บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1378: ชาติที่หก
ตอนที่ 1378: ชาติที่หก
นับแต่เขาบรรลุขอบเขตคืนสู่สามัญ วิถีเต๋าของซูอี้ก็เหนือล้ำกว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมและสูงจนไม่อาจเทียบได้กับเสิ่นมู่อีกต่อไป
และยามนี้ เขาก็อยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย
ราชันแห่งภูมิทั่วโลกหล้าไม่มีสิทธิ์เทียบตนกับเขา ทว่ายามเทียบกับตัวตนในวิถีจุติสรวงนั้นแตกต่างออกไปอย่างยิ่ง
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงในโลกหล้าส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอาสัญ!
ความแข็งแกร่งของวิญญาณอาสัญนั้นแตกต่าง
ยากยิ่งจะชี้วัดได้อย่างเฉพาะเจาะจง
“ไม่ว่าอย่างไร ตัวตนจุติสรวงในขอบเขตจิตทารกที่แท้จริงทั่วโลกหล้าจะมิใช่ศัตรูของข้าอีกต่อไป”
“ในโลกนี้ยังไร้ตัวตนจุติสรวงในขอบเขตรวมวิถีที่แท้จริง หากไปเทียบกับวิญญาณอาสัญในขอบเขตเดียวกัน พวกเขาก็มิใช่คู่ต่อกรของข้าเช่นกัน”
“วิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติมงคลท้ายที่สุดก็ถูกสยบด้วยกฎสวรรค์ และแม้ว่าข้าจะใช้พลังของดาบเก้าคุมขังในอดีต ข้าก็เอาชนะพวกเขาได้แค่การประลองเดี่ยวเท่านั้น”
“หากศัตรูในขอบเขตนี้ไม่ได้ถูกกฎสวรรค์สะกดอีกต่อมา อำนาจต่อสู้ก็คงยากประเมิน”
“ทว่ายามนี้ วิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลยังอยู่ภายใต้พันธนาการแห่งกฎสวรรค์ ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาได้คงประมาณครึ่งหนึ่ง”
“ด้วยเหตุนี้ หากไม่ใช้พลังดาบเก้าคุมขัง ข้าก็น่าจะฆ่าพวกเขายามเผชิญหน้าตัวต่อตัวได้แล้ว!”
…อันที่จริง ซูอี้มีความเสียใจอยู่
น่าเสียดายที่ศัตรูส่วนใหญ่เหล่านั้นเป็นวิญญาณอาสัญ หาใช่ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงจริง ๆ ไม่!
“จะว่าไป มันยังมีอีกอย่างหนึ่ง”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาทิ้งความคิดฟุ้งซ่านและตกสู่ภวังค์ความคิด
ในห้วงความนึกคิด เจตจำนงของซูอี้มุ่งตรงไปยังดาบเก้าคุมขัง
เมื่อครึ่งเดือนก่อน ยามที่การฝึกฝนของเขาทะลวงถึงขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลาง ดาบเก้าคุมขังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างน่าประหลาด
แม้จะละเอียดอ่อนยิ่งและเกิดเพียงหนเดียวก่อนจะนิ่งไป ซูอี้ก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี
และยามนี้ ดาบเก้าคุมขังก็ยังนิ่งอยู่ท่ามกลางห้วงความนึกคิดเช่นเดิม
เพียงแค่ว่าบนตัวดาบนั้นเหลือตรวนเพียงหกเส้น
“ข้ารู้นะว่าเจ้าฟื้นสติขึ้นมานิดหน่อยแล้ว”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซูอี้ก็กล่าวกับตรวนเส้นที่หกเบา ๆ “อยากออกมาคุยกันหรือไม่?”
ห้วงความนึกคิดเงียบสงัด มีเพียงเสียงของซูอี้สะท้อนอยู่
ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นตรวนเส้นที่หกก็ขยับไหวอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
โซ่ตรวนเสียดสีไปบนดาบเก้าคุมขัง จนเกิดระเบิดปราณออกมาอย่างรุนแรง ทำให้ห้วงความนึกคิดของซูอี้สั่นไหวไปกับมัน
สีหน้าของซูอี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ขณะสะกดความรู้สึกอึดอัดไว้ในใจ
ยามที่เขามีชีวิตอยู่ในกาลก่อนต้องมีฐานการฝึกฝนทรงพลังเพียงไร กรรมวิถีอดีตชาติในตรวนเส้นที่หกจึงมีอำนาจร้ายกาจเพียงนี้?
มิต้องสงสัยเลยว่าตรวนเส้นที่หกนี้คือชาติที่หกของเขา
ทว่าจนยามนี้ ซูอี้ก็ยังมิรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวตนในชาติที่หกคนนี้เลย
เปรี้ยง!
ตรวนเส้นที่หกไหวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งพิรุณแสงอำนาจดำทมิฬโปรยปรายอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ห้วงความนึกคิดของซูอี้สั่นสะท้าน
ห้วงความนึกคิดนั้นอยู่ในจิตวิญญาณ
ยามห้วงความนึกคิดได้รับผลกระทบ จิตวิญญาณของซูอี้จึงได้รับผลกกระทบไปด้วย มันได้สร้างความปวดร้าวสาหัสอันไม่อาจแก้ไขได้
ต้องทราบว่าพลังจิตวิญญาณของเขาในปัจจุบันเหนือชั้นกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ หรือก็คือสามารถเทียบกับตัวตนในวิถีจุติสรวงได้แล้ว
ทว่าเพียงเผชิญกับปราณจากตรวนเส้นที่หกในยามนี้ เขาก็เผยสัญญาณราง ๆ ว่ามิอาจสู้ไหว!
ตู้ม!
ทันใดนั้นดาบเก้าคุมขังก็ดูจะถูกปลุกให้ตื่นจากนิทรา ตัวดาบเปี่ยมคลื่นอำนาจเกินเข้าใจปกคลุมรอบตรวนเส้นที่หกไว้
ทันใดนั้นตรวนเส้นที่หกก็ถูกสะกดนิ่ง มันไม่อาจขยับไปไหนได้อีก แม้กระทั่งปราณก็ถูกเก็บเงียบและไม่กล้าแผ่ออกมาอีก
ซูอี้อดผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกในใจมิได้ จิตวิญญาณของเขาฟื้นขึ้นจากความบาดเจ็บร้ายแรง
ยามนั้นเอง เสียงหนึ่งก็รำพึงออกมาจากตรวนเส้นที่หก
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าช่วงกาลไม่เหมาะสม ไอ้ดาบเวรนี่หามอบโอกาสให้ข้าปรากฏตัวไม่!”
เสียงนั้นดังชัดถ้อย มุ่งร้าย เย็นชาไร้อารมณ์ ดุจหนึ่งดาบไร้ผู้เทียบ คมกริบทะลวงถึงหัวใจ
“ว่าแล้วเชียว เจ้าตื่นแล้ว”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
เขาฟื้นกิริยา สภาพจิตใจครบถ้วนสมบูรณ์
“อันใดกัน ยังอยากหลอมรวมอำนาจมหาวิถีของข้าหรือไร?”
เสียงจาก ‘ชาติที่หก’ กล่าวอย่างเย้ยหยัน “บอกตามตรงเลยนะ ข้าไม่ได้พบกับตัวตนอ่อนแอซึ่งมิเคยได้ก้าวสู่วิถีจุติสรวงเช่นเจ้ามาแสนนาน นานมาก ๆ แล้ว เจ้าต่างอันใดกับมดในโลกด้วยหรือ?”
ซูอี้กล่าวเตือนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเหลือเพียงอำนาจกรรมวิถี และข้าในยามนี้ถือครองดาบเก้าคุมขัง อนาคตยังสว่างไสว การหลอมเจ้าในภายหน้านั้นมิยากหรอก”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า “หรือหากจะให้กล่าวก็คือ แม้เจ้าจะเป็นอดีตชาติของข้า และข้าคือชาติปัจจุบันของเจ้า แต่ภายหน้าข้าก็จะยังเป็นข้า ส่วนเจ้าจะสูญสิ้นไป”
ชาติที่หกกล่าวเย้ย “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าผู้นี้ทิ้งกรรมวิถีอดีตชาติไว้ที่นี่เพื่อฟื้นคืนสู่โลกหล้าในสักวันต่างหาก และยามนี้ เจ้าก็ย่อมถูกเจตจำนงของข้าแทนที่และจะกลายเป็นข้าไปเองนั่นแหละ!”
น้ำเสียงนั้นเหยียดหยันแสนดูแคลน
ซูอี้ขมวดคิ้ว
จริงดังคาดคิดว่ากรรมวิถีอดีตชาติทั้งหลายในดาบเก้าคุมขังนั้นไม่ได้ดีเหมือนทัศนาจารย์กับเสิ่นมู่ไปเสียทุกคน
ชาติที่หกนี้เป็นตัวตนที่เย่อหยิ่งโอหังยิ่ง เขาชี้หน้ากล่าวตรง ๆ เลยว่าอีกฝ่ายจะยึดร่างแทนที่ตนในภายหน้า!
“กลัวหรือ?”
เมื่อเห็นซูอี้ไร้วาจา ตัวตนชาติที่หกก็อดแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชามิได้ “ความกล้าแค่นี้ จะพูดเรื่องการชี้ดาบทะลวงสวรรค์บรรลุเซียน และก้าวสู่จุดเหนือเซียนได้เช่นไร?”
เสียงนั้นนอกจากจะมีความเหยียดหยามยังมีความไม่พอใจอยู่อีกด้วย
ดูเหมือนว่ามาตรฐานแบบซูอี้คงจะใช้ไม่ได้ในฐานะร่างของเขาในชาตินี้
ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างมิใส่ใจ “ถามหน่อยสิ เจ้าเป็นเช่นไรยามอยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมิ?”
ชาติที่หกอดหัวเราะมิได้ “ยอมให้ข้าดูถูกตำหนิมิได้หรือ?”
“ตอบข้ามาก็พอ” ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ
ตัวตนชาติที่หกเสสรวลก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดังลั่นอย่างภาคภูมิ “ยามข้าอยู่ในสามขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่ละขอบเขตล้วนแต่เป็นที่ยกย่องในโลกหล้า ไร้เทียมทานในขอบเขตเดียวกัน ทั่วโลกหล้าไร้ผู้ใดเทียบกับข้าได้!”
ซูอี้แค่นเสียงกล่าว “ข้าต่างจากเจ้า”
“ต่างเช่นไร?”
“นับแต่ข้าอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ข้าก็ถูกเรียกได้ว่าอยู่เหนือตัวตนใดในราชันแห่งภูมิ และยามอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญ ข้าก็สังหารยอดคนจุติสรวงขอบเขตจิตทารกได้แล้ว”
ชาติที่หกเงียบไป
ห้วงความนึกคิดเงียบงัน
เงียบกริบเยี่ยงป่าช้า!
การตอบสนองเช่นนี้สามารถบรรยายถึงความผิดปกติได้แล้ว
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ขณะลอบกล่าวในใจว่าจริงตามนั้น ชาติที่หกนี้อาจจะเคยเป็นตัวตนอันทรงพลังยิ่ง ทว่าความสำเร็จในมหาวิถียามอยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นท้ายที่สุดก็เทียบกับเขาไม่ได้!
“จริงหรือ?”
ในที่สุดชาติที่หกก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่อไม่ลง
ซูอี้ว่า “ข้ายังรังเกียจเกินกว่าจะโกหกเพื่อข่มเจ้านะ”
ตัวตนชาติที่หกกล่าวอย่างเย็นชา “แค่นี้จิ๊บจ๊อย ข้าก็เคยสังหารยอดคนจุติสรวงผู้หนึ่งยามอยู่ในวิถีราชันแห่งภูมิเช่นกัน!”
ซูอี้ว่า “งั้นหรือ ข้ามิได้ยืมอำนาจภายนอกใด ๆ เพียงอำนาจมหาวิถีของข้าก็ทำได้เช่นนั้นแล้ว เจ้า… ก็ด้วยหรือ?”
คู่สนทนาเงียบไปอีกหน
บรรยากาศเงียบวังเวงชวนขนลุกซู่
ซูอี้ผ่อนคลายมากขึ้นทุกขณะ “บางทีเจ้าอาจไม่เชื่อ บางทีอาจมิยอมรับ แต่ข้าก็ควรบอกตรง ๆ ไว้ก่อนว่าไม่ว่าจะเป็นวิถีราชันแห่งภูมิ วิถีลึกล้ำ วิถีวิญญาณหรือวิถีต้นกำเนิด ข้าสามารถข้ามขอบเขตสังหารศัตรูในวิถีสูงกว่าได้ทั้งสิ้น แล้วเจ้า… เป็นเช่นนั้นหรือไม่?”
ห้วงความนึกคิดเงียบสงัด มีเพียงเสียงราบเรียบของซูอี้กังวานก้องทั่วแดน
ชาติที่หกผู้เย่อหยิ่งถือดีสงบวจีราวมิอาจโต้เถียง
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้เปรมปรีดิ์ยิ่ง
อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มิได้เดือดคลั่ง หรือหาข้ออ้างมาโต้เถียง
หลังจากนั้นเนิ่นนานชาติที่หกก็กล่าวขึ้น “หากเจ้ามิได้โกหกข้า ก็ไม่อาจเถียงได้ว่าใต้วิถีจุติสรวง ข้าผู้นี้ด้อยกว่าเจ้าจริง ๆ”
เสียงนั้นมิได้เย็นชาไร้อารมณ์เช่นกาลก่อน แต่ก็ยังเย่อหยิ่งอยู่ดี “ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ หากข้าฟื้นอำนาจกรรมวิถีได้โดยสมบูรณ์ การจะแทนที่เจ้าก็ง่ายดายนัก!”
ขณะที่กล่าว น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความโหยหาและคาดฝัน
ซูอี้ “…”
เห็นได้ชัดว่าตัวตนในชาติที่หกคนนี้ตั้งใจจะแทนที่เขาให้จงได้!
ทว่าซูอี้หากังวลไม่
นับแต่ยามที่เขาพูดคุยกับอำนาจมหาวิถีที่ทัศนาจารย์ทิ้งไว้ อีกฝ่ายก็พูดถึงปัญหานี้ขึ้นมาแล้ว
ยามนั้นซูอี้ตอบไปว่าเขาจะไม่มีทางให้อดีตชาติใด ๆ มาแทนที่ ต่อให้เกิดเหตุเช่นนั้น เขาก็จะฆ่าตัวตายทันที!
“ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าหรอก”
ซูอี้ว่า “อย่าบอกว่าเจ้าทำตอนนี้มิได้ ต่อให้เจ้ามีโอกาสในภายหน้า ข้าก็แค่เลือกฆ่าตัวตายเสีย”
“ฆ่าตัวตาย!?”
ชาติที่หกผงะ “นี่คือสิ่งที่นักดาบผู้ยอมตายมิยอมถอยจากศึกควรกล่าวหรือ?”
ซูอี้เมินเฉยต่ออีกฝ่ายและกล่าวว่า “ข้าเคยพบเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งคือในหมู่อดีตชาติทั้งหมด มีเพียงข้าที่ค้นพบเคล็ดวัฏสงสารและเป็นฝ่ายใช้มันเพื่อฝึกฝนใหม่โดยไม่พึ่งพาอำนาจดาบเก้าคุมขังอยู่คนเดียว”
“นี่ยังหมายความด้วยว่าหากข้าฆ่าตัวตาย ก็แค่หวนคืนสู่วัฏสงสารเท่านั้น ส่วนเจ้า… ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงอำนาจมหาวิถี เจ้าเทียบอันใดกับข้าได้หรือ?”
“วัฏสงสาร!!?”
ตัวตนในชาติที่หกตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “อำนาจวัฏสงสารที่เหล่าเทพมิยอมให้มีอยู่ เจ้าพบมันแล้วหรือ?”
น้ำเสียงของเขายากจะซ่อนความประหลาดใจได้ ราวกับปักใจเชื่อไม่ลง
ซูอี้ยังคงพูดต่ออย่างไม่แยแส “นอกจากนั้นข้ายังพบด้วยว่าในหมู่กรรมวิถีอดีตชาติมากมายที่ดาบเก้าคุมขังผนึกไว้ มิอาจรวบตัวกับกรรมวิถีอดีตชาติอื่น ๆ ได้เหมือนข้ายามมีชีวิต”
“เหมือนเจ้าซึ่งเป็นชาติที่หก ทว่ายามมีชีวิต เจ้าเคยรวมตัวกับกรรมวิถีอดีตชาติใด ๆ ในดาบเก้าคุมขังนี้บ้างหรือไม่?”
ชาติที่หกเงียบไป
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวว่า “ยามข้ายังมีชีวิต ดาบเก้าคุมขังมีตรวนเพียงห้า และข้าก็พยายามหล่อหลอมอำนาจมหาวิถีในตรวนทั้งห้านั่นมาก่อน”
“ก่อนที่ข้าจะเวียนวัฏ ข้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปลดตรวนเหล่านั้นเพื่อแสวงหาวิถีที่ข้าสามารถบรรลุไปต่อ ทว่าสุดท้าย… ก็ยังไร้ผล”
กล่าวถึงตรงนั้น เขาก็ถอนหายใจยาวราวกับเสียดายจวบยามนี้
“แต่ข้าทำได้ นั่นแหละที่ทำให้ข้าแตกต่างจากพวกเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม “บางทียามนี้ข้าอาจจะยังอ่อนแอมาก แต่ข้าถือครองอำนาจวัฏสงสารที่พวกเจ้าไม่มี และด้วยการพัฒนาการฝึกฝน ข้าก็สามารถหลอมรวมกรรมวิถีอดีตชาติที่เจ้าทิ้งไว้ได้ นั่นแหละคือที่มาความมั่นใจของข้า”
กล่าวจบ เขาก็กล่าวกับตรวนเส้นที่หกบนดาบเก้าคุมขัง “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าจะนำสิ่งใดมาประชันกับข้า? เจ้ายังคิดแทนที่ข้าอยู่หรือไม่?”
สองคำถามถูกถามติดกัน แต่ละข้อล้วนชำแรกถึงวิญญาณ!