน
เปรี้ยง!
เยี่ยงถล่มนภากระแทกลงพิภพ
อำนาจค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วแดนหวงห้ามที่อยู่ด้านหลังภูเขาของตระกูลอวิ๋นถูกผ่าออกทีละชั้นด้วยดาบนี้ในที่สุด
อวิ๋นฉางหงและผู้แข็งแกร่งในตระกูลอวิ๋นคนอื่น ๆ แทบสิ้นสติ
พวกเขาล้วนเลือกก้าวถอยก้มหัวแล้ว แต่ใครเล่าจะคิดว่าทัศนาจารย์มิคิดรามือ!
ไร้ช่วงกาลให้ครุ่นคิด ซูอี้ฟาดฟันดาบสังหาร ปราณดาบอันร้ายกาจกวาดทะยาน แล้วแดนหวงห้ามก็ปั่นป่วนอลหม่าน
ยอดฝีมือตระกูลอวิ๋นหลายคนสิ้นชีพอย่างอนาถลงทันทีอย่างมิอาจหลบทัน โลหิตกระเซ็นย้อมเวหา เสียงกรีดร้องสะเทือนทั่วนภา
“ถอย ถอยออกไปเร็ว!”
อวิ๋นฮ่วนเทียนเร่งร้อนลงมือเต็มกำลัง คิดหนีไปพร้อมตระกูล
ทว่าก็ถูกซูอี้ขวางไว้ทันควัน
ตู้ม!
แม้อวิ๋นฮ่วนเทียนจะหลบมันได้ทัน ทว่าตัวตนอื่น ๆ ในวิถีจุติสรวงซึ่งอยู่รายล้อม รวมถึงสมาชิกตระกูลอวิ๋นอีกหลายสิบล้วนถูกปราณดาบอันยิ่งใหญ่นี้โค่นวิญญาณในพริบตา
ขณะนี้ ซูอี้ดูเฉยชาเช่นกาลก่อน ทว่ามันคือความเฉยชาเย็นยะเยือกถึงขีดสุด ร่างของเขาวูบไหวเยี่ยงประกายแสงเจิดจ้าไร้ใดเปรียบทะลวงสังหารสาดโลหิตกระเซ็นทั่วท้องฟ้า!
ตู้ม!
โลกหล้าสะเทือนก่อนจะถล่มลงมาจนมิเหลือซาก
คนตระกูลอวิ๋นหนีกระเจิงทุกทิศทาง สีหน้าของทุกผู้เปี่ยมความสิ้นหวัง หวาดกลัวและสิ้นกำลัง
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นฮ่วนเทียนหูอื้อตามัว ดวงตาแดงฉาน แผดร้องอย่างอาวรณ์ นับแต่เริ่มศึกมา นี่คือหนแรกที่เขารู้สึกสิ้นหวังจนหนทางที่สุด
“ผู้อาวุโสหร่วน! หือ?”
ในขณะที่อวิ๋นฮ่วนเทียนกำลังจะขอความช่วยเหลือจากหร่วนไฉ่จือนั้นเอง เขาก็บังเอิญเห็นว่าตัวตนในขอบเขตจุติมงคลแห่งโรงดาบเทพลี้ลับผู้นั้นหนีไปไกลแล้วพอดิบพอดี
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นฮ่วนเทียนแทบสิ้นสติ
“หรือตระกูลอวิ๋นของข้าจะมิพ้นภัยพิบัติในวันนี้จริง ๆ!?”
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของอวิ๋นฮ่วนเทียน ปราณดาบอันทรงพลังเกินต้านสายหนึ่งก็โปรยลงจากฟ้า
ตู้ม!!
อวิ๋นฮ่วนเทียนขัดขืนอย่างสุดกำลัง ทว่าท้ายที่สุดก็สายไป ทำให้เขาถูกสังหารในพริบตา
สมบัติคุ้มกายทั้งหมดมลายสูญ
ทั่วแดนดินในขณะนี้ปั่นป่วนอย่างยิ่ง ทางฝั่งตระกูลอวิ๋นนั้นไร้ผู้ใดหยุดฝีเท้าซูอี้ได้สักคน
ในมือเขาถือดาบแห่งโลกาเปื้อนเลือด เมินเฉยต่อสมาชิกตระกูลอวิ๋นซึ่งกำลังหนีกระเจิงคนอื่น ๆ ขณะโจมตีเข่นฆ่าอวิ๋นฉางหง
ดวงตาของเขาลึกล้ำดูไร้อารมณ์ จิตสังหารบนร่างเจือกลิ่นเลือดจาง ๆ ดุจเทพมรณะไร้ผู้ต้านปรากฏขึ้นจากทะเลโลหิตบรรพตซากศพ!
“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นฉางหงแผดเสียงขณะยกตัวเฒ่าเว่ยขึ้นขวางตรงหน้าเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนธรรมดาเลย แม้กระทั่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเหล่านั้นยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเสวนากับเขา
เพียงหนึ่งคำสั่งของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงครรลองแห่งโลกหล้าได้แล้ว!
อำนาจเช่นนั้นทรงพลังร้ายกาจ มิต่างจากหนึ่งบุคคลปกครองทั่วสรวง
ทว่าขณะนี้ อวิ๋นฉางหงกำลังลนลาน หัวใจแหลกสลาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนสิ้นหวัง
ส่วนผู้เฝ้ามองศึกจากระยะไกล หลังจากเห็นโศกนาฏกรรมนองเลือดเปิดฉาก จนถึงตอนที่อวิ๋นฉางหงถูกโจมตีจนแตกตื่น พวกเขาก็อดรู้สึกเวทนามิได้
เหตุใดต้องลำบากด้วย?
หากในกาลก่อนยามทัศนาจารย์เลือกรอมชอม เขาเลือกปล่อยคนเสีย มันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร?
หนึ่งคิดชั่วนำพาสู่หายนะ!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนำเฒ่าเว่ยมาขู่ ซูอี้ก็ไร้เจตนาหยุดมือ และอวิ๋นฉางหงก็สิ้นหวังมิเหลือดี!
“ข้าจะส่งคนให้!”
หน้าผากของอวิ๋นฉางหงปรากฏเส้นเลือดเส้นเลือดปูดเขียวขณะตะโกนเช่นนั้น
และพร้อมกันนั้นเอง เขาก็ขว้างตัวเฒ่าเว่ยที่อยู่ในมือออกไป
ในที่สุดซูอี้ก็ชะงักเท้า เอื้อมมือซ้ายออกมาประคองร่างเฒ่าเว่ยไว้อย่างเบามือ
ขณะเดียวกัน อวิ๋นฉางหงเองก็ดูสิ้นเรี่ยวแรง ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
เส้นผมของเขากระจัดกระจาย ใบหน้าเปื้อนเลือดซีดขาว ขณะกล่าวอย่างหดหู่ “ชีวิตข้า หากคิดต้มยำทำแกงอย่างไรก็เชิญ ทว่าข้าขอให้ทัศนาจารย์หยุดเสียที่นี่ อย่านำตระกูลข้าเข้ามาพัวพันอีกเลย”
“เจ้าตระกูล!”
สมาชิกตระกูลอวิ๋นผู้เหลือรอดบางคนแสดงความอาวรณ์รวดร้าวออกมา
แดนหวงห้ามหลังตระกูลอวิ๋นนั้นราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว เลือดและร่างผู้วายชนม์เกลื่อนทั่วแดนดิน ภาพนี้ทำให้เหล่าคนตระกูลอวิ๋นผู้เหลือรอดรู้สึกราวนภาถล่มลงมา
ยามสักขีพยานเห็นภาพนี้จากระยะไกล หัวใจของพวกเขาก็เต้นระทึกอย่างตกใจ
ทัศนาจารย์คนเดียวถล่มสังหารตระกูลอวิ๋น!
เข่นฆ่าเสียจนเจ้าตระกูลอวิ๋นฉางหงคุกเข่าลงยอมแพ้!!
เหตุนองเลือดเช่นนี้ ขวัญผู้ใดบ้างไม่สะเทือน?
“ตรวนบนร่างเฒ่าเว่ยผู้นั้นมีนามว่า ‘ตรวนผนึกเทพ’ ซึ่งแก้ได้เพียงเคล็ดวิชาตระกูลข้าเท่านั้น อำนาจภายนอกมิอาจทำลายได้”
อวิ๋นฉางหงทรุดตัวคุกเข่าอยู่ที่เดิมขณะนำม้วนหยกม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อด้วยมือสั่นเทาและส่งให้ “เคล็ดวิชาปลดตรวนผนึกเทพอยู่ในนี้”
ซูอี้เก็บม้วนหยกไปและกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “มันกับชีวิตของเจ้ายังไม่พอล้างโทสะในใจข้าได้”
อวิ๋นฉางหงผงะไป ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว “ทัศนาจารย์ไม่อยากรู้หรือว่าไยตระกูลอวิ๋นของข้าจึงเข้าไปในแดนลับพร่างจินดาเมื่อครั้งนั้น? และเหตุใดเราจึงจับเป็นบ่าวเฒ่าของเจ้า?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ไม่รีรอให้เขากล่าววาจาใด อวิ๋นฉางหงก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน “เป็นฝีมือช่างเสื้อเฒ่า! ไอ้แก่นั่นบอกตระกูลข้าว่าเจ้าทัศนาจารย์หาตายไปจริง ๆ ไม่ แต่เลือกเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เราสามารถควบคุมตัวคนที่เจ้าใส่ใจที่สุดเพื่อบังคับให้เจ้าส่งเคล็ดวัฏสงสารให้ยามกลับมาได้!”
“และช่างเสื้อเฒ่าก็ร่วมมือกับตระกูลเราโจมตีแดนลับพร่างจินดาในกาลก่อน!”
“เดิมทีเรื่องนี้ไร้ช่องโหว่ นอกจากบรรพชนหลายคนในตระกูลข้า ก็มีเพียงช่างเสื้อเฒ่าที่รู้เรื่องนี้”
“ในเมื่อเขาบอกเจ้าว่าตระกูลข้าทำลายแดนลับพร่างจินดา เขามิบอกเจ้าด้วยหรือว่าเขา… ก็เป็นหนึ่งในตัวการหลักหลังฉากเช่นกัน?”
กล่าวเช่นนี้ สีหน้าของอวิ๋นฉางหงก็เปี่ยมความเคียดแค้น
ครึ่งหนึ่งมุ่งเป้าที่ซูอี้
และอีกครึ่งมุ่งเป้าไปยังช่างเสื้อ!
………………..