บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1374: ป่นปี้!
ตอนที่ 1374: ป่นปี้!
………………..
ตอนที่ 1374: ป่นปี้!
ซูอี้จับจ้องไปยังอารักษ์บัญชีอย่างลึกล้ำและกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจเจ้าไม่ได้”
ร่างของอารักษ์บัญชีแข็งทื่อ
ทว่าขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง ซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “ทว่าจะให้เก็บเจ้าไว้ ข้าก็ไม่ถือสา”
“นี่…”
อารักษ์บัญชีผงะด้วยความงุนงงเล็กน้อย
หากมิอาจเชื่อใจ ไยจึงเก็บไว้ข้างกายกัน?
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ให้คำตอบ “ข้าอยากฆ่าช่างเสื้อ และเจ้าก็เป็นคนสนิทของเขา การให้เจ้าอยู่ด้วยก็เหมือนใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อนั่นแหละ”
อารักษ์บัญชี “…”
เขาโล่งใจในทันที เป็นเหยื่อล่อแล้วเช่นไร?
ขอเพียงได้รับการคุ้มครองจากทัศนาจารย์ก็พอ!
ซูอี้ถาม “ข้าถามหน่อย เจ้ายังควบคุมหอสี่สมุทรได้อย่างมั่นคงหรือไม่?”
“ขอรับ!”
อารักษ์บัญชีหาลังเลไม่ “เหล่าผู้กุมหางเสือของหอสี่สมุทรที่อยู่ทั่วจักรวาลพร่างดาวล้วนเป็นลูกมือที่ข้าเลี้ยงดูมาเองกับมือ นอกจากพวกเขาจะช่วยข้าบริหารธุรกิจ ยังช่วยรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากทั่วจักรวาลพร่างดาวด้วยขอรับ”
“ทว่าพวกเขาหารู้ไม่ว่าข้าเคยทำงานให้ช่างเสื้อ และขอเพียงข้ายังอยู่ พวกเขาก็จะไม่ทรยศข้าขอรับ”
ซูอี้ฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ได้ ในภายหน้า เจ้าจะยังปกครองหอสี่สมุทรต่อไป”
อารักษ์บัญชีโล่งใจเต็มที่ กล่าวว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าจะพยายามสุดความสามารถเพื่อรับใช้ใต้เท้าในภายหน้าขอรับ!”
กล่าวจบ เขาก็ยกกล่องหยกในมือขึ้น “โปรดรับสมบัตินี้ไปเถิด!”
ซูอี้รับมันไว้ในมือ ทว่าหาเปิดดูไม่ “สมบัติเซียนในนี้คืออันใด?”
อารักษ์บัญชีรีบกล่าว “มันเป็นเตาหลอมสำริดเก่า ๆ ใบหนึ่ง ซึ่งมีขนาดราวฝ่ามือและสนิมเกาะเต็มไปหมดเลยขอรับ มันดูธรรมดา ทว่าสมบัตินี้มีร่องรอยวิถีเซียนอยู่ แสงเซียนจากมันมักเปล่งประกายเยี่ยงหมอกปกคลุมที่เตาพร้อมสุคนธ์โอสถหอมสดชื่นบ่อยครั้ง”
“นอกจากนั้น สมบัติชิ้นนี้ยังเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณ ครั้งหนึ่งข้าเคยนำโอสถทิพย์จุติสรวงเข้าไปในเตาสำริด และอึดใจต่อมาเตานี้ก็หลอมพวกมันเป็นเม็ดโอสถวิญญาณที่มีคุณภาพเยี่ยม มูลค่าสูงล้ำยิ่งโดยที่ข้ามิต้องกระทำการใดเลยขอรับ”
“ในงานประมูลเมื่อสองสามวันก่อน ข้านำเม็ดโอสถนั้นเข้าประมูล มันกระทั่งทำให้วิญญาณอาสัญผู้สูงส่งบางตนแก่งแย่งกันประมูลไปด้วยราคาเสียดนภา!”
กล่าวถึงตรงนี้ อารักษ์บัญชีก็รำพึง “น่าเสียดายที่สายตาของข้าไม่ได้กว้างไกลพอ ความรู้มีจำกัด จึงมิอาจเข้าใจที่มาของสมบัติเซียนชิ้นนี้ และข้ายังเคยใช้จิตสัมผัสเข้าตรวจสอบแล้ว แต่ก็ยังมิอาจเข้าใจความลับใด ๆ ในสมบัติเซียนนี้ได้เลยขอรับ”
หัวใจของซูอี้วูบไหว หรือจะเป็นเตาหลอมวิถีเซียนซึ่งมีจิตวิญญาณกัน?
อารักษ์บัญชีกล่าวต่อ “แต่ข้าแน่ใจว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!”
“ในช่วงกาลนี้มีสมบัติเซียนผ่านมือข้าอยู่บ้าง แต่พวกมันส่วนใหญ่ต่างเป็นเศษผุพัง จิตวิญญาณเสียหายไปอย่างร้ายกาจ มูลค่าตกต่ำเหลือเพียงเล็กน้อย”
“ทว่าเตาหลอมสำริดนี้แตกต่างออกไป นอกจากที่ปากเตามีช่องโหว่ และสนิมที่เกาะตามเตา ก็ไร้ความเสียหายอื่น ๆ ขอรับ”
“เชิญใต้เท้าเปิดกล่องหยกดูเถิด”
ซูอี้เองก็ถูกกระตุ้นความอยากรู้เช่นกัน ทว่าขณะที่เขากำลังจะเปิดออกดูของที่อยู่ภายในนั้นเอง เขาพลันนึกถึงดาบเก้าคุมขังในห้วงความนึกคิดของตนขึ้นมาได้ จึงทิ้งความคิดที่จะเปิดกล่องหยกในทันที
หากสมบัติเซียนนี้ถูกดาบเก้าคุมขังหมายหัวขึ้นมา มันจะกลายเป็นซาลาเปาเข้าปากสุนัข ไร้หนทางหวนคืน
“ข้าจะไปเปิดดูทีหลังเอง”
ซูอี้เก็บกล่องหยกไปและกล่าวขึ้นว่า “มาเถิด มีบางสิ่งที่อยากให้เจ้าทำ”
“ใต้เท้าโปรดสั่งการเถิด”
อารักษ์บัญชีลุกขึ้นและกล่าวอย่างนอบน้อม
“ข้าต้องการที่เงียบ ๆ เป็นป่าเขาได้ยิ่งดี”
ซูอี้ว่า
ในอดีต วัดสรรพสุญตานั้นตั้งอยู่ภายในทะเลทรายแห่งแคว้นพรหมที่ไม่มีกระทั่งปักษาสักตัวบินผ่าน ยากจะพานพบผู้มาเยือน
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ต้องตามหาอยู่เนิ่นนานกว่าจะเข้าถึงได้
และยามนี้เมื่อวัดสรรพสุญตาอยู่กับเขา เขาจึงวางแผนหาที่ตั้งใหม่ให้วัดสรรพสุญตา ทำให้เขามิต้องลำบากเทียวไปเทียวมา
เมืองอันเป็นที่ตั้งของหอสี่สมุทรมีนามว่าเมืองตระการสรวง สถานที่อันรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นจง และยังเป็นที่รู้จักในนามหนึ่งในสองเมืองอันเลื่องชื่อสูงสุดแห่งภูมิดาราเทพนคร!
“เรื่องนี้ง่ายมากเลยขอรับ”
อารักษ์บัญชีกล่าว “ห่างจากเมืองตระการสรวงไปร้อยแปดสิบลี้เป็นที่ตั้งภูเขาจันทร์กระจ่าง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มันอยู่ในการควบคุมของหอสี่สมุทรมาแสนนาน หากท่านต้องการ ใต้เท้าสามารถใช้เป็นที่พักอาศัยได้เลยขอรับ”
ซูอี้ตอบตกลงทันที
ระยะห่างร้อยแปดสิบลี้ สำหรับตัวตนระดับซูอี้นั้น การเดินทางในระยะทางนี้ทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
คืนนั้น อารักษ์บัญชีพาซูอี้ไปยังภูเขาจันทร์กระจ่างด้วยกัน
…
ภูเขาจันทร์กระจ่าง
มียอดเขาเรียงรายมากมาย งดงามเปี่ยมชีวิตชีวา มีน้ำตกลำธารอยู่ทุกหนแห่ง ไพรเขียวไผ่ตระหง่านดก ปราณวิญญาณหนาแน่นเยี่ยงสุขาวดีบนดิน
เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนของผู้ทรงอำนาจบางส่วนในหอสี่สมุทร และหลังจากอารักษ์บัญชีมาถึง เขาก็ออกคำสั่งย้ายผู้ทรงอำนาจเหล่านั้นออกไปทันที
ด้วยรู้ว่าซูอี้ไม่ได้ต้องการที่พักหรือบ่าวรับใช้ อารักษ์บัญชีจึงให้ทุกคนเก็บกวาดสิ่งปลูกสร้างทั่วภูเขา
หลังจากพาซูอี้เดินท่องขุนเขาแล้ว อารักษ์บัญชีก็กล่าวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้า จากนี้ข้าจะไปเฝ้าหอรับรองที่ตีนเขานะขอรับ”
ซูอี้พยักหน้า
เขายืนอยู่ที่ริมผาแห่งหนึ่งและโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
วัดสรรพสุญตาทะยานผ่านนภา และค่อย ๆ ร่อนลงสู่กลางหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป
“ในภายหน้าที่นี่จะเป็นเขตหวงห้าม ห้ามเข้าใกล้หากไร้คำอนุญาต”
ซูอี้ออกคำสั่ง
อารักษ์บัญชีรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ!”
เขาลอบเดาะลิ้นในใจ ไม่คิดเลยว่าซูอี้จะพกวัดโบราณที่มีขนาดใหญ่โตไปไหนมาไหนด้วย!
อันที่จริง หากเขาได้เห็นภาพที่หลวงจีนคงจ้าววิ่งพล่านขณะแบกวัดไว้บนหลัง เขาคงประหลาดใจยิ่งกว่านี้เป็นแน่
“ใต้เท้า เช้าพรุ่งนี้ข้าจะส่งสมบัติจุติสรวงมาให้ท่านหนึ่งส่วน ท่าน… มีคำสั่งอื่นหรือไม่ขอรับ?”
อารักษ์บัญชีเอ่ยถาม
“รอเดี๋ยว”
ซูอี้สั่ง
อารักษ์บัญชีงุนงง ทว่าไม่ได้ถามต่อ
ไม่นานนัก บนท้องนภาที่อยู่ไกลออกไปพลันบังเกิดเสียงแหวกอากาศพุ่งตรงมา
สองเส้นแสงทะยานผ่านเวหาเข้ามา ก่อนที่พวกมันจะแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษในชุดคลุมถือดาบวิถีคนหนึ่งและหลวงจีนสวมจีวรเปลือยเท้าและมีผ้าคลุมศีรษะหนึ่งรูปในพริบตา
พวกเขาคือเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา
เพียงปราณที่แผ่ออกมาจากทั้งสองคนก็ทำให้อารักษ์บัญชีอ้าปากค้าง และตระหนักทันทีว่าคนทั้งสองเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจุติมงคล!
“สหายเต๋าซู เราสองคนต่างช้าไปก้าวหนึ่ง”
สีหน้าของเซียนดาบชิงซื่อดูละอายใจ ขณะประสานกำปั้นและกล่าวขึ้นว่า “กระทำการไม่สำเร็จ สหายเต๋าโปรดให้อภัยด้วย”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็พนมมือคำนับอย่างละอายใจเช่นกัน
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”
ซูอี้ว่าแล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดในคืนนี้ให้ทั้งสองคนฟัง
ยามนั้นเอง เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาจึงได้เข้าใจความคิดของซูอี้ ทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงในที่สุด
และทั้งสองยังเล่าเหตุที่พวกตนได้ประสบเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าเหวินยงจากตระกูลเหวินและมือมีดสะบั้นอาวรณ์แห่งสวรรค์ปรีดาต่างตกตาย ซูอี้ก็กล่าวอย่างไม่ประหลาดใจ “ท่านทั้งสอง ภายหน้าพวกเราฝึกฝนที่นี่กันก่อนดีหรือไม่?”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาย่อมไร้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
จากนั้นซูอี้ก็แนะนำตัวอารักษ์บัญชีให้แก่ทั้งสองคนได้รู้จัก จากนั้นก็เข้าไปในวัดสรรพสุญตา
หลังจากวิ่งเต้นผ่านสงครามมาทั้งคืน ซูอี้ก็ตั้งใจจะพักผ่อนให้สบายก่อน
…
คืนเดียวกันนั้นเอง
ณ แดนเร้นเทพ
ม่านแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าช่างเสื้อ
ภายในม่านแสงปรากฏภาพของมือมีดสะบั้นอาวรณ์ ผู้เป็นนายใหญ่แห่งสวรรค์ปรีดาถูกสังหาร
ช่างเสื้อยกจอกชาขึ้นจิบก่อนจะรำพึง “ลูกเอ๋ย แม้ข้าจะเป็นอาจารย์เจ้าก็ไร้หนทางแล้ว เจ้ารู้เรื่องราวมากเกินไป หากเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายเช่นทัศนาจารย์ ข้าก็มีแต่ต้องฆ่าเจ้าเสีย”
ไม่นานนัก ม่านแสงอีกหนึ่งผืนก็ปรากฏขึ้น บนม่านนั้นสะท้อนเป็นภาพตัวตนบรรพกาล ‘เหวินยง’ จากตระกูลเหวินโบราณอารักษ์วิถียามถูกสังหาร
ช่างเสื้อยกจอกชาขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย “ข้าขออภัยด้วย เหวินยง แม้เราทั้งสองจะเป็นสหายเก่าแก่ แต่ข้าก็ปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งเป็นความผิดของทัศนาจารย์ และเพื่อปกป้องตนเอง ข้าจำต้องตัดสินใจเช่นนี้”
กล่าวจบ เขาก็จิบชาอีกจอก สีหน้าหวนคืนสู่ความเยือกเย็น
ทั้งหมดอยู่ในควบคุมของเขา แม้หัวใจจะรู้สึกเศร้าโศกสิ้นหนทาง ทว่ามันก็แค่นั้น มิอาจสั่นคลอนจิตใจของเขาได้แม้แต่น้อย
จนกระทั่งช่างเสื้อจิบชาหมดจอก ม่านแสงที่สามก็ปรากฏขึ้น
ในม่านแสงนั้น สะท้อนสิ่งที่ปรากฏในหอสี่สมุทรในคืนนี้ออกมา
บทสนทนาระหว่างบ่าวเฒ่าชวีเหอและอารักษ์บัญชี ซูอี้ปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ ร่วมมือกับอารักษ์บัญชี องครักษ์เร้นเทพ 07 ชักกระบี่สังหารชวีเหอ…
ภาพทั้งหมดนี้ปรากฏในสายตาของช่างเสื้อ
จนถึงยามที่องครักษ์เร้นเทพ 07 ถูกสังหาร ม่านแสงก็สลายไป
ช่างเสื้อชะงักอยู่เนิ่นนาน
เปรี้ยง!
“ทุกอย่างย่อยยับ! เละเทะป่นปี้ไปหมด!!”
ช่างเสื้อเค้นเสียง
ชายชราซึ่งดูจะเป็นผู้บงการหลังม่านมาตลอดผู้นี้เสียอาการอย่างหาได้ยาก
ดวงตาของเขาเหลือกถลน ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ อกผอมแห้งกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง!
สถานการณ์ช่วงนี้ เขาเสียหายหนักหนาและมากเกินไปแล้ว
ศึกแท่นนภาม่วง แผนสังหารอันแสนแยบยลพังทลายไม่เป็นท่า
ศึกที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง เขาคิดว่าตระกูลอวิ๋นโบราณมีโรงดาบเทพลี้ลับหนุนหลัง เตรียมการพรั่งพร้อม คงสามารถปราบซูอี้ลงได้
ทว่าท้ายที่สุด ตระกูลอวิ๋นก็พ่ายแพ้ย่อยยับ!
และเพราะความพ่ายแพ้ของตระกูลอวิ๋น เขาจึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ จำต้องทิ้งเส้นสายที่เหลือเพียงสามคนในโลกหล้า
เหตุการณ์เหล่านี้หนักหน่วงพอแล้ว
ใครเล่าจะคิดว่าเพียงคืนนี้ องครักษ์เร้นเทพ 07 ซึ่งเขาถือเป็นไพ่ตายก้นหีบและบ่าวเฒ่าชวีเหอผู้ติดตามรับใช้เขามาแสนนานจะพากันตกตาย!
ทั้งหมดนี้ทำให้ดวงตาของช่างเสื้อมืดบอดด้วยโทสะ เปี่ยมด้วยความคับแค้นไร้ที่ระบาย และท้ายที่สุดก็เดือดดาลเสียจนต้องกระอักเลือดคำโต!
“การสานเครือข่ายแสนนานทำให้ข้ามี ‘หูตา’ และ ‘อำนาจ’ กระจายไปทั่วจักรวาลพร่างดาว และยามนี้… ทุกสิ่งก็พังหมด!!!”
เสียงของช่างเสื้อแหบแห้ง ขบเขี้ยวด้วยความเคียดแค้นจนฟันแทบแหลก
ในฐานะผู้บงการหลังฉากอันเหนือชั้นกว่าผู้ใด เขา ณ ยามนี้สิ้นการควบคุมในโลกภายนอก หูตาทั่วจักรวาลพร่างดาวบอดหาย ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นเป็นคราแรก
ความรู้สึกนั้นประหนึ่งถูกใครบางคนทะลวงตาตัดแก้วหู!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามืดมัว!
เสียงที่ได้ยินมีเพียงเลือนราง!