บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1368: เบาะแส!
ตอนที่ 1368: เบาะแส!
………………..
ตอนที่ 1368: เบาะแส!
ในม้วนหยกม้วนแรกมีเคล็ดวิชาปลด ‘ตรวนผนึกเทพ’ บรรจุอยู่
ทันทีที่ซูอี้ตระหนักเช่นนั้น หัวใจของเขาก็แจ่มแจ้ง
อวิ๋นฉางหงมิได้โกหกเขาจริง ๆ หากใช้อำนาจภายนอกมาทำลายตรวนผนึกเทพบนร่างเฒ่าเว่ย ร่างและจิตวิญญาณของเฒ่าเว่ยจะเสียหายถึงตาย
และด้วยเคล็ดวิชานี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้
ในม้วนหยกชิ้นที่สองบันทึกเบาะแสสามอย่างในการตามหาช่างเสื้อเอาไว้
หนึ่งคือเบาะแสเดียวกันกับของหลวงจีนคงจ้าว นั่นคือให้ไปหาเถ้าแก่หลังฉากของหอสี่สมุทร ‘อารักษ์บัญชี’!
ส่วนสองเบาะแสที่เหลือได้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจยิ่ง
หนึ่งเบาะแสชี้ไปยังตัวตนบรรพกาลรุ่นลายครามผู้หนึ่ง ‘เหวินยง’ จากตระกูลเหวินโบราณอารักษ์วิถี!
จากข้อมูลของอวิ๋นฉางหง ยามเผยแพร่จำนงของช่างเสื้อต่อโลกภายนอก เหวินยงจะเป็นผู้กระจายข้อความแก่ขุมกำลังต่าง ๆ ที่ช่างเสื้อควบคุมอยู่เอง
หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ เหวินยงคือกระบอกเสียงสู่โลกหล้าของช่างเสื้อ!
เหมือนเช่นเมื่อกาลก่อน ตำแหน่งและการกระทำของซูอี้ได้กลายเป็นจุดสนใจแห่งโลกา ปั่นป่วนทั่วจักรวาลพร่างดาว แม้ว่าช่างเสื้อจะลอบสุมไฟกระพือควันอยู่หลังฉาก แต่ผู้ที่ลงมือแพร่งพรายข่าวจริง ๆ แล้วคือเหวินยง!
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วมิได้
ศึกที่สันเขาอีกานั้นเป็นแผนของช่างเสื้อและเซียนเสวี่ยหลิว และขณะนั้น ยอดฝีมือของเผ่าภูตหลวนครามก็มีส่วนพัวพัน
ศึกที่แท่นนภาม่วงเป็นการร้อยเรียงด้วยมือช่างเสื้อ และในหมู่ขุมกำลังหลักซึ่งเข้าร่วมสงคราม มีสามตระกูลใหญ่ได้แก่ตระกูลซูเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ ตระกูลโจวและตระกูลจง
และวันนี้ รากแก่นของศึกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองก็เป็นเพราะเมื่อกาลก่อน ตระกูลอวิ๋นโบราณและช่างเสื้อร่วมมือกันทำลายแดนลับพร่างจินดา ทั้งยังจับเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงเป็นตัวประกัน
ยามนี้ เมื่อมีตระกูลเหวินโบราณเข้ามาผสมโรง ก็สรุปได้ว่าหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีแห่งโลกหล้านี้ล้วนร่วมมือกับช่างเสื้อ ไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือที่แจ้ง!
แน่นอนว่านี่ก็อาจเป็นเพราะอำนาจของช่างเสื้อแทรกซึมเข้าไปทั่วหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีแล้วเช่นกัน!
เบาะแสที่สามเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มมือสังหารที่มีชื่อว่า ‘สวรรค์ปรีดา’
ช่างเสื้อเป็นผู้ก่อตั้งขุมกำลังนี้ขึ้นเอง และตลอดสามหมื่นปีผ่านมาพวกมันก็สร้างเรื่องอื้อฉาวมาตลอด สังหารตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิมามากมาย
ผู้นำสวรรค์ปรีดาซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘มือมีดสะบั้นอาวรณ์’ มีที่มาลึกลับและอำนาจยิ่งใหญ่
จากข้อมูลของอวิ๋นฉางหง มือมีดสะบั้นอาวรณ์ที่ว่านี้มีความสัมพันธ์เกินธรรมดากับช่างเสื้อ และเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นศิษย์รักผู้ใกล้ชิดของช่างเสื้อ!
นอกจากนั้นอวิ๋นฉางหงยังอธิบายไว้ว่ารังของกลุ่มมือสังหารสวรรค์ปรีดานั้นอยู่ในแคว้นหมิงแห่งภูมิดาราเทพนคร
สำหรับผู้อื่นอาจค้นหาได้ยาก
ทว่าอวิ๋นฉางหงได้ทิ้งตราผนึกชิ้นหนึ่งไว้ในม้วนหยก บอกว่านี่คือตราผนึกปลีกวิเวกของสวรรค์ปรีดา ขอเพียงเข้าไปในแคว้นหมิงและฉาบปราณของตราผนึกนี้บนร่าง ไม่นานนัก คนจากสวรรค์ปรีดาจะรี่เข้ามาหาถึงที่เอง
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายมากนัก
ด้วยนิสัยและฝีมือของช่างเสื้อ ศึกที่แท่นนภาม่วงน่าจะทำให้เขาเป็นกังวลยิ่ง
หากให้ช่างเสื้อรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลอวิ๋นโบราณอีก ไอ้แก่นี่คงระวังตัวแจแน่
หาไม่ เขาจะสะบั้นการติดต่อทั้งหมดกับโลกภายนอกและหนีไปซ่อนยังที่ไร้ผู้หยั่งถึง
ทว่าซูอี้รู้ดีว่าที่ช่างเสื้อกระทำการอย่างไร้ร่องรอยได้ นั่นก็เป็นเพราะ ‘ดวงตา’ และ ‘เส้นหนวด’ ของเขาหยั่งถึงทั่วจักรวาลพร่างดาว
ขอเพียงจิ้ม ‘ดวงตา’ สะบั้น ‘เส้นหนวด’ เหล่านั้นได้ เขาจะสูญเสียความเข้าใจและการควบคุมในโลกภายนอกไปทันที
เว้นแต่อีกฝ่ายจะซ่อนตัวในความมืดมิออกมาตลอดกาล ขอเพียงอยากเข้าใจโลกภายนอก เขาก็ต้องมีจุดติดต่อกับผู้คนภายนอกด้วย!
หากต้องการล้างบางช่างเสื้อ เขาก็ต้องเริ่มที่นี่!
“สหายเต๋าซู”
บนอากาศเกิดหนึ่งลำแสงวูบวาบ และหลีจงก็ปรากฏกายขึ้น เขาเข้ามาคำนับพร้อมด้วยรอยยิ้ม
โดยไม่รีรอให้ซูอี้ถาม เขาได้ส่งกระแสปราณเข้ามาหาแล้ว “ก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าผู้นี้หุนหันพลันแล่นและถือวิสาสะไปบั่นหัวหร่วนไฉ่จือจากโรงดาบเทพลี้ลับมา หวังว่าสหายเต๋าซูจะมิถือสา”
เห็นได้ชัดว่าเขามาเพื่อสานสัมพันธ์อันดี ทว่าก็ยังขออภัยอย่างละอาย
ซูอี้เหลือบตามองและต้องยอมรับในใจว่าวิธีสร้างบุญคุณของหลีจงนั้นเกินธรรมดา อย่างน้อยก็มิทำให้เขารู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด
“ขอบคุณมาก”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
หัวใจของหลีจงแสนลิงโลด ทว่าใบหน้ากลับทำเพียงแย้มยิ้ม “ขอเพียงไม่ได้กระทำการร้ายต่อสหายเต๋า ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ก็โล่งใจแล้ว”
ขณะนี้เอง คนตระกูลอวิ๋นทั้งหลายก็กลับมาส่งสมบัติและสัมภาระรวมทั้งหมดสิบหกชิ้นเต็ม ๆ
“นี่คือสินสงครามที่ใต้เท้าทัศนาจารย์ต้องการ เชิญดูเถิด”
ชายชราก้มหน้าก้มตาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
หลีจงเหลือบตามองและตระหนักถึงโอกาสทันที จึงชิงถามขึ้นก่อน “สหายเต๋าซู หากไม่ถืออันใด ให้ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ช่วยเจ้านับสินสงครามดีหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ถือสา “งั้นก็รบกวนแล้ว”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากตนปฏิเสธ หลีจงจะคิดมาก ทว่าหากให้หลีจงทำเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักว่าตนมิคิดปฏิเสธ ‘เจตนาดี’ ของเขา
จริงเช่นนั้น ใบหน้าของหลีจงดูเริงร่าและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ฮ่า ๆ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ไม่ยุ่งยากอันใดเลย”
และเขาก็เริ่มนับสินสงคราม
จนเมื่อนับเสร็จ หลีจงก็อดกล่าวอย่างอึ้ง ๆ มิได้ “ตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้านี่รวบรวมสมบัติดี ๆ มาได้เยอะเลยนะนี่!”
สมบัติสัมภาระทั้งสิบหกชิ้นมีขนาดความจุราวตำหนักหลังหนึ่ง และยามนี้พวกมันล้วนอัดแน่นด้วยสมบัติ!
เพียงสมบัติที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจุติสรวงสักชิ้นก็มีมูลค่าสะเทือนเวหา มีทั้งโอสถวิญญาณ วัตถุดิบเลิศล้ำ อาวุธวิเศษและทรัพยากรฝึกตนต่าง ๆ
พวกมันทั้งหมดล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่า!
อันที่จริง ในฐานะหนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถีผู้สูงส่งแห่งโลกหล้า สมบัติในกรุของตระกูลอวิ๋นนี้ก็ถือได้ว่าไม่ธรรมดา
เพียงหยิบมาสุ่ม ๆ ก็สามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิในโลกหล้าน้ำลายหกได้!
หลีจงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลจากโบราณกาล เขาจึงมิตกใจไปกับมัน
สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงคือในสินสงครามเหล่านี้มีสมบัติขอบเขตจุติสรวงปนอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีสมบัติล้ำค่าหายากบางส่วนอยู่ด้วย!
โดยเฉพาะวัตถุดิบเลิศล้ำและโอสถทิพย์บางส่วนเป็นสมบัติหายากอันเป็นที่ต้องการในขอบเขตจุติมงคล ทำให้หัวใจของหลีจงไหวหวั่น
‘ยี่สิบปีมานี้ อำนาจตระกูลอวิ๋นล้างซากโบราณมามากมาย’
หลีจงคิดในใจ
จุดเริ่มต้นของเหตุพลิกผันใหญ่โตในโลกหล้าคือเมื่อยี่สิบปีก่อน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในฐานะตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ตระกูลอวิ๋นได้พบซากโบราณมากมายและสั่งสมสมบัติจุติสรวงมานับไม่ถ้วนระหว่างยี่สิบปีนี้!
ไม่ใช่การกล่าวเกินไปถ้าจะบอกว่าหากเป็นสมัยโบราณ เพียงมูลค่าของสมบัตินี้ก็เพียงพอให้ตัวตนขอบเขตจุติมงคลเข้าประชัน เกิดพายุละเลงเลือดกันได้!
หลีจงส่ายหน้าทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน ลงมือสืบวิญญาณชายชราจากตระกูลอวิ๋นทันที
ครู่ต่อมา หลีจงก็ดึงจิตหยั่งรู้กลับมาและกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋า คนตระกูลอวิ๋นเหล่านี้หาหมกเม็ดไม่ สิ่งของในสมบัติทั้งสิบหกชิ้นนี้คือสมบัติทั้งหมดในตระกูลอวิ๋นจริง ๆ”
เขาว่าพลางส่งสมบัติสัมภาระทั้งหลายให้
ซูอี้รับสมบัติมาและกล่าวว่า “ขอบคุณ”
หลีจงโบกมือ “สหายเต๋าช่างสุภาพนัก เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เหตุใดต้องมากพิธี?”
เหล่าสมาชิกตระกูลอวิ๋นมองเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยหัวใจที่ขมขื่นมากขึ้นทุกขณะ
“อย่าขัดขืนนะ”
ทันใดนั้นซูอี้ก็แบมือออก อำนาจเคล็ดพลังวัฏสงสารวูบไหวบนฝ่ามือ ก่อนจะกดลงบนไหล่ของหลีจง
หลีจงตกใจจนตัวแข็งทื่อ เขาเกือบโจมตีโต้ตอบเสียแล้ว
ทว่าทันใดนั้น เขาก็ตระหนักว่าอำนาจคำสาปซึ่งรุมเร้าในร่างตนตลอดมาถูกฝ่ามือของซูอี้คว้าไว้ทันควัน!
เปรี้ยง!
ปราณคำสาปสีเทาอันมีอำนาจประหลาดแหลกสลายไปในมือของซูอี้ราวอสรพิษถูกสังหาร ณ จุดตาย
หลีจงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่สีหน้ายินดีจะปรากฏขึ้น เขาคำนับอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสำหรับบุญคุณสร้างชีวิตใหม่!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้เป็นหนึ่งในเก้าจอมปีศาจผู้นี้กำลังสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
ไม่น่าแปลกที่เขาระริกระรี้ได้เพียงนี้
การทำลายคำสาปบนร่างนั้นเปรียบดั่งได้ชีวิตใหม่ เขาจะสามารถฟื้นร่างวิถีฝึกฝนใหม่ ไม่ต้องถูกอำนาจคำสาปพันธนาการ มิต่างจากการเวียนวัฏฝึกฝนใหม่!
“มิต้องขอบคุณกันหรอก”
ซูอี้ว่า “หากทำได้ ข้าหวังให้เจ้าช่วยข้าถ่ายทอดวาจาสู่ขุมกำลังโบราณทั่วโลกหล้านี้ให้หน่อย”
หัวใจของหลีจงเต้นระรัว เขาพยายามสงบใจตนลงขณะกล่าวเสียงลุ่มลึก “สหายเต๋าโปรดสั่งการมาเถิด”
ซูอี้กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าคิดจะจัดการกับช่างเสื้อ แต่ยังหาที่ซ่อนของไอ้แก่นี่มิพบ หากมีผู้ใดมอบเบาะแสอันมีค่ามา ข้าจะช่วยคนผู้นั้นปลดคำสาปบนร่างให้”
หลีจงฟังแล้วก็ตอบตกลงทันที “ได้! สหายเต๋าวางใจเถิด ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้รับประกันว่ากลุ่มเต๋าโบราณทั่วโลกหล้าจะได้รู้เรื่องนี้ในหนึ่งวัน!”
สิ่งใดจะสำคัญต่อผู้เหลือรอดจากยุคโบราณไปกว่าการปลดคำสาปบนร่างกันเล่า?
ไม่มี!
แม้จะเป็นผู้นำสำนักใหญ่หรือทายาทเซียน หากทำลายคำสาปบนร่างมิได้ก็ไร้หวังคืนสู่ชีวิตใหม่อย่างแท้จริงตลอดกาล!
ไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนใหม่เพื่อหวนคืนสู่วิถี ชี้ดาบเบิกประตูสวรรค์บรรลุเซียนเลย
หลีจงแน่ใจว่ายามเงื่อนไขของซูอี้แพร่ไปในหมู่กลุ่มเต๋าโบราณ พวกเขาจะกระตือรือร้นทำทุกสิ่งเพื่อสืบที่อยู่ของช่างเสื้อเฒ่านั่นแน่นอน!
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นจะมิได้รังเกียจซูอี้ เพราะสิ่งนี้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น
เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นตัวซูอี้เองหรือกลุ่มเต๋าโบราณต่างรู้แจ้งแก่ใจดี
เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงคำสาปบนร่างของเขายังมิถูกกำจัด การมีอยู่ของซูอี้ก็เหมือนดาบแขวนเหนือศีรษะวิญญาณอาสัญจากขุมกำลังโบราณเหล่านั้น!
ซูอี้หันหลังจากไปโดยมิโอ้เอ้
หลีจงเองก็รีบร้อนเริ่มลงมือ มิอยากพิรี้พิไรมากไปกว่านี้
“มารร้ายนั่น… ไปเสียที…”
ผู้หลงเหลือจากตระกูลอวิ๋นล้วนมีสีหน้าซับซ้อน ความรู้สึกในใจซับซ้อนวุ่นวาย
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองถล่มลงมาในที่สุด มันพังราบเป็นหน้ากลอง มองไปทางใดก็พบแต่ความเวิ้งว้าง
บนพื้นมีซากศพและโลหิตคณาญาติในตระกูลเกลื่อนไปหมด
ทั้งหมดนี้ทำให้เหล่าคนตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นแสนโศกสิ้นอาลัย
วันเดียวกันนั้น ข่าวศึกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองได้กระจายไปสู่โลกหล้า ปั่นป่วนฮือฮาสะท้านทั่วแดนดิน!
………………..