บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 138 หักข้อมือ บังคับคุกเข่า
บรรยากาศอึมครึมหม่นมัว
เหล่าแมลงร่ำร้อง แผดเสียงอันน่ารื่นรมย์ตามประสาเดรัจฉานไม่รู้ความ
ชายวัยกลางคนถือดาบนิ่งงันอยู่ตรงหน้าเสาหิน คิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากยังคงปิดเงียบ
ฉาจิ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนถ้อยจะเอ่ยออก “คุณชายซูมีดวงตาที่แหลมคม สามารถทำนายสิ่งต่าง ๆ ได้ราวเทพเซียน ผู้ต่ำต้อยคนนี้ชื่นชมอย่างสุดซึ้ง ทว่าคุณชายโปรดรับฟังเงื่อนไขอีกสักเล็กน้อยได้หรือไม่ จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกคราก็ยังไม่สาย”
ซูอี้ยกมือขึ้นและเทสุราใส่จอกให้นาง “เชิญ”
กระทำโดยตั้งใจ
ดื่มก่อน สนทนาทีหลัง
แลเห็น ชายวัยกลางคนถือดาบที่ด้านข้างเสาหินมีปฏิกิริยาในที่สุด เขาหันศีรษะไปมองที่ซูอี้บนเก้าอี้หวายและเอ่ยอย่างเฉยเมย “นางไม่ดื่ม!”
ซูอี้ไม่สดับฟัง ทำเป็นเพิกเฉย
แม้การบังคับสตรีให้ร่วมดื่ม จะเป็นเรื่องไม่พึงกระทำ
ทว่าสำหรับซูอี้ การมาถึงของฉาจิ่นไม่เพียงแต่น่ารำคาญใจ แต่ยังสร้างปัญหามากมาย
ดังนั้นแล้ว เขาจึงหาได้สนใจ ว่าการบังคับให้สตรีเจ้าปัญหานางนี้ร่วมดื่ม จะเป็นเรื่องหยาบคายหรือไม่
ฉาจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มและพูดเบา ๆ ว่า “ลุงเซียง ไม่เป็นไร แม้ว่าข้าจะไม่เคยดื่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าดื่มไม่ได้ ขอเพียงทำให้คุณชายซูประทับใจได้ ความเมามายในคืนนี้ก็นับว่าคุ้มค่า”
เพียงสิ้นเสียงเอ่ย นางยกจอกขึ้นดื่มรวด ใบหน้าที่สะอาดและสวยงามบังเกิดเลือดฝาดสีแดง ดูละเอียดอ่อนชวนให้ลุ่มหลงในทันที
นางเลียริมฝีปากสีดอกกุหลาบด้วยปลายลิ้น ราวกับนางกำลังลิ้มรสที่ตกค้างอยู่ให้หมดสิ้น และพูดทันทีด้วยรอยยิ้มว่า “วิถีดาบของคุณชายซูลึกล้ำ สามารถฆ่าปรมาจารย์ได้ภายในดาบเดียว ด้วยอายุอานามเพียงเท่านั้น ความสำเร็จในอนาคตย่อมไม่ต่ำเตี้ย
“แต่คุณชายซูต้องพึงรู้ ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งต้องการทรัพย์ ทรัพยากรการฝึกฝนนั้นล้วนหายากและมีค่ายิ่ง และทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนระดับสูงทั้งหลายเกือบทั้งหมดถูกควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพลระดับสูงในต้าโจว”
ระหว่างที่เอื้อนเอ่ย ซูอี้คล้ายไม่ใส่ใจ ยังคงรินสุราให้นางอีกหนึ่งจอก
ทว่า ครั้งนี้ไม่มีแม้แต่คำว่า ‘เชิญ’ แม้แต่คำเดียว
ฉาจิ่นตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นยกจอกขึ้นดื่มอีกคราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “หากคุณชายเต็มใจรับใช้องค์ชายรอง ผู้ต่ำต้อยสามารถรับประกันได้ว่าคุณชายจะไม่ต้องกังวลกับการฝึกฝนในอนาคตอีกต่อไป นอกจากนี้หากคุณชายทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในอนาคต คุณชายย่อมได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง หรือแม้แต่ครองตำแหน่งเป็นเสนาบดีย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน!”
ซูอี้ถอนหายใจเบา “เจ้ารู้ไหมว่าโจวจือหลีสัญญากับข้าอย่างไร”
“ผู้น้อยอยากฟังให้รายละเอียด”
ซูอี้กล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “เขาสัญญากับข้าถึงตำแหน่งราชครู ส่งมอบความมั่งคั่งจนเทียมฟ้า แสวงหาสมบัติล้ำค่าเพื่อเพียงปรนเปรอข้าผู้เดียว”
ฉับพลัน ฉาจิ่นใบหน้าแข็งค้างพลางเอ่ยออกด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไร? ราชครูคนปัจจุบันคือหงเซินชาง มีสถานะสูงส่งเป็นอันดับสองรองเพียงจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งต้าโจว หาได้เป็นไปได้ไม่ที่องค์ชายลำดับหกจะทรงอำนาจอิทธิพลเพียงพอถ่ายเปลี่ยนตำแหน่งราชครูได้ด้วยคำไม่กี่คำ”
ชายวัยกลางคนถือดาบอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนจะอดใจไม่ไหว ถ้อยคำเอ่ยออกเย็นชา “หนึ่ง ในบรรดาองค์ชายทั้งแปด องค์จักรพรรดิโปรดปรานองค์ชายหกน้อยยิ่งกว่าใคร สอง เขาไม่เคยถืออำนาจที่แท้จริง และสถานะของเขาในราชวงศ์นั้นด้อยกว่าองค์ชายคนอื่น ๆ ยิ่ง”
“เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าลาภใหญ่จะตกลงมาจากฟากฟ้าดังเช่นที่เจ้าคิด หรือเจ้าคิดแสร้งกระทำตนเป็นราชสีห์วางแผนจะใช้โอกาสนี้เพื่อรีดไถผลประโยชน์?”
ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของราชวงศ์ และเขาค่อนข้างไม่พอใจกับคำพูดของซูอี้ โดยคิดว่าซูอี้มีแรงจูงใจซ่อนเร้นในการเอ่ยประโยคเมื่อครู่
ฉาจิ่นคล้ายกับสามารถสงบลง ชั่วอึดใจนางเอ่ยต่อเสียงเบา “คุณชายซู ลุงเซียงมีนิสัยเถรตรง โปรดอย่าได้ถือสา แต่กระนั้นแล้ว เท่าที่ผู้ต่ำต้อยรู้ สถานการณ์ขององค์ชายหกในราชวงศ์… จริง ๆ แล้วเป็นไปตามที่ลุงเซียงเอ่ยอย่างไม่ผิดเพี้ยน”
ซูอี้เทสุราอีกคราให้ฉาจิ่นและกล่าวว่า “ข้ารินให้เพียงสามจอก หลังจากดื่มจอกนี้แล้ว จงจากไปเสีย”
น้ำเสียงเจือปนด้วยความรำคาญที่ไม่อาจปิดบัง
ชายวัยกลางคนจ้องเขม็งไปยังซูอี้
ขณะนี้ ดวงตาของเขาราวกับดาบคมคู่หนึ่งที่ฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืนออกเป็นริ้ว แสงอันเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัวพลันกระจายออก
อากาศรอบด้านแข็งค้าง คล้ายกับกลายเป็นน้ำแข็ง มันกดขี่หนักหนาจนผู้คนหายใจลำบาก
นี่คือพลังของปรมาจารย์วิถียุทธ์อันน่าสะพรึง!
“หนุ่มน้อย มีความทะเยอทะยานสูงเป็นสิ่งดี แต่เจ้าทำตัวราวกับมีตาอยู่เหนือหัว คุณหนูฉาจิ่นของข้าเอ็นดูความสามารถของตัวเจ้า ดังนั้นนางจึงคิดริเริ่มในการชักชวน ไม่เช่นนั้นแล้ว เจ้าอย่าได้คิดว่าตัวตนเช่นองค์ชายรองจะแลมองให้ค่าในตัวเจ้า!”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างเย็นชา คำพูดของเขาทั้งคมคายและก้าวร้าว
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในบัดดล
“มีคนร่ำลือบอกว่าเจ้ามีพลังฆ่าปรมาจารย์ด้วยดาบเดียว แต่ปรมาจารย์ที่เจ้าสังหารหาได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เขาใช้วิชาต้องห้ามทำลายตนเองก่อนที่เจ้าจะออกหน้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่มีทางจบชีวิตอีกฝ่ายได้อย่างเรียบง่ายไร้รอยขีดข่วน”
ดวงตาของชายวัยกลางคน ยิ่งมายิ่งเย็นชาและดูถูก “สรุปทั้งสิ้นแล้ว คือตอนนั้นเจ้าเสี่ยงโชคและชนะเพราะโชคช่วย!”
ฉาจิ่นกลอกตาไปมา นางพยายามฝืนยิ้มเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “ลุงเซียง คุณชายซูจะธรรมดาได้อย่างไร อย่างไรเสียคุณชายก็สังหารปรมาจารย์ได้ด้วยดาบเดียวจริง”
“แน่นอนว่าไม่ธรรมดา แต่ต้องย้ำเตือนว่าบนโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า!”
ชายวัยกลางคนที่ถือดาบเอ่ยอย่างเฉยเมย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีเมื่อวาน?” สีหน้าของซูอี้สงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาของเขายังคงมองไปยังจอกสุราที่เทให้ฉาจิ่นบนโต๊ะ
“เกิดอะไรขึ้นที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี?”
ฉาจิ่นประหลาดใจ มองไปยังชายวัยกลางคนโดยไม่รู้ตัว
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและพูดว่า “ว่ากันว่าฉินเหวินเยวียนและลูกชายถูกสังหารโดยบุรุษหนุ่มลึกลับและทรงพลัง เจ้าถามเพื่ออะไร?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉาจิ่นก็กระพริบตาและพูดติดตลกว่า “คุณชายซู หรือท่านอยากจะบอกเราว่าบุรุษหนุ่มลึกลับที่ฆ่าพ่อลูกตระกูลฉินคือท่าน?”
“เจ้าเดาถูกแล้ว”
ซูอี้พูด หยิบจอกสุราบนโต๊ะก่อนจะเทราดลงบนพื้น “ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย หายไปจากสายตาของข้าตอนนี้ มิฉะนั้น…”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย กล่าวออกยิ้มรอยเล็กน้อย “นับจากนี้พวกเจ้าคงไม่อาจกลับ…”
แม้ว่าจะเผยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งอารมณ์
ใบหน้าของฉาจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันลุกขึ้นและถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธเคือง “คุณชายซู ข้ามาด้วยไมตรี โปรดอย่าหยอกเย้ากันเช่นนี้!”
นางยังคงไม่เชื่อ ว่าซูอี้เป็นบุรุษลึกลับที่ฆ่าฉินเหวินเยวียน และลูกชาย
ชายวัยกลางคนอดหัวเราะไม่ได้ เจตนาฆ่าปะทุพุ่งพล่าน ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างเย็นชา “ดี! ถ้าเช่นนั้นข้าจะพูดแบบตามตรง หากวันนี้เจ้าไม่ตกลง เพื่อไม่ให้ตัวตนของเรารั่วไหล เจ้าและทุกคนในเรือนนี้ย่อมต้องตกตายจนหมดสิ้น!”
“เป็นดังคาด”
ดวงตาของซูอี้ไร้ซึ่งแววเศร้าและแววสุข “ดูเหมือนว่าข้าซูอี้เสวนาเก่งเช่นเคย”
เขาก้าวไปข้างหน้า
ใบหน้างามสะพรั่งของฉาจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณชายซู เหตุใดถึงต้องดื้อรั้นเช่นนี้?”
ชิ้ง!
เสียงกระชากดาบดังออก ลุงเซียงผู้กอดฝักตลอดเวลา เผยคมดาบศาสตราวิญญาณอย่างภาคภูมิ ใบดาบสีม่วงพ้นออกจากฝัก เปล่งประกายระยิบระยับน่าอึดอัด
ชื่อของดาบคือ ‘ประกายม่วง’
ได้รับการหล่อสร้างโดยไช่หย่ง ปรมาจารย์ตีดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครหลวงอวี้จิง ประกอบด้วยวัตถุวิญญาณถึงแปดสิบเอ็ดชนิด!
เมื่อดาบพลันอยู่ในอุ้งมือ รัศมีกดดันของลุงเซียงเปลี่ยนแปรไปอย่างกะทันหัน เผยความยิ่งใหญ่และเฉยเมยจนเด่นชัด อหังการราวกับแสงจันทราซึ่งหาญกล้าท้าทายความมืดมิดในยามราตรี
“ยอมจำนนต่อดาบข้า มิฉะนั้นจะตกตาย จงเลือกเอาเอง”
ลุงเซียงพูดอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉาจิ่นจึงออกจากศาลาโดยไม่ลังเล แต่เมื่อนางหันกลับไปมองที่ซูอี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดใจ
ดื้อรั้นจนเกินควร นำพิบัติสู่ตนอย่างโง่เขลา
นางอดไม่ได้ที่ลอบถอนหายใจ
“ชักดาบต่อหน้าข้าหรือ?”
ร่องรอยเย้ยหยันปรากฏขึ้นในตา มุมปากซูอี้ยกยิ้มอย่างดูถูก “รับฟังไว้ ภายในสามกระบวนท่า ข้าจะหักข้อมือขวาของเจ้า บังคับให้เจ้าคุกเข่าและเด็ดหัวของเจ้าออก!”
หลังจากเอ่ยสิ้น นัยน์ตาลึกของเขาฉายแววเย็นวาวน่ากลัว
และมือขวาของเขายื่นตรงออกเหมือนดาบ
“รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของลุงเซียงเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
วิ้ง!
พลังมหาศาลที่โคจรไว้หลั่งไหลไปยังใบดาบม่วงระยิบ ส่งเสียงควบแน่นดังหึ่งก้องกังวาน
ฟั่บ!
ดาบประกายม่วงฉายประกายคมม่วงหลากสาย มันบาดคมเชือดเฉือนแม้กระทั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน
ราวกับฟ้าแลบแปลบปลาบจนแสบตา
แม้แต่ฉาจิ่นผู้มาด้วยกัน เห็นฉากนี้ยังตื่นตระหนก ความคิดหวาดเกรงยากอธิบายผุดขึ้นในใจ
ลุงเซียงเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ระดับสูงภายใต้องค์ชายรอง เขามีชื่อเสียงมากว่าสิบปี วิชาขึ้นชื่อของเขาคือ ‘เพลงดาบอัคคีฟ้าคำรณ’ ซึ่งโด่งดังทั่วทั้งสี่ทิศ แม้เป็นคนรุ่นเดียวกันยังต้องเยินยอให้สามส่วน!
เฉกเช่นเดียวกับดาบนี้ที่สุ่มฟันออก แม้จะธรรมดาเรียบง่าย แต่แฝงไว้เจตจำนงแห่งมือดาบผู้ช่ำชองสุดขีด!
แต่กระนั้นแล้ว ซูอี้ผู้ตกเป็นเป้ากลับไม่หลบหรือหลีกเลี่ยง มือขวาของเขาเหยียดออกอย่างโอหัง
ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กลับลึกลับคล้ายกับสามารถปัดเป่าเมฆลบเลือนดวงอาทิตย์!
หืม?
เปลือกตาของลุงเซียงพลันหรี่ลง
ประสบการณ์การต่อสู้มากมายร้องบอกให้เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างเร่งด่วน จากนั้นท่าทางออกดาบพลันแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงและซับซ้อนเหลือคณา
ปราณดาบแผ่ออกปกคลุมทั่วทั้งศาลา คมดาบปราดเปรียวแต่มั่นคง ทำให้ผู้คนรู้สึกไร้ต้านและยินยอม!
ทว่ามือขวาของซูอี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีเพียงปลายนิ้วบังเกิดแสงจ้าในพริบตา
เคร้ง!!
เมื่อปลายนิ้วสัมผัสดาบประกายม่วง เสียงสะท้อนดังกึกก้องไปทั่วเรือนเงียบสุขสงบ
ปราณดาบม่วงอันไร้ที่ติของลุงเซียงสลายออกคล้ายฟองอากาศในทันใด
ทันใดนั้น ไม่พูดพร่ำให้มากความ ปลายนิ้วของซูอี้ไล่ตามดีดสะบัดแผ่วเบา… ที่ข้อมือขวาของลุงเซียง!
ฉัวะ!
คล้ายกับแค่ลมพัดอันแผ่วเบา ราวกับลมฤดูใบไม้ผลิยามฝนพรำ กระนั้น อำนาจฤทธากลับสวนทาง มันคมราวกับมีดอันดับหนึ่งแห่งโลกหล้า ตัดข้อมือขวาของลุงเซียงได้อย่างง่ายดาย
มือขวาและดาบประกายม่วงกระเด็นบินไปที่พื้น ข้อมือที่ขาดนั้นเรียบเนียนเหมือนกระจก เลือดสด ๆ พวยพุ่งราวกับน้ำพุ
ลุงเซียงเจ็บปวดและตื่นตระหนกจนหายใจสะดุด
ไม่คาดคิด แค่เพียงหนึ่งนิ้วจะทรงอำนาจขนาดตัดข้อมือขวาของเขาในคราวเดียว!
เจ้าหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงนี้ได้อย่างไร?
ด้วยสัญชาตญาณแห่งความอยู่รอด ลุงเซียงคิดจะถอยหนีในพลัน
ทันใดนั้น เสียงที่ไม่แยแสของซูอี้ดังขึ้นอีกครา
“กระบวนท่าที่สอง”
ซูอี้ยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะควบแน่นปราณวิญญาณไว้ที่ฝ่ามือ แสดงท่าทางเหยียดแขนออก ฝ่ามือคว่ำไปเบื้องหน้าก่อนจะสะบัดมือตบลงล่างอย่างรุนแรง
ท่าทีไม่ต่างจากเทพสวรรค์บดขยี้ภูผาด้วยฝ่ามือ สยบปฐพีด้วยมือเดียว!
ตูม!
อากาศที่อยู่ใกล้เคียงระเบิดออก เพราะไม่อาจทานทน
แลเห็นฝ่ามือยักษ์อันกำเนิดจากปราณของซูอี้ อยู่เหนือหัว แถมยังแพรวพราวราวกับของจริง อำนาจของมันกดข่มลงเรื่อย ๆ แม้ว่าลุงเซียงจะพยายามต้านทานอย่างเต็มที่ แต่เพียงเวลาชั่วอึดใจ เขาก็ถูกกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง เข่าทรุดกระแทกพื้นแตกกระจาย
ยอดเยี่ยมเกินไป การโจมตีครั้งนี้รุนแรงยิ่งยวดเหลือจะกล่าว ไม่ต่างอะไรกับการตบแมลงวัน แรงกดขี่ขนานนี้ย่อมสามารถทำลายทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์
“นี่…”
ดวงตาของลุงเซียงแทบจะถลนออกเพราะแรงกดทับ เขาตกใจมากจนหวาดกลัว
ฉาจิ่นในระยะไกลก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้นจากภวังค์และความสับสน เสียงกรีดร้องดังออกจากริมฝีปากเร่งร้อน “อย่า!”
ซูอี้คร้านใส่ใจจะฟัง พลันเปลี่ยนฝ่ามือเหยียดออกคล้ายมีด และออกท่วงท่าสะบัดเฉืยนอย่างเรียบง่าย
หัวของลุงเซียงถูกปลิดลอยขึ้นไปในอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้ นับประสาอะไรจะต่อต้าน
แม้ตาย ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความสยดสยองและความไม่เชื่อที่ตรึงใจ
ในหูของเขา คำพูดของซูอี้เมื่อครู่ยังสะท้อนก้อง
“รับฟังไว้ ภายในสามกระบวนท่า ข้าจะหักข้อมือขวาของเจ้า บังคับให้เจ้าคุกเข่าและเด็ดหัวของเจ้าออก!”