บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1377: เลื่อนขั้น
ตอนที่ 1377: เลื่อนขั้น
“ไม่ผิดจริง ๆ เรื่องแปรเปลี่ยนไปในทางดีแล้ว และเหตุนี้เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าหากแสดงความจริงใจและความปรารถนาดีมากพอ เราก็จะมีโอกาสได้รับการช่วยเหลือจากซูอี้! เช่นนี้โอกาสร่วมมือกันก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นในภายหน้า!”
หลังจากข่าวมาถึงเขตหวงห้ามเซียนละล่อง สีหน้าของม่อชิงโฉวในอาภรณ์บุรุษก็ปรากฏความปรีดา
“หลีจง หนึ่งเดือนจากนี้ ให้เจ้าส่งยอดฝีมือผู้มีคุณสมบัติเพียงพอใต้บัญชาเราไปยังภูเขาจันทร์กระจ่างด้วยตนเองเสีย”
“ขอรับ!”
หลีจงเองก็แสนยินดี รับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม
หลังครุ่นคิดสักพัก ม่อชิงโฉวก็กล่าวเสริม “อีกประการ ข้าจะให้สหายเต๋าซูช่วยเปล่า ๆ ไม่ได้ ข้าจะเลือกของขวัญให้เขาด้วยส่วนหนึ่ง ให้เจ้านำไปให้เขายามถึงกาล”
กล่าวจบ ม่อชิงโฉวก็พูดต่ออย่างมิอาจอำพรางความยินดี “มิตรภาพนั้นก็คือการติดต่อ ข้าเชื่อว่าในภายหน้า สหายเต๋าซูจะเต็มใจร่วมมือกับเรามากขึ้น!”
……
สำนักเต๋านครชาด
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งหัวเราะอย่างโล่งใจ “ทางเลือกนี้ถูกต้องตรงเผง!”
“จากนี้ไป โอกาสร่วมมือระหว่างเราและสหายเต๋าซู ซูอี้ย่อมจะเกิดมากขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสองฝ่าย”
“และเราทั้งหลายทั่วสำนักเต๋านครชาดก็มีโอกาสคืนร่างวิถีฝึกฝนใหม่ คืนสู่โลกหล้าฟ้าดิน พลิกชีวิตชี้ดาบเบิกสวรรค์บรรลุเซียน!”
ทันทีที่วาจาเหล่านั้นถูกกล่าว ผู้ทรงอำนาจทั้งหลายจากสำนักเต๋านครชาด ณ ที่ประชุมก็แย้มยิ้ม
ตัวตนบรรพกาลนั้นตัดสินใจทันที “หลิ่วสิง หนึ่งเดือนจากนี้ ให้เจ้าพาคนในขอบเขตรวมวิถีไปยังภูเขาจันทร์กระจ่างเสีย”
“จำไว้ว่าจงทำตัวสุภาพกับสหายเต๋าซู ห้ามลืมกิริยาสิ้นมารยาทเด็ดขาด”
“นอกจากนั้น เลือกสมบัติในคลังสำนักไปกับเจ้าด้วย เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือของสหายเต๋าซู เราจะไปมือเปล่ามิได้”
ทันใดนั้น ผู้ทรงอำนาจนามหลิ่วสิงก็ลุกขึ้นรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม
…ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในกลุ่มเต๋าโบราณมากมาย
แต่ไม่มีผู้ใดคาดว่าการตอบแทนของซูอี้จะมาอย่างไวว่อง ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ซูอี้ก็ออกปากอยากช่วยเหลือพวกเขาแล้ว!
แม้จะเป็นการช่วยเพียงตัวตนภายใต้ขอบเขตรวมวิถีและจิตทารก แต่สัญญาณดีเช่นนี้ก็เพียงพอให้เหล่ากลุ่มเต๋าโบราณทั้งหลายตื่นเต้นคาดหวังกันแล้ว
……
และสำหรับกลุ่มเต๋าโบราณซึ่งมีความแค้นอย่างสมบูรณ์กับซูอี้เช่นหอดาบเซียนมายา บรรพตมารธารปรภพ และพรรคเซียนเร้นราตรีนั้น ข่าวนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจ เดือดดาลแทบบ้า!
“คนแซ่ซูผู้นั้นไร้ความกลัวหรือไร? หาไม่ ไฉนจึงเป็นฝ่ายอาสาช่วยขุมกำลังโบราณเหล่านั้น?”
บางผู้แค่นเสียงเยาะ
“ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยน วางใจเถอะ กระทั่งผู้นำกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นก็มิร่วมหัวจมท้ายกับคนแซ่ซูด้วยหรอก!”
บางผู้กล่าวขึ้น
ทว่าทุกผู้รู้ดีว่าแม้จะจริงที่กลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นจะไม่รวมพวกกับซูอี้ แต่ในเมื่อพวกเขารับน้ำใจซูอี้ไปแล้ว มีหรือจะเป็นศัตรูกับซูอี้อีก?
“อนิจจา หากเราไม่ได้เข้าร่วมศึกแท่นนภาม่วง เราจะมีโอกาสแลกเปลี่ยนโอกาสเช่นนี้หรือไม่?”
บางผู้ถอนใจนึกเสียดาย
“รอดูเถิด เว้นแต่คนแซ่ซูผู้นั้นจะส่งเคล็ดวัฏสงสารมา หาไม่ เขาจะทำเช่นไรก็ถูกคิดบัญชีอยู่ดี!”
บางผู้ข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน
…กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มเต๋าโบราณที่เกลียดชังซูอี้เหล่านั้น แม้ปฏิกิริยาจะแตกต่าง แต่พวกเขาแต่ละฝ่ายก็ล้วนตาแดงฉานอย่างไร้ข้อยกเว้น!
อิจฉาเหล่ากลุ่มเต๋าโบราณที่ประกาศตนช่วยเหลือซูอี้หาตัวช่างเสื้อจนตาร้อนผ่าว!
เพราะถึงอย่างไร ผู้ใดบ้างจะไม่อยากกำจัดคำสาปบนร่างโดยเร็ว?
ใครเล่ามิอยากได้ชีวิตใหม่?
กระทั่งทายาทเซียนบางผู้ยังยากข่มใจ พวกเขาล้วนประชุมหารือถึงมาตรการรับมือ ร่วมคิดว่าจะปฏิบัติต่อซูอี้เช่นไรต่อไป
……
ยามโลกหล้าป่วนปั่น ซูอี้เก็บตัวเงียบ
ตู้ม!
แสงสว่างโชติช่วงเยี่ยงน้ำตกแผ่ทะลักจากร่างของซูอี้ผู้นั่งขัดสมาธิ ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมสูงส่ง
โลกภูมิไร้จำกัดในร่างของเขาค่อย ๆ เคลื่อนวนท่ามกลางหมู่ตะวันจันทรา ดวงดาว ฟ้าดินทั่วแดนราวกับกำลังพัฒนาเป็นหนึ่งโลกหล้า วนซ้ำไม่รู้จบ
และตรงหน้าเขามีโอสถจุติสรวงใสกระจ่างลอยอยู่ตรงหน้า พวกมันล้วนเจิดจรัสเยี่ยงนภารุ่งตะวัน รูปลักษณ์งามเลิศเยี่ยงดาราร้อยเรียงรอบกายซูอี้
ทุกชั่วขณะ โอสถหนึ่งเม็ดจะถูกพลังปราณรอบกายซูอี้ดึงเข้ามาหลอมรวมกับร่างของเขา แปรเปลี่ยนเป็นอำนาจโอสถหนาแน่นพลุ่งพล่านสู่ร่างและจุดชีพจรต่าง ๆ
และพลังปราณของซูอี้เองก็ได้รับการขัดเกลา เสริมแกร่งกลั่นบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง…
ความลับของขอบเขตไร้ขีดจำกัดนั้น ซูอี้รู้อยู่ในใจมาเนิ่นนาน
ไม่ว่าจะเป็นทัศนาจารย์หรือเสิ่นมู่ พวกเขาล้วนมีความสำเร็จวิถีเต๋าในขอบเขตนี้ แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในโลกหล้าลำพังตลอดชั่วกาลนาน
ยามนี้ ซูอี้ฝึกฝนหวนคืนสู่ขอบเขตนี้ เขาย่อมเชี่ยวชาญยามเคยยืน ณ จุดสูงสุดมาก่อน และยามนี้ เขากำลังเสาะแสวงสถานที่อันสูงส่งกว่า!
การยืนบนที่สูงย่อมทำให้เห็นได้ไกลกว่า
และสิ่งที่ซูอี้ผู้หวนคืนวิถีในอดีตชาติมองหาก็ย่อมเป็นวิถีอันสูงกว่าอดีตชาติของเขา!
ผ่านไปเพียงสิบวัน
ซูอี้หลอมโอสถจุติสรวงมากลุ่มหนึ่ง และฝึกฝนจนทะลวงผ่านขั้นกลางขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้สำเร็จ
อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะเขาสะกดความเร็วการฝึกฝนเพื่อเสริมแกร่งร้อยเรียงวิถีตน เขาคงสามารถเลื่อนขั้นฝึกฝนได้ในชั่วกาลเพียงไม่กี่อึดใจ
จนกระทั่งเมื่อขอบเขตย่อยแต่ละขอบเขตถูกขัดเกลาถึงจุดสูงสุดยิ่งกว่ายามใด ซูอี้จึงไม่สะกดกลั้น ปล่อยการฝึกฝนในร่างทะลักไหลเยี่ยงเติมน้ำสู่แก้วที่เต็มอยู่ ให้วารีทะลักไหลเลื่อนขั้น
ให้ผีเสื้อโบยบินยามบุปผาบาน!
“ว่าแล้วเชียว โอสถจุติสรวงนั้นมีอำนาจมหาวิถีบริสุทธิ์ ไร้สีไร้ลักษณ์ แต่มันสามารถเสริมพลังมหาวิถีของผู้ได้กลืนกิน น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
ในการฝึกฝนของเขา ซูอี้ก็ได้ตระหนักลึกซึ้งว่าอำนาจวิถีจุติสรวงนั้นเป็นเช่นพิรุณยามวสันต์อันเงียบสงบ พร่างพรมอุ้มชูกฎมหาวิถีที่เขาบรรลุมา
กฎมหาวิถีเช่นวัฏสงสาร แปรชีพ แสงพริบตา เร้นลับต้องห้าม อนันตกาลจรัสแสงและเวิ้งลึกล้ำที่เขาฝึกฝนนั้นได้ถูกขัดเกลาพัฒนาแปรเปลี่ยนไปแล้ว
แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กจ้อยละเอียดอ่อน แต่ก็ยังดีกว่าการที่เขาต้องคอยขัดเกลาทีละน้อย!
ในคัมภีร์โบราณจากความทรงจำของเสิ่นมู่มีความลับมากมายเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงบันทึกไว้ ซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง
นี่ยังทำให้ซูอี้เข้าใจด้วยว่าอำนาจมหาวิถีในสมบัติขอบเขตจุติสรวง ไม่ว่าจะเป็นโอสถทิพย์ วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์หรือสมบัติหายากอื่นใดล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เป็นประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกฝน!
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นในศักราชแห่งมารหรือโลกหล้าทุกวันนี้ ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นน้อยนักจะมีคุณสมบัติหล่อหลอมใช้งานทรัพยากรฝึกฝนขอบเขตจุติสรวง
และยิ่งไม่มีทางหาผู้ใดเหมือนซูอี้ซึ่งฝึกฝนด้วยทรัพยากรขอบเขตจุติสรวงนับแต่ก้าวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ
ทั้งหมดนี้ยังทำให้การฝึกฝนมหาวิถีและมรดกขอบเขตราชันแห่งภูมิของซูอี้ร้ายกาจทรงพลังเกินคาดเดา!
อีกครึ่งเดือนผันผ่านรวดเร็ว
พลังปราณของซูอี้ผู้นั่งขัดสมาธิอยู่พลันเดือดพล่าน แปรเปลี่ยนไปอย่างน่าตกตะลึง แสงวิถีเจิดจรัสสาดจ้า สร้างเป็นบุปผาวิถีโปรยปรายรอบร่างซูอี้อย่างต่อเนื่อง
วจีวิถีสะท้อนก้องในห้องเยี่ยงเสียงจากสวรรค์
สารพัดนิมิตปรากฏจนทำให้ซูอี้เป็นเยี่ยงเทพ เผยบรรยากาศสูงส่งศักดิ์สิทธิ์เหนือผู้ใด
ขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย!
เลื่อนขั้นอีกหน!
ทั่วร่างของซูอี้ผ่อนคลายราวได้ลิ้มมธุรสเซียน ทั้งผิวกาย เลือดเนื้อ อวัยวะภายในล้วนแปรเปลี่ยนเพิ่มพูนอำนาจ กระทั่งจิตวิญญาณทั่วร่างยังแปรเปลี่ยนกลั่นบริสุทธิ์
ความรู้สึกเหลือเชื่อนี้เกินกว่าหนึ่งพู่กันหนึ่งแท่งหมึกจะบรรยายหมด
“ไม่ถึงเดือน ข้าก็เลื่อนขั้นแล้วสองขั้นย่อยติด ๆ กัน โอสถทิพย์ไร้ใดเทียบในขอบเขตจุติสรวงเหล่านี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงแท้”
ซูอี้ลืมตาขึ้นสำรวจความเปลี่ยนแปลงในร่างของเขาอย่างเงียบงัน ก่อนจะอดรำพึงไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็สุดยินดีที่ช่วยชีวิตสมบัติเซียนลึกลับเช่นเตาเสริมสวรรค์นี้ไว้
หาไม่ หากปล่อยดาบเก้าคุมขังเขมือบมันไป คงเป็นเรื่องผิดผีต่อสวรรค์อย่างร้ายกาจ ทั้งคนทั้งเทพเดือดดาลเกรี้ยวกราดเป็นแน่แท้!
ทว่ายามตรวจสอบโอสถขอบเขตจุติสรวงที่เหลืออยู่ ความปรีดาของซูอี้พลันเลือนหายไปหลายส่วน รอยยิ้มบนใบหน้ากลายเป็นรอยยิ้มเจื่อน
บรรดาโอสถจุติสรวงที่เขาหลอมด้วยทรัพย์แทบหมดตัว ปรากฏว่าถูกใช้ไปแล้วเจ็ดส่วนภายในไม่ถึงหนึ่งเดือน!
“นี่แค่ขอบเขตราชันแห่งภูมินะ หากข้าก้าวสู่วิถีจุติสรวงในภายหน้า ต้องใช้ทรัพยากรฝึกฝนมากเพียงไรกันจึงเติมเต็มความต้องการฝึกตนได้?”
ซูอี้นวดหว่างคิ้ว
“ต่อจากนี้ก็ถึงกาลเตรียมตัวทะลวงสู่ขอบเขตจุติสรวงแล้ว”
ซูอี้ครุ่นคิด
วิถีจุติสรวง ไม่ว่าจะเป็นทัศนาจารย์หรือเสิ่นมู่ต่างก็ไม่เคยเฉียดกราย
สำหรับซูอี้ มันก็เป็นวิถีอันมิคุ้นเคยโดยสมบูรณ์
ทว่าโชคดีที่ความทรงจำของเสิ่นมู่มีคัมภีร์โบราณมากมายมหาศาล บางส่วนนั้นเป็นคัมภีร์วิถีจุติสรวงซึ่งมีมรดกเคล็ดวิชาเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงบันทึกอย่างละเอียด
นอกจากนั้น ในระหว่างสนทนากับเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา ซูอี้ก็พอได้รับความรู้ความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับสามขอบเขตในวิถีจุติสรวงแล้ว
ดังนั้น ซูอี้จึงไร้กังวลเกี่ยวกับวิถีในภายหน้า
“จากการคำนวณเวลา ยังต้องรออีกสองเดือนก่อนวิถีจุติสรวงจะปรากฏในกฎสวรรค์อย่างเต็มที่”
ซูอี้จมในภวังค์ครุ่นคิด “ยามนี้มีเพียงเขตหวงห้ามเซียนละล่องเท่านั้นที่ตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจะไปสืบหาโอกาสเคลื่อนสู่วิถีจุติสรวงได้”
“และเขตหวงห้ามเซียนละล่องเป็นถิ่นของกลุ่มเต๋าโบราณมากมายในโลกหล้า กล่าวกันว่ามีวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอยู่ที่นั้นด้วย ยามนี้ การไปสืบหาโอกาสที่นั่นต้องอันตรายยิ่งกว่ายามใด…”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ตัดสินใจ
หากการฝึกฝนของเขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบและไร้ความว้าวุ่นใดในใจ เขาก็จะไปสืบหาโอกาสเคลื่อนขอบเขตสู่จุติสรวงในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ในขณะเดียวกัน หากสองเดือนผ่านไปแล้วเขายังเตรียมตัวมิพร้อม เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องก็จะหาโอกาสเคลื่อนสู่วิถีจุติสรวงได้เอง
ซูอี้ลุกขึ้น นำเก้าอี้หวายออกมาทอดกายอย่างสบายใจ จากนั้นก็หยิบไหสุราขึ้นยกดื่มอย่างผาสุก
“การฝึกฝนผ่านสองขั้นติด ๆ กันจนถึงขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย การควบคุมกฎมหาวิถีต่าง ๆ ก็เคลื่อนขอบเขต สี่กฎมหาวิถีได้แก่แปรชีพ แสงพริบตา เร้นลับต้องห้ามและอนันตกาลจรัสแสงต่างถึงขั้นสมบูรณ์แบบในขอบเขตราชันแห่งภูมิกันแล้ว”
“แม้การควบคุมเคล็ดวัฏสงสารและเคล็ดเวิ้งลึกล้ำจะขยับขั้นเล็กน้อย แต่เทียบกับกาลก่อนก็นับว่าพัฒนาขึ้นมาก”
“แต่ข้าไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของข้า ณ ยามนี้ทรงพลังขึ้นเพียงใด…”
ซูอี้เปรียบเทียบครุ่นคิด
ท้ายที่สุด เขาก็จนปัญญามิอาจชี้วัดความแข็งแกร่งของตนได้