บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1379: ยอดคนบรรจบชุมนุม
ตอนที่ 1379: ยอดคนบรรจบชุมนุม
ชาติที่หกเงียบไปอีกหน
นับแต่ซูอี้เอ่ยปาก เขาก็ต้องเงียบไปไม่รู้กี่หน
เขาดูพูดไม่ออกราวกับถูกโจมตีจิตใจหนแล้วหนเล่าจนเริ่มสงสัยเกี่ยวกับชีวิตของตนเองขึ้นมา…
ซูอี้ถอนหายใจยาวและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทรงพลังเพียงไรยามมีชีวิต แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต และยามนี้เจ้าก็เป็นเพียงพลังมหาวิถีที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น”
“ข้าในขอบเขตเดียวกัน ก้าวข้ามวิถีเต๋าดั้งเดิมของเจ้าไปแสนไกลได้ และในภายหน้าข้าก็จะก้าวข้ามจุดสูงสุดในชีวิตของเจ้าไปเช่นกัน”
“เจ้าควรจะดีใจเรื่องนี้นะ เพราะถึงอย่างไร เจ้ากับข้าก็เป็นหนึ่งบุคคล อดีตชาติปัจจุบันชาติหาแตกต่างไม่”
กล่าวจบ ซูอี้ก็กำลังจะออกจากห้วงความนึกคิด
ทว่ายามนั้น ชาติที่หกซึ่งเงียบมาตลอดพลันเสสรวลพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “ไฉนต้องมากความนักเล่า? มิใช่เพราะเจ้าในยามนี้อ่อนแอเกินไป! กลัวว่าข้าจะพยายามโจมตีหัวใจข้าเพื่อลบล้างความหมกมุ่นของข้าหรือกระไร?”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ
ชาติที่หกกล่าวขึ้นโดยมิรีรอให้เขาพูด “กล้าสู้กันหรือไม่?”
ซูอี้ถาม “สู้เช่นไร?”
น้ำเสียงของชาติที่หกฟังดูหนักแน่นและสุขุม “ภายหน้า ข้าจะให้เจ้าหลอมรวมพลังกรรมวิถีของข้าโดยไม่ขัดขืน!”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะเข้าใจทันที “เจ้าอยากใช้ความทรงจำและเจตจำนงก่อนตายของเจ้ามาสร้างอิทธิพลครอบงำจิตใจของข้า เพื่อให้ข้ากลายเป็นเจ้าอีกคนสินะ?”
“ถูกต้อง!”
ชาติที่หกกล่าว “เจ้าจะมองข้าเป็นมารหัวใจก็ได้ และหากจิตใจของเจ้าถูกความทรงจำและเจตจำนงของข้าแทงทะลุ เจ้าก็จะสูญเสียตัวตนและกลายเป็นข้าไปในที่สุด ซึ่งหมายความว่าข้าชนะ”
“แต่หากหัวใจวิถีของเจ้ายังมั่นคงจนหลอมรวมอำนาจกรรมวิถีของข้าอย่างสมบูรณ์และใช้เพื่อตัวเจ้าเอง มิถูกข้าส่งอิทธิพลครอบงำ งั้นเจ้าก็ชนะ”
วาจาของเขาตรงไปตรงมา กระชับ เปิดเผยและหยิ่งทะนง!
ซูอี้เสสรวล
“เจ้าถนัดหรือ?” ชาติที่หกผงะไป
ซูอี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “ข้ารวมตัวกับกรรมวิถีมาแล้วสองชาติ ไม่ได้ถูกความรู้สึกใดรัดพัน หัวใจมิสับสน และมิได้รับผลกระทบใด ๆ จวบยามนี้”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายอย่างคาดหวัง “ข้าออกจะหวังให้พลังวิถีของเจ้าแข็งแกร่งพอด้วยซ้ำ ข้าจะได้ใช้มันเพื่อขัดเกลาตนได้ ยิ่งอันตรายยิ่งดี!”
ชาติที่หกอดหัวเราะมิได้ “ตอนที่ข้ายังมีชีวิต ข้าก็คาดหวังเช่นนั้นแหละ เกลียดสวรรค์ไร้จำกัด ชังแดนดินไร้เหนี่ยวรั้ง! ทั่วโลกหล้ายากหาผู้ใดเป็นศัตรูเทียบเคียง”
หากสรวงสวรรค์จำกัด ก็ลากสวรรค์ให้จมลง
หากผืนปฐพีเหนี่ยวรั้ง ก็ยกแดนดินขึ้น!
นี่คือวาจาที่กล่าวว่า ‘เกลียดสวรรค์ไร้จำกัด ชังแดนดินไร้เหนี่ยวรั้ง’
เมื่อซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็กล่าวว่า “งั้นเมื่อยามนั้นมาถึง เราจะสู้กัน!”
“ตกลงตามนั้น!”
ชาติที่หกเต็มไปด้วยความคาดหวัง วาจาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ยามนี้ข้าฟื้นสติขึ้นมาบ้างแล้ว หากไร้อุบัติเหตุใด ข้าก็รอเพียงโอกาสออกจากที่นี่เท่านั้น!”
“ยามนั้นขึ้นกับว่าเจ้าหรือข้าผู้ใดจะชนะเท่านั้น!”
ซูอี้จ้องมองตรวนเส้นที่หกในห้วงความนึกคิดอย่างลึกล้ำ
…
ร่างของซูอี้ทอดกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเงียบงันอยู่ภายในห้องพัก
ชาติที่หกคนนี้เป็นตัวตนอันตรายยิ่ง เขาเย่อหยิ่งโอหัง ถือตัวและกระทั่งบ้าคลั่ง
สภาพจิตใจของตัวตนเช่นนี้ย่อมทรงพลังและดื้อดึงกว่าที่เขาคาดคิด ขอเพียงคิดจะทำการใด เขาจะไม่มีทางยอมถอยแม้แต่น้อย!
“นี่… มิใช่สิ่งที่ข้ารอคอยที่สุดหรอกหรือ?”
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็แย้มยิ้ม
ข้าจัดการเรื่องของข้าเพื่อเป็นตนเอง!
…
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ยามเย็นของสี่วันถัดมา มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู
ซูอี้ผู้กำลังขัดเกลากรรมวิถีของตนได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้นทันที
“มีอันใดหรือ?”
เมื่อเปิดประตู เขาก็พบว่าหลวงจีนคงจ้าวยืนรออยู่
“ออกไปดูสิ ด้านนอกภูเขาจันทร์กระจ่างมีคนมาออเป็นทะเลแล้ว ไม่อาจทราบได้เลยว่ามียอดฝีมือจากกลุ่มเต๋าโบราณมารออยู่เนิ่นนานเพียงไร”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าวรัวเร็ว
ซูอี้ผงะไป จากนั้นก็จำได้ทันทีว่ารับปากช่วยปลดคำสาปให้ยอดฝีมือจากกลุ่มเต๋าโบราณไว้
และพรุ่งนี้คือวันที่ตกลงกัน!
“บรรพชนของข้าบอกว่ายามนี้มีกลุ่มเต๋าโบราณมาทั้งสิ้นสิบหกแห่ง และวิญญาณอาสัญพวกนั้นรวมกันก็หลายพันตน!”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าวอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย “ในหมู่พวกเขา นอกจากตัวตนขอบเขตรวมวิถีลงไปก็มีผู้อาวุโสในขอบเขตจุติมงคลอีกหลายคนด้วย!”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มบาง “เรื่องนี้มีอันใดให้กังวลกัน? พวกเขามาขอความช่วยเหลือจากข้า หามาป่วนปั่นกันไม่”
หลวงจีนคงจ้าวส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “บรรพชนของข้าบอกว่าเรื่องนี้มีผู้รู้เห็นมากเกินไป จนเกิดเป็นเสียงเล่าลือสนั่นโลกา ตัดความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ฉวยโอกาสมาก่อเรื่องราวมิได้หรอก!”
ซูอี้กล่าวอย่างกระตือรือร้น “จริงหรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวผงะ “เจ้า… ไยจึงดูยินดีกัน?”
ซูอี้กล่าวว่า “ข้ากังวลอยู่ว่าจะไม่มีหินลับดาบมาทดสอบความแข็งแกร่งของข้า ย่อมหวังว่าจะมีผู้มาก่อกวนอยู่แล้ว”
หลวงจีนคงจ้าว “…”
เมื่อเห็นร่างของเขาหายลับไปในราตรี ซูอี้ก็เข้าห้องไปทั้งรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
…
รุ่งสางถัดมา
ด้านนอกภูเขาจันทร์กระจ่างอัดแน่นไปด้วยผู้ฝึกตนทั่วภูเขาไปหมด เสียงของผู้คนดังเซ็งแซ่
“ในที่สุดก็ถึงวันนี้”
หลีจงรำพึง
เขาพาวิญญาณอาสัญมาหลายร้อยตน แต่ละคนล้วนเป็นผู้ใต้บัญชาของม่อชิงโฉวทั้งสิ้น
และจากสายตาของหลีจง ในบริเวณภูเขาจันทร์กระจ่างนี้มียอดฝีมือจากกลุ่มเต๋าโบราณมาแออัดกันอยู่หมื่นกว่าตน
สัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นเขามีให้เห็นเต็มไปหมด
ทุกผู้ล้วนดูคาดหวัง
ในฐานะวิญญาณอาสัญ ใครบ้างจะมิโหยหาการปลดคำสาปออกจากร่าง หวนคืนร่างวิถีและฝึกฝนคืนวิถี?
“จอมภูตมู่หลิง มารดาบสกุลหวง บุตรเมฆาสกุลเยียน เจ้าเฒ่าพวกนี้มาออกันที่นี่หมด…”
หลีจงรู้จักผู้เฒ่าเหล่านี้บางคน พวกเขาล้วนแต่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต
ไม่นานนัก หลีจงก็ขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้มีขุมกำลังโบราณสิบสี่แห่งที่เสนอตนช่วยเหลือซูอี้ค้นหาที่อยู่ของช่างเสื้อ
ทว่ายอดฝีมือโบราณที่อยู่ภายในบริเวณภูเขาจันทร์กระจ่างมีมากกว่าสิบสี่แห่งนี้เสียอีก!
“ดูเหมือนสถานการณ์วันนี้น่าจะพลิกผันมากพอดู”
ดวงตาของหลีจงวูบไหวด้วยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ต้องทราบว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูอี้ กลุ่มเต๋าโบราณทั่วโลกหล้าแทบมิกล้าลงมือบุ่มบ่าม
ทว่าด้วยเหตุนี้ หากมีผู้ใดกล้ามาหาเรื่อง พวกเขาต้องเตรียมตัวมาดีและไม่กลัวที่จะประกาศสงครามกับซูอี้!
หลีจงคิดในใจ
ทันใดนั้น ไกลออกไปก็มีเสียงอื้ออึง
“ออกมาแล้ว!”
“นั่นคือทัศนาจารย์ผู้ควบคุมสังสารวัฏหรือ? อ่อนเยาว์จริง ๆ เยาว์วัยยิ่งนัก!”
ในแดนดินใกล้เคียง ทุกผู้หยุดสนทนา ดวงตากวาดมองไปทางภูเขาจันทร์กระจ่างอย่างพร้อมเพรียงกัน
และพบว่าภายใต้แสงจากนภา กลุ่มคนกำลังเดินออกมาจากภูเขาจันทร์กระจ่าง
ผู้นำเป็นชายหนุ่มรูปงามร่างสูงในอาภรณ์สีเขียว กิริยาผ่อนคลายสุขุมสูงส่ง
เขาคือซูอี้!
และนอกจากซูอี้ ก็มีเซียนดาบชิงซื่อ ดาบพุทธะสรรพสุญตาและอารักษ์บัญชีตามมา
เมื่อพวกเขาปรากฏกาย ก็กลายเป็นจุดสนใจโดยพลัน!
เสียงอื้ออึงทั่วฟ้าดินเองก็เงียบสงัดลง
ไม่ว่าจะเป็นซูอี้ เซียนดาบชิงซื่อหรือดาบพุทธะสรรพสุญตา พวกเขาล้วนสงบสุขุมเมื่อเผชิญกับสายตาของผู้คน
มีเพียงอารักษ์บัญชีที่อ้าปากค้างและตัวแข็งเกร็ง
ขุมกำลังโบราณมากกว่าสิบแห่ง!
วิญญาณอาสัญจุติสรวงนับพัน!
คนทั่วไปย่อมมิอาจสงบใจกับภาพเช่นนี้ได้
“ทำให้ทุกท่านรอแล้ว”
ซูอี้กุมกำปั้นคำนับและกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
หลีจงคำนับและกล่าวขึ้นทันที “สหายเต๋าซูมิต้องเกรงใจ สหายผู้ฝึกตนทั้งหลายที่นี่ล้วนจะได้รับชีวิตใหม่ เรื่องรอยากเย็นอันใด?”
ทุกผู้ในบริเวณล้วนแย้มยิ้มและพยักหน้า
ซูอี้มิชอบเรื่องมากพิธี จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับเซียนดาบชิงซื่อที่อยู่ข้างกาย
แล้วเซียนดาบชิงซื่อก็สะบัดแขนเสื้อทันที
ตู้ม!
หนึ่งปราณดาบขีดเส้นลงบนพื้นตรงหน้า
“โปรดอย่าแตกแถว พวกท่านจงรออยู่ด้านหลังรอยดาบนี้”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวอย่างสุขุม น้ำเสียงของเขาสะท้อนทั่วฟ้าดินดุจวจีดาบ “หากมีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง อย่าหาว่าดาบของข้าผู้นี้ไร้ปรานี”
ทันทีที่วาจาถูกเปล่งออกไป หัวใจของคนทุกผู้ก็หนาวยะเยือก
เซียนดาบชิงซื่อ!
หนึ่งในนักดาบสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลแห่งโบราณกาลซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้ครอบครองดาบเลิศจักรวาล เกียรติภูมิยิ่งใหญ่สูงส่ง ใครเล่าจะมิรู้จัก?
“พี่มู่ เจ้ามาก่อนเลย”
เซียนดาบชิงซื่อมองไปยังบริเวณใกล้เคียงซึ่งมีสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลยืนอยู่หกคน พวกเขาล้วนมีปราณแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
พวกเขาคือจอมภูตมู่หลิง มารดาบสกุลหวง บุตรเมฆาสกุลเยียนและคนอื่น ๆ ที่หลีจงจำหน้าได้ก่อนหน้านี้
และสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ก็คือสหายเก่าของเซียนดาบชิงซื่อ
ขณะเดียวกัน ดาบพุทธะสรรพสุญตาก็กล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋าหลีจง พวกเจ้าเข้าแถวรอต่อเลย”
“ได้!”
หลีจงตอบรับทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ กลุ่มเต๋าโบราณอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ล้วนไร้ผู้ใดโต้แย้ง
ก็แค่เรียงแถว ขอเพียงทำลายคำสาปในร่างได้ ใครเล่าต้องสนเรื่องนี้?
“คารวะสหายเต๋าซู”
จอมภูตมู่หลิงและพวกมารดาบสกุลหวงก้าวเข้ามาคารวะซูอี้อย่างสุภาพ หามีผู้ใดเสียมารยาทไม่
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “เรื่องวันนี้ยุ่งยาก ข้าจะมิพูดกับพวกท่านนานกว่านี้นะ”
“ย่อมเป็นตามนั้น”
พวกจอมภูตมู่หลิงพยักหน้า
จากนั้นซูอี้ก็กำจัดคำสาปในร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหกตนทันที
ภายใต้ความสนใจของทุกผู้ พวกเขาเห็นชัดเจนว่าคำสาปบนร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ถูกซูอี้ลบทิ้งอย่างราบรื่น
ภาพนั้นทำให้หลายคนดวงตาร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัว เฝ้ารอให้ถึงตาตนมากขึ้นทุกที
ตัวตนอาวุโสบางผู้กระทั่งทอดถอนใจ คำสาปที่จองจำคนเหล่านี้ได้ทรงพลังร้ายแรงเพียงไร กระทั่งวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังมิอาจสลัดหลุด!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ผู้ถือครองอำนาจวัฏสงสาร มันกลับถูกปลดเปลื้องได้อย่างง่ายดาย!
เทียบกันแล้ว ใครเล่าจะอดมิทอดถอนใจไหว?
“ขอบคุณสหายเต๋าซู ขอบคุณสหายเต๋าซู!”
จอมภูตมู่หลิงรู้สึกตื่นเต้นจนกล่าววาจาไม่เป็นศัพท์ พวกเขาแต่ละคนรู้สึกยินดีเสียจนเสียกิริยา
ไม่มีผู้ใดหัวเราะขำ ทว่ากลับรู้สึกสะเทือนใจเหลือเกิน
กลายเป็นเพียงวิญญาณอาสัญ คนก็มิใช่ ผีก็มิเชิง ถูกคำสาปจองจำ ความทรมานเช่นนี้เป็นเช่นสัตว์ร้ายในกรง มิอาจฟื้นคืนวิถีได้!
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมิกล้าคาดเดาเลยว่าหากไร้ซูอี้ผู้ควบคุมวัฏสงสาร สถานการณ์ของพวกเขา… จะสิ้นหวังเพียงใด!
………………..