บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1370: องครักษ์เร้นเทพ
ตอนที่ 1370: องครักษ์เร้นเทพ
………………..
ตอนที่ 1370: องครักษ์เร้นเทพ
วันเดียวกันนั้น กลุ่มอำนาจภายใต้ม่อชิงโฉวก็แพร่ข่าวออกไป
กลุ่มเต๋าโบราณซึ่งกระจายกำลังทั่วโลกหล้าเป็นพวกแรกที่ได้ข่าว และอดอื้ออึงโกลาหลกันภายในมิได้
ยามสิ้นศึกวัดสรรพสุญตา ซูอี้รับปากว่าผู้ใดสังหารขุมกำลังภายใต้ช่างเสื้อได้ เขาจะช่วยคนผู้นั้นลบล้างคำสาปในร่าง
ทว่ายามนั้น กลุ่มเต๋าสูงสุดส่วนใหญ่นั้นแสนเดียจฉันท์ ไม่อาจถูกซูอี้ยืมมือ คิดว่าจับตัวซูอี้เสียก็สิ้นปัญหา
จนภายหลัง ด้วยศึกแท่นนภาม่วง กลุ่มเต๋าโบราณทั่วโลกหล้าจึงได้ตระหนักลึกซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของซูอี้ และมิกล้ากระทำการใดหุนหันพลันแล่น
กลุ่มเต๋าโบราณบางแห่งกระทั่งนึกเสียใจที่มิได้ร่วมมือกับซูอี้ตั้งแต่แรก
และยามนี้ โอกาสนี้ก็ลอยมา!
ยิ่งกว่านั้น กระทั่งทายาทเซียนผู้มีฐานะสูงส่งอย่างม่อชิงโฉวยังประกาศจุดยืนช่วยซูอี้หาที่อยู่ของช่างเสื้อ และไม่ลังเลจะยกสมบัติเซียนหนึ่งชิ้นออกมาเป็นรางวัล!
ใครเล่าจะไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้?
“ยามนี้ หลังศึกแท่นนภาม่วงและภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง เกียรติภูมิของทัศนาจารย์ผู้นี้ก็ทะยานสูงยิ่งกว่ายามใด และกระทั่งเรากลุ่มเต๋าโบราณยังต้องประเมินคนผู้นี้ใหม่ ไม่กล้ากระทำการสะเปะสะปะอีกแล้ว”
สำนักเต๋านครชาด
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งกล่าว “ในกาลเช่นนี้ หากกระชับสัมพันธ์กับทัศนาจารย์โดยการค้นหาช่างเสื้อได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว หลายผู้ก็กล่าวเห็นด้วย
พวกเขามิเคยมีความแค้นใด ๆ กับซูอี้ และหากใช้โอกาสนี้แสดงความปรารถนาดีจากสำนักพวกเขาได้ ภายหน้าพวกเขาก็จะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากซูอี้แน่นอน
“แต่หากเราหาช่างเสื้อไม่พบเล่า?”
บางผู้กล่าวอย่างงุนงง
“เจอหรือไม่นั่นอีกเรื่อง ขอเพียงหาด้วยใจ ข้าเชื่อว่าซูอี้จะเข้าใจความปรารถนาดีจากสำนักเต๋านครชาดของเรา”
ตัวตนบรรพกาลนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล “แม้ซูอี้ผู้นั้นจะมิคิดสนใจ แต่เราก็ไม่ได้เสียสิ่งใดเช่นกัน”
นอกจากสำนักเต๋านครชาด กลุ่มเต๋าโบราณหลายแห่งก็ยังคิดเช่นนี้ไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนไร้ความแค้นกับซูอี้ และเมื่อได้รู้เงื่อนไขของซูอี้ พวกเขาต่างตัดสินใจลองทำดู
ดังนั้น ณ วันเดียวกันนี้ สำนักเต๋านครชาดและกลุ่มเต๋าโบราณอื่น ๆ ต่างออกมาประกาศทัศนคติต่อโลกภายนอกว่าเต็มใจจะช่วยเหลือเรื่องนี้!
ส่วนกลุ่มเต๋าโบราณเช่นหอดาบเซียนมายา บรรพตมารธารปรภพ พรรคเซียนเร้นราตรีและสุขาวดีจรทักษิณนั้นหาสนใจเรื่องนี้ไม่
พวกเขามีความแค้นกับซูอี้ เสียหายยับเยินในศึกแท่นนภาม่วง เกลียดแค้นซูอี้ถึงกระดูก มีหรือจะช่วยซูอี้?
“ม่อชิงโฉว สตรีผู้นั้นบ้าหรือไร? ไม่เช่นนั้นไฉนจึงประกาศจุดยืนช่วยเหลือคนแซ่ซูผู้นั้น? ไม่รู้หรือไรว่าเรามีความแค้นกับคนแซ่ซู?!”
สีหน้าของฝูตงหลีดำทะมึน
เมื่อไม่นานนี้มีการจัดเทศกาลประชุมเซียนขึ้น ทายาทเซียนและกลุ่มเต๋าสูงสุดกลุ่มหนึ่งถูกเชิญเข้าร่วมเพื่อหารือการสะสางเรื่องของซูอี้เป็นการเฉพาะ
ยามนั้น ทายาทเซียนและกลุ่มเต๋าโบราณมากมายออกประกาศแล้วว่าภายในครึ่งปี หากซูอี้ไม่ก้มหัวจำนนจะถูกฆ่า
ทว่ายามนี้ ม่อชิงโฉวซึ่งเป็นผู้จัดเทศกาลประชุมเซียนขึ้นเกิดแปรพักตร์ ประกาศชัดเจนว่าจะช่วยซูอี้!
เรื่องนี้มีหรือจะมิทำให้ฝูตงหลีเดือดดาล?
“นายน้อยโปรดผ่อนโทสะลงเถิด ม่อชิงโฉวทำเช่นนี้ก็เพื่อหาโอกาสทำลายคำสาปบนร่างนางเท่านั้น”
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งกล่าว “ขุมกำลังโบราณผู้เลือกช่วยเหลือเหล่านั้นเองก็คงคิดเช่นนี้ ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนขอรับ”
“และนี่ไม่ได้หมายความว่าม่อชิงโฉวกับกลุ่มเต๋าเหล่านั้นตัดสินใจยืนข้างซูอี้ผู้นั้น”
“หากพวกเขากล้าทำเช่นนี้ ไม่เพียงเราจะออกมาต่อต้าน แต่วิญญาณอาสัญทั่วโลกหล้าจะมิเห็นด้วยแน่!”
เมื่อฟังจบ ฝูตงหลีก็พยักหน้า
จริงดังว่า ตราบใดที่ซูอี้ถือครองอำนาจวัฏสงสาร เขาก็จะยังถูกถือเป็นศัตรูร่วมของเหล่าวิญญาณอาสัญอยู่ดี!
ม่อชิงโฉวอาจจะเลือกแลกเปลี่ยนกับซูอี้ได้
แต่หากม่อชิงโฉวกล้าเลือกยืนข้างซูอี้จริง ๆ นางจะกลายเป็นปรปักษ์กับวิญญาณอาสัญทั้งมวลในโลกหล้าทันที และผลกระทบจากเหตุนั้นจะเป็นสิ่งที่ม่อชิงโฉวอาจมิสามารถรับไหว!
และสำหรับกลุ่มเต๋าโบราณอื่น ๆ ก็เช่นกัน!
……
แดนเร้นเทพ
หนึ่งสถานอันแทบไร้ผู้ใดในโลกหล้าล่วงรู้
และที่นี่ก็เป็นสถานที่เร้นกายที่ช่างเสื้อซุกไว้ให้ตนเองเช่นกัน
ช่างเสื้อกำลังดื่มชาอย่างสง่างาม
เขาตัดสินใจใช้ชีวิตวิเวกชั่วขณะ ทำเพียงเฝ้ามองความเป็นไปในหล้า รอโอกาสจัดการกับซูอี้ต่อไป
ในฐานะผู้บงการหลังฉาก ช่างเสื้อนั้นอดทนเยือกเย็นเสมอมา แม้จะใช้เวลานานเขาก็รอได้
ทว่าช่างเสื้อรู้ดียิ่งว่า ยิ่งฟ้าดินแปรเปลี่ยน เขายิ่งไม่ต้องรอนานนัก ซูอี้ผู้บรรลุอำนาจวัฏสงสารจะถูกคิดบัญชีอย่างแน่นอน!
“อำนาจในขอบเขตจุติมงคลลืมตาตื่นตาม ๆ กัน และกระทั่งวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังเริ่มฟื้นสติ ภายหน้าโลกนี้จะอลหม่านเยี่ยงวีรชนไล่กวาง และเจ้าทัศนาจารย์… ก็คือกวางตัวนั้น”
“แม้ข้าจะไม่ลงมือ เจ้าก็ตายแน่นอน”
ช่างเสื้อกล่าว
เขายกจอกชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ
“นายท่าน ข่าวเพิ่งปรากฏว่าเกิดเหตุพลิกผันใหญ่ขึ้นในโลกภายนอกขอรับ!”
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งปรี่มาหาด้วยใบหน้าดำคล้ำ
“เหตุอันใดหรือ?”
ช่างเสื้อถามอย่างหาใส่ใจไม่
บ่าวเฒ่ากล่าวรัวเร็ว “ตระกูลอวิ๋นโบราณพ่ายศึกที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง ทัศนาจารย์กวาดล้าง เลือดตระกูลอวิ๋นหลั่งเยี่ยงธารนที กระทั่งทุนรองรังของตระกูลยังถูกกวาดไปสิ้นขอรับ!”
ช่างเสื้อหรี่ตาลง พลันรู้สึกว่าชาในมือสิ้นรสชาติไป
“ข้าแน่ใจว่าตระกูลอวิ๋นต้องเกลียดข้าเข้ากระดูกเป็นแน่ คิดว่าข้าเป็นผู้แพร่งพรายเรื่องราวเมื่อกาลก่อน ทำให้ทัศนาจารย์มาฆ่าล้างตระกูลอวิ๋นของพวกเขา”
ช่างเสื้อนวดหน้าผาก จำบางอย่างขึ้นได้ “เราทิ้งเส้นสายไว้ในโลกภายนอกมากมายเพียงไร?”
บ่าวเฒ่ากล่าวเสียงต่ำ “เรียนนายท่าน ไม่นานนี้ จากคำสั่งท่าน บ่าวเฒ่าผู้นี้สะบั้นทุกการเชื่อมต่อภายนอก เหลือเพียงเส้นสายสามแห่งไว้รวบรวมข้อมูลข่าวสารขอรับ”
ช่างเสื้อกล่าวโดยไม่คิด “ไปสะบั้นเส้นสายทั้งสามนั้นเดี๋ยวนี้เลย!”
บ่าวเฒ่ากล่าวอย่างตกตะลึง “นายท่าน หากทำเช่นนั้น เราจะสิ้นการควบคุมต่อโลกภายนอก หากเกิดอันใดขึ้นกับเรา เราก็มีแต่ต้องตายตกไปอย่างเงียบ ๆ นะขอรับ…”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างเฉยเมย “จำไว้ว่าอย่าได้ประเมินทัศนาจารย์ต่ำไป พวกเจ้าเฒ่าในตระกูลอวิ๋นจะลากข้าลงปลักโคลนยามเผชิญหายนะใหญ่เช่นนี้แน่ ข้าสงสัยว่า… ทัศนาจารย์คงได้รู้ความลับบางอย่างของเราจากอวิ๋นฉางหงแล้ว!”
สีหน้าบ่าวเฒ่าพลันผันแปร สันหลังหนาวยะเยือก
“ยังไม่รีบไปอีกหรือ?”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว
บ่าวเฒ่ารีบร้อนกล่าว “นายท่าน ยังมีอีกเรื่องขอรับ”
กล่าวจบ เขาก็พูดเรื่องที่ซูอี้ตั้งเงื่อนไข ขอให้ม่อชิงโฉวและกลุ่มเต๋าโบราณกลุ่มหนึ่งหาที่อยู่ของช่างเสื้อ
เมื่อเขาได้รู้ว่าม่อชิงโฉวประกาศจุดยืนเสนอสมบัติเซียนเป็นรางวัลสำหรับเบาะแสเกี่ยวกับเขา ช่างเสื้อก็เปลี่ยนสีหน้า ตระหนักว่าปัญหานี้ร้ายแรงอย่างช่วยมิได้
เขาซ่อนตัวหลังฉากมองความเป็นไป แม้อยากลงมือกับซูอี้ในภายหน้า เขาก็ยังต้องติดต่อกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นอย่างไม่อาจช่วยเพื่อยืมมือสังหาร
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไปแล้ว
ซูอี้ตั้งเงื่อนไขยืมกำลังขุมกำลังโบราณเหล่านั้นมาจัดการกับเขา!
นี่ย่อมหมายความโดยไม่ต้องสงสัยว่าภายหน้า ขอเพียงเขากล้าติดต่อกับกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้น เขาก็อาจถูกคนเหล่านั้นทรยศได้ทันที!
“ตีงูต้องตีให้ตาย ฆ่าคนต้องสังหารหัวใจ เจ้าทัศนาจารย์ชิงลงมือ เล่นได้งดงามนัก”
ช่างเสื้อกล่าว
เสียงของเขาหดหู่เย็นชา
“เช่นนั้นข้าก็จะซ่อนตัวให้มิด ตัดทุกการติดต่อกับโลกภายนอก จนปีหน้าค่อยว่ากันว่าเจ้าทัศนาจารย์ยังอยู่หรือไม่!”
ช่างเสื้อตัดสินใจ
จากการคาดเดาของเขา ในหนึ่งปี วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะได้หวนคืนสู่โลกกว้างแน่นอน
และแม้ทัศนาจารย์ผู้ถือครองวัฏสงสารจะรอดถึงยามนั้น เขาก็จะถูกวิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านั้นทำลายอย่างมิอาจเลี่ยง!
“จริงสิ”
ทันใดนั้น ช่างเสื้อก็จำบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ชวีเหอ มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องทำด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินนายตนเรียกชื่อ บ่าวเฒ่าก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ อดกล่าวอย่างจริงจังด้วยหัวใจตื่นตระหนกมิได้ “ขอนายท่านสั่งมาเถิด”
“พาองครักษ์เร้นเทพสามคนไปยังภูมิดาราเทพนคร”
ช่างเสื้อสูดหายใจลึก ๆ และนำม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้ “รอจนเจ้าไปถึงภูมิดาราเทพนคร แล้วก็ให้กระทำตามคำสั่งในม้วนหยกนี้”
องครักษ์เร้นเทพ!
บ่าวเฒ่านามชวีเหออดอ้าปากพะงาบไม่ได้ “นายท่าน องครักษ์เร้นเทพเป็นไพ่ตายที่เราซุกซ่อนไว้แสนนาน ท่านเคยบอกนี่ขอรับว่าหากมิใช่เรื่องเสี่ยงตายจะไม่มีทางใช้ออกมา หรือจะบอกว่า…”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว กล่าวขัดอย่างเย็นชา “ชวีเหอ เจ้าพูดมากไปหน่อยแล้ว รีบไปเสีย”
ชวีเหอร่างสั่น ก่อนจะจากไปโดยมิกล้าลังเล
จนเมื่อร่างของชวีเหอลับตาไป ช่างเสื้อก็นั่งโดดเดี่ยวด้วยสีหน้ายากเข้าใจ
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็รำพึงเบา ๆ “หวังว่า… มันจะไม่ร้ายแรงเช่นที่ข้าคิด”
……
ยามค่ำคืน
เขตปกครองแคว้นหมิง ภูมิดาราเทพนคร
เมืองอันรุ่งเรืองสว่างไสวเมืองหนึ่ง
หลวงจีนในจีวรผ้าลินินผู้หนึ่งเดินเท้าเปล่า สวมชุดคลุมนั่งเงียบ ๆ อยู่ในร้านน้ำชา
ผู้เล่าเรื่องในร้านน้ำชากำลังเล่าเรียงวีรกรรมตำนานเกี่ยวกับทัศนาจารย์เมื่อนานมาแล้ว
หลวงจีนผู้นั้นฟังอย่างรื่นเริงใจ อาภรณ์ของเขาเจือปราณจากตราผนึกปลีกวิเวกรัดพันเงียบงัน
“ใต้เท้าของข้าออกคำสั่งนานแล้วว่าจะมิรับงาน ขอสหายกลับไปเถิด”
ชายชุดดำกล่าวเบา ๆ
หลวงจีนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้านุ่มนวล “หลวงจีนผู้นี้มาหาใต้เท้าของเจ้านั่นแหละ”
ชายชุดดำขมวดคิ้ว “เกิดสิ่งใดขึ้น?””
หลวงจีนประนมมือหากันขณะกล่าวเบา ๆ “มาบิณฑบาตน่ะ”
ชายชุดดำผงะไป คิ้วขมวดหากัน กล่าวอย่างขุ่นเคือง “บิณฑบาตบ้าบออันใด เจ้าถือใต้เท้าของข้าเป็นผู้ใจบุญหรือไร หรือมองข้าเป็นคนโง่เง่ากัน?”
ขณะกล่าว เขาก็ลุกขึ้นจากไป
หลวงจีนผู้นี้ประหลาดเกินไป เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ!
ชายชุดดำสัมผัสถึงความผิดปกติและตัดสินใจเผ่นหนีโดยไวที่สุด
ทันทีที่เขาก้าวออกจากร้านน้ำชา เสียงหนึ่งอันเปี่ยมความรู้สึกเมตตาอาดูรก็ดังขึ้นในหู
“ประสกเอ๋ย เป็นหลวงจีนมุสามิได้ หลวงจีนผู้นี้เห็นจุดอิ่นถัง*[1] ของประสกดำคล้ำ หากออกจากที่นี่ไป คืนนี้จะเกิดเหตุนองเลือดก็เป็นได้”
สีหน้าของชายชุดดำพลันแปรเปลี่ยน ร่างของเขาสะท้านสั่น คิดอยากใช้เคล็ดวิชาเพื่อหลบหนี
มิคาดเลยว่าคอของเขาจะถูกมือใหญ่คว้าไว้ ทำให้ไม่อาจขยับได้อีก
เมื่อมองขึ้นไป เขาก็พบหลวงจีนผู้กำลังมองเขาพร้อมรอยยิ้มเมตตา
[1] จุดอิ่นถังคือบริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้ว การที่จุดนี้เป็นสีดำคล้ำ ชาวจีนเชื่อว่าจะเกิดเคราะห์อันตราย
………………..