บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1367: ปล้นบ้าน
ตอนที่ 1367: ปล้นบ้าน
มันเกี่ยวข้องกับช่างเสื้อเฒ่าอีกแล้ว!
คิ้วของซูอี้ขมวดเข้าหากัน
จริงอยู่ที่ตระกูลอวิ๋นโบราณทำลายแดนลับพร่างจินดาและจับตัวเฒ่าเว่ยไป
ทว่าเรื่องนี้ก็มิอาจแยกจากช่างเสื้อเฒ่าได้!
“ช่างเสื้อ ไอ้แก่นี่ซ่อนตัวหลังฉากเสมอมา ข้าเชื่อว่าทัศนาจารย์คงคิดฆ่าเขาอยู่นานแล้ว”
อวิ๋นฉางหงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงต่ำ “คนแซ่อวิ๋นผู้นี้ให้เบาะแสเกี่ยวกับช่างเสื้อแก่เจ้าได้”
“เจ้ารู้หรือว่าช่างเสื้ออยู่หนใด?”
ซูอี้ถาม
อวิ๋นฉางหงกล่าวอย่างมิต้องคิด “ไอ้แก่นี่ชั่วร้ายยิ่ง น้อยคนนักจะรู้ที่อยู่ของเขา ทว่าวายุทิ้งร่องรอย หมู่ห่านถ่ายวจี แม้นักบวชจะหนีได้ ทว่าวัดวาวิหารมิอาจเคลื่อนไหว ตอนที่ตระกูลอวิ๋นของข้าร่วมมือกับเขา เราได้เบาะแสอันมีค่าบางอย่างเป็นการป้องกันตัวไว้ก่อนแล้ว”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็นำม้วนหยกอีกชิ้นออกมาสลักด้วยจิตสัมผัส
จากนั้นเขาก็ส่งม้วนหยกนั้นแก่ซูอี้ “ในม้วนหยกนี้มีเบาะแสสามประการ เพียงทัศนาจารย์ตรวจสอบก็จะหาตัวไอ้แก่นั่นได้!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคิดว่าช่างเสื้อเป็นผู้แพร่งพรายเรื่องในกาลก่อน ทำให้ซูอี้บุกบ้านพวกเขาและก่อหายนะแก่ตระกูลอวิ๋นในวันนี้
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะต้องทำเช่นไร เขาก็จะลากช่างเสื้อลงปลักโคลนไปด้วยให้จงได้!
“ยามเรื่องราวถูกเปิดเผย จึงคิดส่งสุนัขไปกัดกันเอง”
ซูอี้ยิ้มเยาะด้วยรู้ทันความคิดยืมมือเขาจัดการช่างเสื้อของอวิ๋นฉางหง
“ไม่ว่าจะเป็นการส่งสุนัขไปกัดกันเองหรือมีเจตนาแฝง ข้าอวิ๋นฉางหงก็ยอมรับทั้งสิ้น ข้าหวังว่าทัศนาจารย์จะมอบโอกาสรอดชีวิตให้ตระกูลอวิ๋นของข้าดังที่ลั่นวาจาเอาไว้ก่อนหน้านี้!”
กล่าวเช่นนั้น อวิ๋นฉางหงผู้คุกเข่าอยู่ก็ก้มหัวโขกลงบนพื้น
สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้คนซึ่งมองอยู่จากไกล ๆ ผงะอึ้ง
เจ้าตระกูลอวิ๋นผู้ทรงอำนาจคุกเข่าโขกหัวให้ทัศนาจารย์!
เมื่อเหตุนี้แพร่งพราย โลกหล้าจะสั่นสะเทือนเป็นแน่
ซูอี้จับจ้องไปยังอวิ๋นฉางหงอย่างเย็นชา และสุดท้ายก็วาดฝ่ามือออกไปโดยไม่พูดจา
ร่างของอวิ๋นฉางหงถูกทำลายไปขณะกำลังโขกหัวก้มกราบอยู่บนพื้น
“เจ้าตระกูล…”
คนตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นล้วนอาวรณ์จนดวงตาแดงก่ำ
บางคนเดือดดาลจนอยากกระโดดเข้าไปต่อสู้กับซูอี้ ทว่าก็ถูกหยุดไว้
ในวาระสุดท้าย อวิ๋นฉางหงใช้ความตายของตนเองต่อชีวิตให้แก่ตระกูลอวิ๋น หากกระทำการสิ้นหวังในยามนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความตายของอวิ๋นฉางหงจะเป็นการตายเสียเปล่า!
สายตาของซูอี้กวาดมองคนตระกูลอวิ๋นทั้งหลาย “โลกหล้ากล่าวอยู่บ่อยหนว่าหากตัดหญ้าไม่ถอนโคน ผลที่ตามมาจะไร้จบสิ้น ทว่าข้าคิดว่าผู้พูดนั้นไม่แข็งแกร่งพอ หาไม่ ไยต้องกลัวการล้างแค้นในภายหน้าด้วย?”
กล่าวจบ เขาก็ยกมือขึ้นชี้ตน กล่าวลอย ๆ ว่า “ขอเพียงมีปัญญา จะมาล้างแค้นข้าในภายหน้าก็เชิญ!”
วางท่าอหังการ!
นักดาบผจญศึกชั่วชีวิต ย่อมไม่อาจเลี่ยงความแค้นเกลียดชังทั้งหลายได้
หากเขามัวกังวลว่าศัตรูจะมาล้างแค้น ก็ต้องเข่นฆ่าล้างตระกูลไม่เลือกหน้าทุกหนไป และนั่นเป็นการกระทำที่ซูอี้รังเกียจยิ่ง
เมื่อแข็งแกร่งพอ ไยต้องกลัวผู้อื่นมาล้างแค้น?
เมื่อถึงเวลาของเขายืนเหนือวิถีจุติสรวง หนึ่งดาบเบิกประตูสวรรค์จุติมงคลบรรลุเซียน ใครเล่าจะกล้ามาล้างแค้นให้กับผู้เหลือรอดตระกูลอวิ๋นเหล่านั้น?
ในอดีตชาติ ทัศนาจารย์ประสบศึกล้างเลือด เผชิญกับศัตรูมามากมายเกินคณานับ
ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแทบไม่มีผู้ใดกล้าล้างแค้นทัศนาจารย์เลยไม่ใช่หรือ?
เพราะเหตุใด?
เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป!
ประการที่สองคือทัศนาจารย์เดินบนวิถีดาบ และยามทายาทของศัตรูเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็พบว่าทัศนาจารย์ทะลวงดาบสู่สวรรค์เป็นหนึ่งทั่วจักรวาลพร่างดาวไปแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ ใครเล่าจะกล้าล้างแค้น?
มันไม่ต่างจากพาตนไปตาย!
ซูอี้รู้ดีที่สุดว่าทายาทของศัตรูเหล่านั้นได้หายลับในโลกาไปก่อนมีจังหวะล้างแค้นเสียอีก
เหมือนเช่นตระกูลอวิ๋นโบราณนี้ หลังจากประสบกับหายนะใหญ่หลวงเช่นวันนี้ ความเสียหายก็บาดลึกเกินเยียวยา รากฐานการบ่มเพาะได้รับผลกระทบ!
ขณะนี้ ซูอี้ไม่จำเป็นต้องขยับกายกระทำการใด เดี๋ยวก็จะมีผู้ปาหินใส่คนตกบ่อน้ำ ฉวยโอกาสปล้นบ้านยามไฟไหม้เข้าโจมตีแบ่งอำนาจสมบัติตระกูลอวิ๋นกันเอง
ยามกำแพงสูงโอนเอน ทุกคนต่างรุดหน้าเข้าผลักซ้ำ
ถึงยามนั้น โรงดาบเทพลี้ลับก็อาจไม่ร่วมมือกับตระกูลอวิ๋นได้อีกแล้ว และหากมีโอกาส กลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นคงมิถืออันใดหากจะฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์!
ถึงยามนั้น ตระกูลอวิ๋นก็ต้องดูแลตนเอง แค่จะรั้งทรัพยากรในตระกูลไว้ยังเป็นปัญหา จะยังพูดเรื่องล้างแค้นได้หรือ?
ซูอี้เห็นเรื่องเช่นนี้มาแล้วหลายหน
ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าเรื่องเช่นล้างตระกูลนั้นพูดง่าย ทว่าอันที่จริงยุ่งยากอย่างยิ่ง
เส้นสายใหญ่โตเช่นนี้มีหรือจะมิแพร่ไปทั่วจักรวาลพร่างดาว?
กลุ่มกำลังทรงพลังใดบ้างอยู่ติดกับแดนปกครองนี้และรอให้มีผู้มากวาดสำนักล้างตระกูลอยู่ทุกวี่วัน?
ในอดีต มีเหตุผลเดียวที่ขุมกำลังใหญ่ล่มสลายนั่นคือผู้ทรงอำนาจเดิมถูกสังหาร เมื่อไม้ใหญ่ล้มครืน สัตว์น้อยใหญ่ก็แตกกระเจิง จนกระทั่งถูกขุมกำลังอื่นรวบอำนาจในที่สุด
หรือกล่าวให้กระชับก็คือ ตัวตนส่วนใหญ่ที่ประกาศจะถอนรากถอนโคนผู้อื่นนั้นล้วนมีเพียงลมปาก
สาเหตุที่ซูอี้ข่มขู่จะล้างตระกูลอวิ๋นโบราณจากโลกหล้าได้นั้น เป็นเพราะเขามีฝีมือและมุ่งมั่นทำลายตระกูลนี้ได้จริง ๆ!
เพราะรู้เช่นนี้ ท้ายที่สุดอวิ๋นฉางหงจึงเลือกยอมแพ้!
และนี่เองคือเหตุที่ทำให้ซูอี้มั่นใจ และไม่กลัวว่าจะมีผู้ใดมาล้างแค้น
วันนี้ในตระกูลอวิ๋น ยอดฝีมือเก่าแก่แทบทั้งหมดล้วนถูกประหารสิ้น ตัวตนทรงพลังแทบทั้งหมดในตระกูลปลิดปลิวไม่หลงเหลือ
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าปัญหาและหายนะที่ตระกูลอวิ๋นจะได้เผชิญต่อจากนี้ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าขณะนี้มากนัก!
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด บรรยากาศหดหู่เศร้าหมอง
เหล่าสมาชิกตระกูลอวิ๋นดูเศร้าสร้อย เดือดดาล ทว่าก็เงียบงัน
ซูอี้มิได้หยุดลงเท่านี้
เขาชี้ไปยังผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นผู้หนึ่งขณะกล่าว “ส่งคนไปเก็บสินสงครามเสีย แล้วก็นำสมบัติทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้ามาด้วยนะ”
เหล่าคนตระกูลอวิ๋นรู้สึกราวถูกสายฟ้าฟาดใส่!
ใครเล่าจะยังไม่รู้ว่าทัศนาจารย์กำลังจะล้างทุนรองรังเก่าตระกูลอวิ๋นของพวกเขา?
เหล่าพยานที่อยู่ไกล ๆ อดอ้าปากมิได้
เมื่อคิดดูแล้ว ตระกูลอวิ๋นนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ภูมิหลังย้อนได้จนถึงโบราณกาล จึงถือตนเป็นทายาทเซียนอันลึกล้ำเหนือคาดหยั่งอยู่บ่อยครั้ง!
หากวันนี้ทัศนาจารย์ล้างทุนรองรังเก่าตระกูลอวิ๋นของพวกเขาจริง ๆ สถานการณ์ของตระกูลซึ่งแย่อยู่แล้วก็จะยิ่งดิ่งลงเหว!
“ข้าจะรออีกเสี้ยวชั่วยาม”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
หนึ่งวาจานั้นเป็นดั่งยันต์สะกดคนตระกูลอวิ๋นทั้งหลายให้นิ่งงัน แม้หัวใจจะอัดแน่นไปด้วยโทสะ ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงอดทนและเริ่มแยกย้าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ แขกเหรื่อมากมายซึ่งมองจากไกล ๆ ก็อดเวทนาตระกูลอวิ๋นมิได้
ช่างน่าเวทนา!
แดนบรรพชนถูกเหยียบย่ำจมดิน และสุดท้ายก็ยังถูกปล้นบ้านราบคาบ ใครเล่าจะมิเวทนา?
ไม่ต้องคิดเลยว่ายามเรื่องนี้แพร่งพราย มันจะเป็นการเขย่าภูขู่พยัคฆ์ ทำให้ขุมกำลังใหญ่ในโลกหล้าสะท้านสะเทือน
ในภายหน้าเมื่อมีตระกูลอวิ๋นโบราณเป็นบทเรียน ใครเล่าจะกล้างัดข้อกับทัศนาจารย์อีก!
…
ไกลออกไปภายใต้ท้องนภา
หร่วนไฉ่จือกำลังหนีหัวซุกหัวซุน
ร่างของนางเปรียบดั่งประกายแสงวูบไหว ทะยานแต่ละหนห่างกันหลายพันลี้
“คนแซ่ซูนั่น! เจ้ากล้าฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดเว่ยฉางฝู่ ทำลายสมบัติเซียนดาบจื่ออิ่งของสำนักข้า รอรับการคิดบัญชีในภายหลังได้เลย!”
คู่เนตรงามของหร่วนไฉ่จือเต็มไปด้วยความคับแค้น
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้นางผู้เป็นตัวตนขอบเขตจุติมงคลถูกยั่วยุโทสะจนความแค้นสุมทรวงแน่นไปหมด
“หลังจากข้ากลับไปหนนี้ ข้าจะรายงานต่อท่านบรรพชน คนแซ่ซูผู้นี้… ปล่อยไว้มิได้เด็ดขาด!”
เมื่อหร่วนไฉ่จือคิดถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงอันตราย ก่อนที่ร่างของนางจะเอี้ยวหลบไปด้านข้าง
ตู้ม!
ตรงจุดที่นางยืนอยู่เดิม มีดขว้างสีม่วงซึ่งเจิดจ้าด้วยแสงปีศาจเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ก่อนที่มันจะป่นทำลายทั่วอาณาเขตรอบข้าง
แผ่นหลังของหร่วนไฉ่จือหนาววาบและหันขวับไปมองทันใด
และนางก็พบว่าไกลออกไป ชายชราผู้หนึ่งในอาภรณ์กรุยกราย บรรยากาศเยี่ยงเทพเซียนได้ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้านั่นเอง!”
หร่วนไฉ่จือกล่าวอย่างเดือดดาล “อันใดกันนี่ เจ้าจอมปีศาจคว่ำบรรพตคิดเป็นศัตรูกับโรงดาบเทพลี้ลับของข้าหรือ?”
หลีจงรำพึงเบา ๆ “ยามก่อนที่ตระกูลอวิ๋น ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้แนะนำให้รอมชอมกันแล้ว แต่สหายเต๋าหาฟังไม่ บอกว่าแม้ตาเฒ่าผู้นี้จะมีเซียนม่อชิงโฉวหนุนหลัง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าพัวพันกับเรื่องในโรงดาบเทพลี้ลับของเจ้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวกับหร่วนไฉ่จือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ยามนี้ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้อยากลองดูสักหน่อย”
หัวใจของหร่วนไฉ่จือดิ่งวูบถึงตาตุ่ม “สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะโทสะบังตา หากกระทำการล่วงเกินใดไป หวังว่าสหายเต๋าจะอภัยให้ด้วย ภายหน้าข้าสัญญาจะชดใช้ให้แน่นอน!”
นางบาดเจ็บจากศึกก่อนหน้านี้ และเฒ่าหลีจงผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในเก้าจอมปีศาจโบราณ ซึ่งห่างไกลเกินกว่าที่ตัวตนทั่วไปในขอบเขตจุติมงคลจะเทียบชั้น
อย่าว่าแต่ตอนที่นางได้รับบาดเจ็บเลย แม้นางจะอยู่ในสภาพพร้อมสู้ก็อาจจะมิใช่คู่ต่อกรของหลีจงด้วยซ้ำไป!
ทว่าหลีจงกลับแย้มยิ้มและกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็นับได้ว่าเป็นการชดใช้ให้ตาเฒ่าผู้นี้แล้ว”
เขากล่าวพลางก้าวไปบนเวหา พลังปราณผนึกหร่วนไฉ่จือไว้อย่างแน่นหนา
หร่วนไฉ่จือชักดาบวิถีออกมา ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ไยเจ้าหลีจงต้องทำเช่นนี้ มิกลัวถูกโรงดาบเทพลี้ลับของข้าคิดบัญชีหรือไร?”
หลีจงกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าต้องการโอกาสสานสัมพันธ์อันดีกับสหายเต๋าซู เทียบกับโอกาสนี้ การถูกโรงดาบเทพลี้ลับของเจ้ามองเป็นศัตรูจะเป็นอันใดไป?”
หัวใจของหร่วนไฉ่จือร่วงสู่หุบเหว นางตระหนักอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าไอ้แก่ผู้นี้อยากนำชีวิตนางไปแลกกับโอกาสปลดคำสาปของตน!
“เวลามีไม่มาก หวังว่าสหายเต๋าจะสงเคราะห์ข้าด้วย”
ทันทีที่วาจานุ่มนวลของหลีจงกล่าวขึ้น เขาก็ลงมือทันที
วูบ!
มีดขว้างสีม่วงแหวกอากาศเข้าฟาดฟันหร่วนไฉ่จือ ดุร้ายทรงพลังยิ่ง
หร่วนไฉ่จือมิอาจอยู่เฉย และสั่งให้ดาบวิถีโรมรันสุดกำลัง
ทว่านางไม่เพียงมีความแข็งแกร่งด้อยกว่าอีกฝ่าย ซ้ำยังบาดเจ็บอยู่อีกด้วย ในเวลาไม่กี่อึดใจ นางจึงถูกสะบั้นคอด้วยมีดของหลีจง
หลีจงถือศีรษะของหร่วนไฉ่จือแล้วผ่อนหายใจยาว ขณะกล่าวอย่างเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หัวเจ้ามีน้ำหนักน้อยนิด ไม่อาจทราบได้ว่าจะใช้สานสัมพันธ์กับสหายเต๋าซูได้หรือไม่”
“แต่ก็ยังดีกว่าคว้าน้ำเหลว อย่างน้อย… สหายเต๋าซูก็ยังได้เข้าใจถึงความจริงใจของข้าเท่านั้นก็พอแล้ว”
เสียงยังมิทันเลือนหายและจอมปีศาจผู้ดูราวเทพเซียนผู้นี้ก็เคลื่อนกายไปบนอากาศ พลิ้วกายกลับไปทางภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง
ไม่มีผู้ใดทราบว่าหลังจากศึกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองในวันนี้ หลีจงหมายมาดถึงสิ่งหนึ่งยิ่งกว่าเก่า นั่นคือทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับซูอี้
ชายหนุ่มผู้นี้อันตรายยิ่งยวด!
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่า ต่อให้ม่อชิงโฉวสั่งให้เขาเป็นอริกับซูอี้ยามนี้ เขาก็อาจจะมิคล้อยตาม
ขณะเดียวกัน ณ เขตปกครองตระกูลอวิ๋นบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง
ซูอี้กำลังตรวจสอบม้วนหยกสองม้วนซึ่งได้มาจากอวิ๋นฉางหง