บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 137 องค์ชายรอง
ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
ในห้องส่วนตัวที่ชั้นหนึ่ง
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นนั่งตัวตรง หว่างคิ้วแฝงด้วยความเคารพ
ตรงข้ามกับนางคือความงามที่ไม่มีใครเทียบได้
หญิงสาวผมยาวขาวเหมือนหิมะ เสื้อคลุมยาวคลุมถึงข้อส้น สง่างามเหมือนสายธาร รูปลักษณ์หน้าตาเข้ารูปราวกับงานปั้นชั้นหนึ่งจากสวรรค์ แม้นจะอายุย่างเข้าสามสิบ แต่ผู้คนกลับเข้าใจผิดคิดว่ายี่สิบต้นได้โดยง่าย
ครั้งนั่งอยู่อย่างสบาย อารมณ์ภาษากายกลับเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง หยิ่งผยองราวกับฤดูเหมันต์ ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวและกริ่งเกรงในแวบแรก
จู้กู่ชิง!
หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสแห่งตำหนักเทียนหยวน
ปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั่วทั้งหกแคว้นแห่งต้าโจวไม่มีใครไม่รู้จักนามของนาง!
“ผู้พิทักษ์ทั้งสามแห่งพรรคมารหยิน คนหนึ่งคือนักพรตเสวี่ยเหิง เขามีรูปร่างผอมบาง อุปลักษณะนิสัยโหดเหี้ยม ระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตหลอมกำเนิด’ มีความชำนาญในการควบคุมผี และอัญเชิญวิญญาณชั่วร้าย ปราณวิญญาณของเขาแปลกประหลาดและลึกลับยิ่ง อีกทั้งยังสามารถแอบเข้าไปในจิตสำนึกของคู่ต่อสู้ได้โดยไร้สุ้มเสียง”
“อีกสองคนที่มาด้วยคือ ‘ป่วยไข้’ ฉู่ซื่อหลาง และ ‘ฮูหยินศพ’ หลิวเซียงหลาน ซึ่งทั้งคู่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ”
“ฉู่ซื่อหลางเชี่ยวชาญในการติดตาม ลอบสังหาร และหลบหนี”
“หลิวเซียงหลาน นางเก่งเรื่องการจัดวางค่ายกล ทั้งยังมีสันดานโฉดชั่วโหดเหี้ยมเป็นถึงที่สุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาชั่วช้าวิถีตัณหาของตน นางได้ปลิดชีพบุรุษไปแล้วมากมายยากจะนับ”
ถึงคราวเอ่ย จู้กู่ชิงได้เปิดเผยความลับแทบหมดสิ้น ก่อนเลื่อนสายตามองไปที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตรงข้าม เอ่ยออก “คราวนี้ข้ามาที่นี่เพื่อล่าสังหารสามคนนี้”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นอึ้งงันก่อนจะกล่าวออก “ทำไมมารร้ายเหล่านี้ถึงมาที่มหานครอวิ๋นเหออย่างกระทันหันกัน?”
จู้กู่ชิงส่ายหัว “หาได้ทราบไม่ ข้ารับผิดชอบเพียงการฆ่าพวกมันเท่านั้น พี่ชายของท่านบอกว่าท่านอาศัยอยู่ที่มหานครอวิ๋นเหอมาหลายสิบปี และมีเส้นสายข้อมูลไม่เป็นสองรองใคร ข้าหวังว่าท่านจะยินยอมมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตกตะลึงครู่หนึ่งและรีบกล่าวว่า “ขอปรมาจารย์อย่าได้กังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยท่าน”
พี่ชายของนางเป็นเพียงผู้อาวุโสลำดับห้าในตำหนักเทียนหยวน
ทว่าจู้กู่ชิงอยู่ในลำดับสามอย่างมั่นคง!
“ดี! ข้าหวังว่าจะรู้ที่อยู่ของคนสามคนนี้โดยเร็วที่สุด พรุ่งนี้ยามเดียวกันข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
จู้กู่ชิงกล่าวออก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกจากห้องที่หรูหรา
ท่วงท่างามสง่า ไร้ลังเล
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นรีบลุกขึ้นน้อมส่ง จนกระทั่งนางเห็นร่างที่งดงามหายไป นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความทุกข์ร้อน
กลับมาพรุ่งนี้เย็น?
เท่ากับมีแค่วันเดียวให้สืบข่าว!
“เมื่อวานนี้ มีคนกล่าวกันว่า ฉินเหวินเยวียน และลูกชายของเขาเสียชีวิตในลานฝึกฝนเตาหลอมขจีนอกเมือง ตอนนี้ผู้พิทักษ์สามคนของพรรคมารหยินสาขาแคว้นกุ่น และผู้อาวุโสจู้กู่ชิงแห่งตำหนักเทียนหยวน ต่างก็ปรากฏตัวขึ้นทีละคน วุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
ยามค่ำคืนคืบคลาน อารมณ์ของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นจึงยิ่งค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้นตามลำดับ
…
เรือนเงียบสุขสงบ
โคมสีแดงสดแขวนอยู่ใต้ชายคา ฉายแสงและเงาอันนุ่มนวลบนพื้น
แมลงทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ เงาต้นไม้หมุนวน
หวงเฉียนจวิน และเฝิงเสี่ยวหรานกำลังล้างจาน
หลังอาหารเย็น ซูอี้หยิบสุราหนึ่งไหและนั่งบนเก้าอี้หวายในศาลาเพื่อพักผ่อน
การกระทำนี้ เรียกได้ว่าผสมผสานระหว่างฝึกฝนและพักผ่อน ลงตัวทั้งเคลื่อนไหวและสงบนิ่ง
สภาวะนี้ ดีที่สุดหลังบ่มเพาะ
ยามใดพักผ่อนให้ปล่อยตัวเองว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
“ศิษย์น้องเฟิง ข้าอยู่ในเขตปกครองอวิ๋นเหอตลอดเวลาไม่ได้ แต่ก่อนข้าจะจากไป ข้าจะช่วยเจ้าและเสี่ยวหรานให้ปักหลักมั่นคง”
ซูอี้เทสุราหนึ่งแก้วให้ตัวเองและเฝิงเสี่ยวเฟิงคนละจอก
“ศิษย์น้องรู้”
เฝิงเสี่ยวเฟิงพยักหน้า “ศิษย์พี่ซู โปรดวางใจ ในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่ท่านต้องการ ข้าสามารถมอบชีวิตของข้าให้แก่ท่านได้โดยไม่มีใคร่ครวญ”
ซูอี้หัวเราะ “ข้าจะนำชีวิตเจ้ามาทำอะไร? ขอเพียงเจ้ากับเสี่ยวหรานสุขสบาย เพียงนั้น มันก็นับเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
เฝิงเสี่ยวเฟิงยิ้มและเอ่ยต่อ “ศิษย์พี่ซู ท่านจะออกจากเขตปกครองอวิ๋นเหอเมื่อไหร่ และท่านจะไปไหนหรือ?”
“บางทีข้าอาจจะพเนจรล่วงล้ำสถานที่อันตรายเพื่อฝึกฝน หรือบางทีข้าอาจจะไปที่ตำหนักเทียนหยวน” ซูอี้พูดอย่างเกียจคร้าน
การฝึกฝนของชายหนุ่มประสบกับปัญหาคอขวดเล็กน้อย และเขาก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายอย่าง ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ได้อย่างแท้จริง
ฝึกฝนหนักอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องใช้ ‘โอกาส’ เข้าช่วย
ทว่าวิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหาโอกาสแห่งการพัฒนาเมื่อฝึกฝน มีเส้นทางเดียวคือการต่อสู้เผชิญประสบการณ์เป็นตาย!
อาศัยสิ่งเร้าที่อันตรายสุดขีดในการต่อสู้ ประสบการณ์ที่ ‘น่าตื่นเต้น’ เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการปลดปล่อยศักยภาพของตนเอง
ด้วยประสบการณ์การฝึกฝนในชีวิตก่อนหน้า ซูอี้ชัดเจนมากว่าตั้งแต่เขาปลุกความทรงจำของชีวิตก่อน ต่อมาเส้นทางของการบ่มเพาะของตนราบรื่นเกินไป
ไม่ใช่ว่าเขาแข็งแกร่งเกินไป แต่คู่ต่อสู้ที่เขาพานพบนั้น… อ่อนแอเกินไป!!
การขาดคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมหมายถึงขาดสิ่งขัดเกลา และไร้สิ่งขัดเกลาก็หมายถึงการไม่อาจก้าวหน้า
“อย่าเพิ่งพูดถึงมันเลย ดื่มซะ” ซูอี้ยกจอกของเขาขึ้นและดื่มจนสิ้น
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอกลานบ้าน
“คุณชายซู ฉาจิ่นผู้ต่ำต้อยมาเยี่ยมเยือน หวังคุณชายเมตตาอย่าได้กล่าวปฏิเสธ”
สุ้มเสียงนุ่มนวลและลื่นไหล แทรกผ่านค่ำคืนเงียบสงัด ราวกับน้ำพุใต้แสงจันทรา ซึ่งทำให้ผู้คนสบายใจ
“ฉาจิ่น? คณิกาผู้งามเลิศพอจะล่มเมืองมาเยือนที่นี่งั้นหรือ?”
ดวงตาของหวงเฉียนจวินเป็นประกาย เขาโพล่งออกมา แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ใด
เนื่องจากมากประสบการณ์ในเรื่องแสวงหาความสุขทางนารี ทั้งยังเป็นบุรุษเจ้าสำราญแวะเวียนในซ่องโสเภณีมานานนับ ความทรงจำของหวงเฉียนจวิน หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวงดงาม สามารถพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด
“ตัวข้าผู้ต่ำต้อยหาได้เคยล่มเมืองใดไม่ และจะไม่เป็นเช่นนั้นแม้วันที่สิ้นลมหายใจ” เสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากนอกลานบ้าน
“ไปเปิดประตู”
ซูอี้สั่งขณะนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย โดยลืมไปว่าวันนี้ขณะเขาอยู่นอกคฤหาสน์ดื่มเหมันต์ เขาสัญญากับเหวินหลิงเสวี่ยว่าเขาจะไม่เปิดประตูให้ฉาจิ่น…
หวงเฉียนจวินไปเปิดประตู ดวงตาพลันสว่างเป็นประกายอีกครา
รับชมฉาจิ่นขณะนี้เปลี่ยนไป นางสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษสีขาวคล้ายจันทรา แต่ยังคงริมฝีปากสีแดงและฟันขาว คิ้วสวยและตาเป็นประกาย
ผมมันวาวถูกม้วนเป็นมวยผมเผยให้เห็นคอห่านที่เรียวยาวสีขาวราวหิมะ แม้แต่ในความมืดมิด ก็ยังเปล่งประกายฉายบรรยากาศที่สวยงามและในทุกยามเคลื่อนไหว
“ช่างงดงามเหลือทน!”
หวงเฉียนจวินพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยออกพลางส่งยิ้ม “แม่นางฉาจิ่น มาเยี่ยมยามค่ำคืนเช่นนี้เพื่อจุดประสงค์อะไร?”
เขาสังเกตเห็นว่าข้างหลังฉาจิ่น เป็นชายวัยกลางคนในชุดดำ
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีท่าทางเลอะเทอะ ไว้หนวดเคราและผมรุงรัง ฝักดาบยาวถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขน ดวงตาคล้ายเหม่อล่องลอย ดูเหมือนกำลังนึกคิดส่งใดโดยตลอด แต่ก็ดูเหมือนจะไร้สติในเวลาเดียวกัน
อย่างไรแล้ว แลเห็นชายวัยกลางคนกระชับดาบแน่นที่หน้าอกของเขา รูม่านตาของหวงเฉียนจวินพลันหดตัวลง ความหนาวเหน็บยากอธิบายก่อตัวในหัวใจ
ปรมาจารย์!
ต้องเป็นปรมาจารย์เป็นแน่!
“ผู้ต่ำต้อยนัดพบกับคุณชายซูเอาไว้คืนนี้”
ฉาจิ่นเผยยิ้มมุมริมฝีปากและเดินไปข้างหน้า
หวงเฉียนจวินทำได้เพียงหลบออกพ้นทาง
ชายวัยกลางคนเดินตามหลังฉาจิ่นไม่เว้นห่าง
หากพินิจสังเกต ระยะห่างของชายวัยกลางคนที่มีต่อฉาจิ่น ทุกครั้งก้าวห่างเท่ากันทุกประการ เช่นเดียวกับไม้บรรทัด
ซูอี้เพียงชำเลืองมองชายวัยกลางคนที่ถือดาบ จากนั้นจึงถอนสายตาและพูดอย่างเป็นกันเองว่า “ศิษย์น้องเฟิง พาเสี่ยวหรานกลับไปที่ห้องก่อน”
เฝิงเสี่ยวเฟิงลุกขึ้นและจากไปพร้อมกับเฝิงเสี่ยวหราน
ฉาจิ่นเดินล่วงล้ำเข้าศาลาอย่างผ่อนคลาย และกล่าวด้วยคิ้วที่โอนอ่อน “ผู้ต่ำต้อยขอรบกวนคุณชายซูแล้ว”
“นั่ง”
ซูอี้ยังคงนอนบนเก้าอี้หวายไม่ขยับเคลื่อนแม้เพียงนิ้ว
ท่าทางที่เฉยเมยและหยาบคายที่เผยออกทำให้ชายวัยกลางคนถือดาบขมวดคิ้วมุ่น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่หน้าเสาหินข้างศาลา เงียบเชียบประหนึ่งเป็นเสาอีกต้น
หวงเฉียนจวินรินชาสองถ้วยแล้วเดินเข้าหาด้วยรอยยิ้ม “แม่นางฉาจิ่น ชาอยู่ตรงนี้”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะส่งชาอีกถ้วยให้กับชายวัยกลางคน ฉาจิ่นกลับหยุดอีกฝ่าย ปากเอ่ยออก “นายน้อยอย่าได้ลำบาก ลุงเซียงของข้าหาได้ชมชอบชาประเภทใดไม่”
หวงเฉียนจวินพ่นลมหายใจและใช้โอกาสนี้ถาม “ลุงเซียงคนนี้เป็นผู้คุ้มกันของแม่นางฉาจิ่นหรือ?”
นี่คือการช่วยซูอี้ไถ่ถามรายละเอียดของชายวัยกลางคนที่ถือดาบ
ฉาจิ่นยิ้มและพูดว่า “ถูกต้อง”
“หมดธุระเจ้าแล้ว”
ซูอี้โบกมือ หวงเฉียนจวินจึงหันกลับเดินออกไปอย่างรู้ความ
หลังจากนั้น ซูอี้พลันนิ่งเงียบ นอนบนเก้าอี้หวาย สายตาทอดมองหมู่เมฆขาวละเอียดบนท้องฟ้า
ฉาจิ่นยิ้มและริเริ่มเอ่ย “คุณชายซูไม่อยากรู้ว่าผู้ต่ำต้อยนี้มาที่นี่เพื่อพูดถึงสิ่งใดหรือ?”
ซูอี้พูดอย่างเป็นกันเอง “หากเป็นเรื่องชอบพอระหว่างหนุ่มสาว การร่วมร่ำสุราและปล่อยจิตคล้อยไปตามอารมณ์จะดีที่สุด”
ฉาจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงปลดผ้าไหมสีฟ้าที่บดบังหน้า โน้มตัวลงเล็กน้อย ยื่นมือที่เรียบเนียนและขาวดั่งหยกออก รินเทสุราหนึ่งจอกให้ซูอี้ด้วยตัวนาง
กลิ่นหอมสดชื่นของร่างกายผสมกับกลิ่นหอมของสุราลอยโชยเตะจมูกของซูอี้
หญิงงามเลิศโน้มตัวลงเพื่อเทสุราด้วยตัวเอง ระยะใกล้จนแทบหายใจรด ภาพงามเหมือนกล้วยไม้ฟ้า หากหวงเฉียนจวินอยู่ที่นี่ ไม่แคล้วคงไม่สามารถระงับอารมณ์ตนเองได้
ซูอี้มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูด ดวงตาของเขาแจ่มใส จิตใจกระจ่างแจ้งไร้ซึ่งความปรารถนาเยี่ยงปุถุชน
ท่าทางและพฤติกรรมของฉาจิ่นเป็นธรรมชาติราวกับนี่คือตัวตนอันแท้จริง นางนั่งตัวตรง ริมฝีปากสีแดงของนางแยกออกเล็กน้อย จากนั้นเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน “ระหว่างร่ำสุรา หากผู้ต่ำต้อยจะเอื้อนเอ่ยบางประการ หวังว่าคุณชายคงไม่ขุ่นเคืองนะเจ้าคะ?”
“แม้จะไม่อยากฟัง แต่เจ้าก็คงจะเอ่ย”
ซูอี้ถอนหายใจเบาพลางหยิบจอกสุราขึ้นแล้วดื่ม “ว่ามา”
ฉาจิ่นกระซิบ “ไม่คิดปิดบังคุณชาย ฉาจิ่นผู้ต่ำต้อยนี้ แท้จริงเป็นคนขององค์ชายรอง อาจเป็นเพราะคุณชายได้เห็นเบาะแสบางอย่างแล้ว จึงได้เอ่ยเตือนองค์ชายหกว่าอย่ายุ่งกับฉาจิ่น…”
พูดจบ นางก็กัดริมฝีปากเบา ๆ ปรากฏร่องรอยความขุ่นเคืองในดวงตาสวยใส “เดิมที ผู้ต่ำต้อยแน่ใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากองค์ชายหก แต่ไม่คาดคิดว่าเพราะเหตุการณ์นั้น ความพยายามที่มีมาจึงหายไปหมดสิ้น”
ซูอี้เลิกคิ้วพลางเผยรอยยิ้มเย้ย “คืนนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อชำระบัญชีกับข้างั้นหรือ?”
เขาเตือนโจวจือหลีให้ระวังฉาจิ่น แต่เขาไม่เคยคิดว่าฉาจิ่นจะสังเกตเห็น
“หากเป็นก่อนหน้า ผู้ต่ำต้อยมีความอยากที่จะสังหารจริง”
ฉาจิ่นพูดอย่างจริงจัง แต่แล้วนางก็หัวเราะออกมา “แต่ขณะนี้ ผู้ต่ำต้อยเข้าใจถึงขีดจำกัดของตน พึงทราบอย่างแจ่มแจ้ง ว่าตนเองไม่อาจเทียบเปรียบได้กับคุณชาย”
ซูอี้พูดอย่างประชดประชัน “รู้เช่นนั้นก็ดี”
ฉาจิ่น “…”
นางสงบลงและพูดเบา ๆ ว่า “ทว่า สาเหตุที่ผู้ต่ำต้อยมาเยี่ยมเยือนค่ำนี้เป็นเพราะมีเรื่องดีจะบอกกล่าวต่อคุณชาย”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ “เรื่องดีของเจ้าให้ข้าเดา คงไม่พ้นเรื่องขอให้ข้าติดตามองค์ชายรองของเจ้าเป็นแน่ ทีนี้รับฟังข้าให้ดี ข้าแนะนำว่าอย่าได้เสียเวลา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะยิ่งทำให้ตัวเองอับอาย”
เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้างดงามของฉาจิ่นก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมตกตะลึง นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ทันระวัง นางไม่คิดว่าซูอี้จะมองทะลุจุดประสงค์ของนางได้เพียงชำเลืองมอง
นี่เป็นความเข้าใจที่คนอายุสิบเจ็ดสามารถมีได้จริงหรือ?