บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1375: เนื้อเข้าปากเสือ
ตอนที่ 1375: เนื้อเข้าปากเสือ
“น่าเสียดาย องครักษ์เร้นเทพรหัส 07…”
หัวใจของช่างเสื้อบีบรัดราวถูกคมมีดแหลมคมกรีด
ในชั่วกาลผ่านมา เขาทุ่มเททรัพยากรชั่วชีวิตกว่าจะสร้างองครักษ์เร้นเทพสำเร็จได้เก้าผู้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไม้ตายก้นหีบของตนที่จะไม่มีทางงัดออกมาใช้เว้นแต่จะไร้หนทางอื่น
ทว่า ไม่เพียงยามนี้เขาเผยไพ่ตายออกไป ยังมีหนึ่งองครักษ์เร้นเทพต้องเสียหาย มีหรือช่างเสื้อจะไม่โกรธ?
สิ่งใดคือไพ่ตาย?
แก่นแท้ของมันคือจะให้ศัตรูรู้ไม่ได้
ขอเพียงไพ่ตายถูกเผย ภัยคุกคามของมันจะสิ้นไปทันที!
นี่คือสิ่งที่ทำให้ช่างเสื้อเจ็บปวดที่สุด
จนกาลผ่านแสนนาน ช่างเสื้อจึงสงบใจลงได้เล็กน้อย
เพียงแค่ว่า ตัวเขา ณ ขณะนี้ดูแก่ชราลงมาก สีหน้าของเขาเจืออารมณ์จาง ๆ มิเยือกเย็นเช่นกาลก่อนอีกต่อไป
“หลังเหตุนี้ ทัศนาจารย์ก็คงไปหาทางเข้าสู่แดนเร้นเทพ เขา… จะมาที่นี่หรือ?”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว
เขาสังหรณ์ว่าทัศนาจารย์จะไม่มา!
หลังจากประมือกันมามิอาจทราบกาล ช่างเสื้อหรือจะมิปรุโปร่งในอุปนิสัยทัศนาจารย์?
ทว่าท้ายที่สุด ช่างเสื้อก็ไม่กล้าเดิมพัน
เขารู้ดีว่าทัศนาจารย์เองก็รู้สันดานเขาเช่นกัน ยิ่งคาดเดายิ่งมีโอกาสถูกทัศนาจารย์จับทางออก!
หากทัศนาจารย์โจมตีกะทันหันขึ้นมา เขาจะไร้ที่ซุกซ่อน!
“แดนเร้นเทพนี้…อยู่มิได้แล้ว!”
ช่างเสื้อตัดสินใจ
“หนหน้า! ข้าจะแตกหักกับเจ้าในหนหน้า!”
“ต่อให้ไม่ใช้กลอุบาย ต่อให้ไม่ยืมมือผู้ใด ข้าก็จะให้เจ้าเห็นว่าฝีมือแท้จริงของข้าเป็นเช่นไร!”
ดวงตาของช่างเสื้อเปี่ยมความแค้นและจิตสังหารหนาแน่น
……
ในห้องหนึ่ง
ซูอี้ใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนจะบรรจงเปิดผนึกกล่องหยก
หนึ่งแสงเซียนสาดส่องออกมาจากในกล่องหยก ปราณศักดิ์สิทธิ์สีม่วงอันเจิดจ้าฟุ้งกระจายออกมาราวภาพฝัน
จนเมื่อกล่องหยกเปิดออก เตาหลอมสำริดขนาดราวฝ่ามือก็ทะยานสู่เวหา
มันดูเรียบง่ายและเก่าแก่ เปื้อนสนิมด่างดำ ก้นเตามีสามขา ปากกลมเต็มไปด้วยประกายแสงเซียนสีม่วงเจิดจรัส
สมบัตินี้ประหลาดยิ่งและเปี่ยมจิตวิญญาณ ทันทีที่มันปรากฏ คู่ปีกลวงตาก็กางออกขนาบเตาซ้ายขวา เพียงหนึ่งกระพือเบา ๆ ก็ส่งเตาทะยานไปยังประตูห้องราวสายฟ้า
ซูอี้กดฝ่ามือลง
ตู้ม!
กฎเร้นลับต้องห้ามปรากฏขึ้นถักทอเป็นตาข่ายอันเจิดจรัส ผนึกทางหนีของเตาสำริดลงสิ้น
เห็นได้ชัดว่าเตาสำริดนี้กำลังร้อนรน ร่างของมันระเบิดแสงเซียนอาละวาด
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
กฎเร้นลับต้องห้ามสะท้านสั่นรุนแรงแทบแหลกสลาย
ซูอี้ผู้ควบคุมกฎเร้นลับต้องห้ามเองก็อ้าปากค้าง จำต้องทุ่มกำลังสุดชีวิตเพื่อมิให้เตาหลอมสำริดขนาดเพียงฝ่ามือนี้หนีออกนอกห้องได้
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็แสนปรีดา
สมบัติดี!
เพียงจิตวิญญาณเช่นนี้ก็ห่างไกลเกินสมบัติเซียนอื่น ๆ จะเทียบได้แล้ว
ทว่าทันใดนั้น สีหน้าของซูอี้ก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เขาเห็นว่ามีลวดลายวิถีสีม่วงจรัสแสงทะลวงออกมาจากในเตาสำริดดุจกฎวิถีเซียนอันยิ่งใหญ่พร่างพราว แปรเปลี่ยนเป็นดาบเซียนสว่างไสวสั่นระรัวฟาดฟันเข้าหาซูอี้
เปรี๊ยะ!
ตาข่ายใหญ่จากกฎเร้นลับต้องห้ามถูกผ่าออกอย่างง่ายดาย
และยามนั้น ดาบเซียนก็ยังฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้โดยไม่ผ่อนแรง!
ขณะที่ซูอี้กำลังจะต่อสู้โต้ตอบนั้นเอง วจีดาบก็ลั่นขึ้น
แย่แล้ว!
ซูอี้อุทานในใจ ดาบเก้าคุมขังตื่นขึ้นอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังหมายหัวเตาหลอมสำริดนี้เยี่ยงอาหาร!
โดยไม่รีรอให้ซูอี้ตั้งตัว ดาบเซียนที่ฟาดฟันเข้ามาพลันพังทลาย แปรเปลี่ยนเป็นสารพัดอักขระเซียนหนีเข้าไปในเตาสำริดราวกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
ขณะเดียวกัน เตาสำริดเองก็ดูจะสัมผัสอันตรายได้ มันสั่นสะท้านรุนแรง พลันแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงทะยานเข้าไปในกฎเร้นลับต้องห้ามในมือซูอี้เร็วจี๋
โยนตัวเองลงร่างแห!
มิต้องสงสัยเลยว่าสมบัติเซียนมีจิตวิญญาณนี้กลัวปราณดาบเก้าคุมขังหัวหด มันยอมพาตัวเองโถมเข้าอ้อมอก เป็นสมบัติในครอบครองของซูอี้มากกว่าจะกล้าเผ่นหนีอีกหน
เรื่องนี้เกินความคาดหมายของซูอี้โดยสมบูรณ์ ทว่าเขาก็ไร้โอกาสได้ขบคิด สองมือประกบเข้าหากันครอบเตาหลอมสำริดไว้ในมือราวแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ
ตู้ม!
เงาดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้นบนอากาศ
ซูอี้สัมผัสได้ชัดเจนว่าเตาหลอมสำริดในมือของเขากำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกระต่ายขาวตัวน้อยในสายตาหมาป่าใหญ่ร้ายกาจ ช่างสิ้นกำลัง สิ้นหวังน่าสงสารยิ่ง
สมบัติเซียนอันเปี่ยมจิตวิญญาณเช่นนี้ ซูอี้หรือจะปล่อยให้ดาบเก้าคุมขังเขมือบไปได้ลงคอ?
เขาสูดหายใจลึก ๆ จ้องดาบเก้าคุมขังและกล่าวอย่างจริงจังโดยไม่สนใจว่าดาบเก้าคุมขังจะเข้าใจหรือไม่ “ไว้หน้าละเว้นให้กันได้หรือไม่?”
เงาร่างของดาบเก้าคุมขังบนอากาศลอยนิ่งไม่ขยับ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดปล่อยเตาหลอมสำริดนี้ไป
“ในอดีต เจ้ากินสมบัติข้าไปแล้วสามชิ้น จะละเว้นบ้างมิได้หรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ทั้งหอกศึกพิสูจน์สวรรค์เอย ดาบปลายมนแผดสวรรค์ของนักซ่อนกลเอย และดาบจื่ออิ่งของโรงดาบเทพลี้ลับก่อนหน้านี้ก็ล้วนถูกดาบเก้าคุมขังเขมือบเรียบ
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้คิดแล้วปวดใจนัก
เงาของดาบเก้าคุมขังหาขยับไม่ หรือก็คือไม่คิดรามือ ดูดึงดันยิ่ง!
ซูอี้อดปวดเศียรไม่ได้
แม้เขาจะมีฝีมือดั้นสรวง อำนาจคุ้มโลกา ก็อดรู้สึกมิได้ว่ามิอาจทำสิ่งใดยามเผชิญสมบัติอันพิเศษและลึกลับเยี่ยงดาบเก้าคุมขังนี้
เขาเองก็คร้านเกินกว่าจะคิดมาก จึงกล่าวออกตรง ๆ “อย่าห่วงเลย ข้าก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าก่อนหน้านี้ เจ้าสิ้นเปลืองพลังไปมากและต้องการฟื้นฟูเพื่อคืนอำนาจดั้งเดิมของเจ้า”
“ข้ารับปากจะหาอาหารเสริมมาให้เจ้าเพิ่มในภายหน้านะ!”
ชั่วขณะนั้น เสียงพูดของซูอี้ดังระรัวอย่างขมขื่น พยายามเกลี้ยกล่อมดาบเก้าคุมขังให้ ‘อยู่ในครรลองคลองธรรม’
หากให้ผู้อื่นเห็นเช่นนี้คงได้หัวเราะกรามร่วงเป็นแน่แท้ ทัศนาจารย์ผู้สมบูรณ์แบบไม่เคยก้มหัวให้ผู้ใดเคยไร้หนทางจนปัญญาเพียงนี้ด้วยหรือ?
ทว่าซูอี้ก็มิอาจกระทำอันใดได้
จากวาจาของอารักษ์บัญชี เตาหลอมสำริดนี้น่าจะเป็นเตาโอสถทิพย์ที่สามารถกลั่นโอสถชั้นยอดเองได้
หากมีสมบัติเช่นนี้ในมือ ภายหน้าเขาจะสามารถกลั่นหลอมสารพัดโอสถได้ตามต้องการ!
เมื่อเห็นเงาของดาบเก้าคุมขังไม่ยอมเลิกรา ซูอี้ก็อดรู้สึกรำคาญใจมิได้
เขาตัดบทอย่างเหี้ยมโหดทันที “สรุปนะ เตานี่ของข้า!”
วจีกังวานแสดงอำนาจชัดเจน
เงาดาบเก้าคุมขังบนอากาศดูนิ่งไป เหมือนกำลังไตร่ตรองว่าล่วงเกินซูอี้ไปจะเกิดอันใดขึ้น
ท้ายที่สุด มันก็แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงหายไปอย่างไร้เสียง
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็แสนปรีดา อดถอนหายใจโล่งอกมิได้
หลังเหตุนี้ เขาก็แน่ใจว่ายามพบสมบัติเซียนสะดุดตาใด ๆ ในภายหน้า ขอเพียงกล่าวตรง ๆ ดาบเก้าคุมขังก็จะมิยื้อแย่งมันไปจากเขา!
นี่เป็นเรื่องดีโดยไม่ต้องสงสัย
“ทว่าก็กระทำการมากไปมิได้ ดาบเก้าคุมขังเองก็ต้องได้อาหารบำรุง หากพบสมบัติที่ชอบใจในภายหน้าก็แบ่งกันครึ่งต่อครึ่งแล้วกัน”
ซูอี้ครุ่นคิดเคร่งขรึม
ขณะกำลังครุ่นคิด มือของเขาก็ถือเตาสำริดอยู่
สมบัติชิ้นนี้กำลังสั่นระรัวราวกำลังหวาดผวา เหมือนขวัญเสียจากหายนะไปชั่วชีวิต
เห็นได้ชัดว่ามันทำตัวเชื่อง มิกล้าดิ้นรนขัดขืนอีกต่อไป อย่าว่าแต่เผ่นหนีไปไหน
ซูอี้เห็นแล้วนึกอยากหัวเราะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเตาหลอมสำริดนี้กลัวเงาฉายของดาบเก้าคุมขังหัวหด!
ซูอี้ฉวยโอกาสนี้เริ่มพินิจสมบัตินี้อย่างละเอียด
เตาหลอมขนาดฝ่ามือนี้เก่าแก่กะทัดรัด มีสนิมเกาะเต็มไปหมด มีช่องว่างที่ปากเตา คาดว่าจะถูกอัสนีบาตฟาดใส่จนทิ้งรอยไหม้เกรียม
ผิวสัมผัสของสมบัตินี้มิได้พิเศษใด ๆ ทว่าภายในเตากลับเปี่ยมด้วยแสงเซียนสีม่วงหนาแน่นเยี่ยงหมอก ลึกลับอย่างยิ่ง
เมื่อซูอี้ใช้จิตสัมผัสเข้าตรวจตรา เขาก็ถูกอำนาจลึกลับสายหนึ่งขวางไว้ทันที และเตาหลอมสำริดก็สั่นสะท้านส่งเสียง เห็นได้ชัดว่ากำลังขัดขืน
“อยู่นิ่ง ๆ ให้ข้าดูหน่อย”
ซูอี้มีหรือจะยอมปล่อย ร่องรอยปราณดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้นในห้วงความนึกคิด
ทันใดนั้น เตาหลอมสำริดก็ผงะและมิกล้าขัดขืนอีก
เมื่อจิตสัมผัสของซูอี้ทะลวงเข้าไปในเตา
ตู้ม!
วิญญาณของเขาสะเทือนสั่น และภาพอันน่าเหลือเชื่อภาพหนึ่งก็ปรากฏในภวังค์
มันเป็นหนึ่งโลกหล้าที่ดูราวอยู่ในวันสิ้นสูญ แสงสว่างสาดคลั่งปกคลุมทั่วปฐพีแดนสรวง ร่างของเซียนร้ายกาจผู้แล้วผู้เล่าถูกทำลายสิ้นในหายนะ
หนึ่งนักดาบไร้เทียมทานในโลกหล้า เพียงหายใจก็สะเทือนทั่วจักรวาลพร่างดาว เพียงหนึ่งชี้ดาบก็สะเทือนทั่วหมู่ดาราเหนือสรวง บดขยี้โลกภูมิสลายหายตาม ๆ กัน
ทว่า นักดาบอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นกลับถูกแสงหายนะสังหารสิ้นในพริบตา
ก่อนตาย เขาทำเพียงถอนใจอย่างอาวรณ์
หนึ่งเซียนปีศาจไร้พ่ายทะยานเมฆาเคลื่อนมวลหมอกเหนือจักรวาล ทลายนภาดับชีวิตสรรพสิ่งได้เพียงพลิกฝ่ามือ แสงเซียนทั่วร่างพลุ่งพล่านน่าหวาดสะพรึง บดขยี้แดนดินทั่วจักรวาลได้โดยง่ายดาย
ทว่าท้ายที่สุด นางก็ไม่อาจหลบหนี ถูกหายนะลบตัวตนสิ้นใจ!
นอกจากนั้นยังมีพุทธองค์ผู้จุติยังโลกหล้า นักพรตเต๋าผู้เป็นเช่นเจ้าสวรรค์ไร้ประมาณ จอมมารผู้ดูไร้คู่เปรียบ… พวกเขาทั้งหลายล้วนดิ้นรนในหายนะสิ้นกาล
ทว่าทุกผู้ล้วนตายตกสิ้นชีพอย่างไร้ข้อยกเว้น!
ในแดนดินอันเปี่ยมด้วยอำนาจหายนะล้างแดน ทั้งเซียนผู้ทรงพลังหรือตัวตนต่ำต้อยล้วนสูญสิ้นตัวตน
และในหายนะนี้ เตาสำริดเตาหนึ่งเคลื่อนคล้อยทะยาน แสงหายนะหนักหนาฉาบร่างทะลวงสารพัดม่านกั้นเขต หายสิ้นไปในหายนะ
ภาพนั้นสลายไป
หัวใจของซูอี้ตระหนักรู้
หายนะสิ้นแดนนั้นเกิดขึ้นในโลกเซียน!
และยามนั้นถูกถือเป็นยุคอวสานเซียน!
เนิ่นนานก่อนที่วิถีจุติสรวงในโลกมนุษย์จะถูกสะบั้นขาด โลกเซียนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น และระบบระเบียบในโลกเซียนก็แสดงสัญญาณพังทลาย หายนะสิ้นกฎเกณฑ์กวาดทั่วโลกหล้า
กลุ่มเต๋าสูงสุด ยอดสุขาวดีทั่วโลกเซียนถูกกระทบจากหายนะโดยไม่อาจเลี่ยง
มันเป็นกลียุคอันปั่นป่วน เมื่อเหล่าเซียนอันแสนสูงส่งพากันตายตกสิ้นชีวาราวหมู่ดาวสิ้นแสงเหนือนภาหลังหายนะ
มียักษ์ใหญ่และตัวตนในตำนานในหมู่เซียนบางพวกที่จะอยู่ยงตลอดกาล ทว่าพวกเขาก็ยังร่วงลงสู่ขุมนรก กลายเป็นซากไปจากภัยพิบัติ!
นี่คือยุคอวสานเซียน
ในอดีต ซูอี้ก็เคยได้ยินปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวถึงมัน
ทว่ามันถือเป็นเพียงความลับโบราณอันห่างไกล มิอาจเชื่อมโยงสะท้อนความรู้สึกได้
ทว่ายามนี้ เมื่อได้สัมผัสความลับของเตาสำริด ซูอี้ก็ได้ประจักษ์แก่ตาถึงภาพยามหายนะยุคอวสานเซียนปรากฏ!
เหล่าเซียนเหนือนภาตกตายเยี่ยงพิรุณโปรย!
และเตาหลอมสำริดนี้ก็ต้านการถล่มของหายนะในยุคอวสานเซียน หนีจากโลกเซียนมาเพียงลำพังจวบยามนี้
มันดูสมบูรณ์ครบถ้วน ทว่าอันที่จริง อำนาจดั้งเดิมของมันเสียหายอย่างร้ายแรง และปากเตาก็ถูกแสงหายนะจากยุคอวสานเซียนฟาดแตก!
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเลอเลิศเกินกว่าสมบัติเซียนทั่วไปจะเทียบเทียม!
เพราะถึงอย่างไร ในยุคอวสานเซียน เซียนผู้แข็งแกร่งเหนือโลกหล้าล้วนล้มตาย ทว่าเตาสำริดนี้กลับทะลวงทางหนีจากโลกเซียนพ้นหายนะมาได้!
มันช่างน่าอัศจรรย์โดยมิต้องสงสัย เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าสมบัติชิ้นนี้มหัศจรรย์เพียงไร
………………..