บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1380: หาเรื่อง!
ตอนที่ 1380: หาเรื่อง!
เมื่อจอมภูตมู่หลิงและสัตว์ประหลาดเฒ่าตนอื่นจากไป พวกเขาแต่ละคนล้วนทิ้งถุงสัมภาระไว้หนึ่งถุง
ทุกผู้ต่างกล่าวว่าเป็นเจตนาดีจากพวกตน ขอซูอี้อย่าได้เกี่ยงปฏิเสธ
อันที่จริงแล้ว เซียนดาบชิงซื่อชิงเก็บ ‘เจตนาดี’ เหล่านี้ส่งให้กับอารักษ์บัญชีที่อยู่ข้างกายด้วยรอยยิ้มโดยมิรีรอให้ซูอี้กล่าววาจาใดด้วยซ้ำ
อารักษ์บัญชีลอบมองหนึ่งในถุงสัมภาระ ก่อนจะสูดหายใจเฮือก
แค่โอสถทิพย์จุติสรวงอย่างเดียวก็มีมากกว่าสิบชนิด!
นอกจากนั้นยังมีสมบัติแบบศิลาวิญญาณและวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวงอยู่อีกด้วย!
และนี่ยังเป็นเพียงถุงสัมภาระเพียงถุงเดียวในหมู่พวกมัน
‘ที่นี่ยามนี้มีกลุ่มเต๋าโบราณอยู่สิบกว่าแห่ง ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงหลายพัน และเมื่อจบเรื่องวันนี้ลง ก็ยังมิอาจทราบได้ว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะได้รับสมบัติมามากมายเพียงใด!’
อารักษ์บัญชีคิดเช่นนี้ในใจแล้ว
เขาเชี่ยวชาญในการคิดบัญชี เป็นเถ้าแก่แห่งหอสี่สมุทรผู้มีสมญานามว่า ‘ท่านเทพมั่งมี’ ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่ามูลค่าสมบัติจุติสรวงเหล่านี้สูงลิบลิ่วเพียงใด
โดยเฉพาะสมบัติเหล่านั้นซึ่งมิอาจหาซื้อได้ที่ใด!
ขณะเดียวกันนั้น หลีจงและกลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติสรวงก็ต่อแถวเรียงกัน
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะยืน เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้หวายแล้วปลดคำสาปให้กับยอดฝีมือจุติสรวงเหล่านั้นทีละคน
ภาพนี้ดูราวกับหมอผู้ล้ำเลิศออกตรวจผู้ป่วย
ทว่าผู้เข้าแถวรอตรวจล้วนเป็นตัวตนในขอบเขตจุติสรวง เพียงสุ่มเลือกมาสักคนก็ล้วนเป็นตัวตนสูงส่งที่โลกหล้าทั่วจักรวาลพร่างดาวทำได้เพียงแหงนมองทั้งสิ้น
และในช่วงเวลาต่อจากนี้ เมื่อซูอี้ทำลายคำสาปบนร่างของตัวตนขอบเขตจุติสรวงเหล่านั้นมากขึ้น เสียงโห่ร้องยินดีและคำขอบคุณจากใจก็ดังขึ้นเสียงแล้วเสียงเล่า
ยอดฝีมือบางคนกระทั่งตื่นเต้นจนเสียอาการ บ้างร่ายระบำ บ้างร่ำไห้อย่างยินดี บ้างยิ้มร่าหัวเราะลั่น…
อารมณ์เช่นนั้นติดต่อไปยังทุกคนที่นี่
ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงที่มาต่อแถวล้วนตั้งตารอให้ถึงเวลาของตนอย่างใจจดใจจ่อ
หลีจงเองก็ส่ง ‘น้ำใจ’ ที่ม่อชิงโฉวคัดมาด้วยตนเองออกมา พวกมันมีจำนวนไม่มากนัก ทว่าทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติสูงสุดในขอบเขตจุติสรวง ซึ่งหายากยิ่ง
ทว่าซูอี้กลับผลักมันไปให้อารักษ์บัญชีที่อยู่ด้านข้างโดยไม่เคยชายตาแลมันเลย
กาลผ่านจนสองชั่วยามต่อมา
ซูอี้ปลดคำสาปให้วิญญาณอาสัญไปกว่าหกร้อยตน!
วิญญาณอาสัญรับสมบัติแทนซูอี้มาแล้วเจ็ดหน
นอกจากสมบัติที่พวกจอมภูตมู่หลิงมอบให้ สมบัติชิ้นอื่นล้วนแต่มาจากความปรารถนาดีของกลุ่มเต๋าโบราณแต่ละแห่ง
พวกมันไม่เพียงมีจำนวนมาก แต่พวกมันล้วนแต่เป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวงที่เลิศล้ำตระการตา!
อารักษ์บัญชีเคยได้เจอกับสมบัติมากมายมาทั้งชีวิต แต่ยามจัดเรียงสมบัติเหล่านี้ เขาก็ยังอดตกใจมิได้อยู่ดี
สมบัติประหลาดบางชิ้น เขาไม่เคยพบพานหรือได้ยินจากแห่งใดมาก่อน
เหมือนเช่นวัตถุดิบหายากสำหรับตีดาบวิถีขอบเขตจุติสรวงที่สำนักเต๋านครชาดส่งมากองหนึ่ง พวกมันล้วนแต่เป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในโลกหล้า
ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตจุติมงคลมาเห็นเข้า พวกเขาก็จะยังต้องน้ำลายหกอยู่ดี!
จนในที่สุดอารักษ์บัญชียังต้องตะลึงเช่นกัน
สมบัตินั้นมีมากเกินไป และมูลค่าก็สูงเกินกว่าที่เขาจะประมาณได้
อารักษ์บัญชีอดสงสัยไม่ได้ว่า ต่อให้เขาโละทุกสิ่งในหอสี่สมุทรทิ้งไป ก็เกรงว่าคงยังมิอาจเทียบมูลค่ากับของขวัญที่มอบให้แก่ซูอี้ได้เลย!
เขาใช้เวลาชั่วชีวิตไปกับการซื้อขาย ทว่านี่เป็นหนแรกที่ได้ประจักษ์ว่าเหล่ากลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นมั่งคั่งกันเพียงใด ซึ่งมันผิดมนุษย์โดยแท้!
ส่วนซูอี้นั้นหามีความรู้สึกใดไม่
หนึ่งเป็นเพราะเขามิทราบว่าของขวัญเหล่านั้นมีมูลค่าเพียงไร
สองเป็นเพราะเขากำลังยุ่ง และอยากจบเรื่องน่าเบื่อนี่โดยไวที่สุด
เขาหยุดพักจิบสุราเป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น เสียงเอะอะก็ดังขึ้นมาจากผู้คนที่ต่อแถวอยู่ไกล ๆ
เมื่อมองไปก็พบว่า ณ แดนดินแสนไกล มีเรือสมบัติลำหนึ่งที่เปล่งประกายด้วยแสงเซียนกำลังลอยเข้ามาหา
เรือสมบัติลำนั้นยาวร้อยจั้ง ตัวเรือทั้งลำดูจะสร้างจากทองเทวะเรืองประกาย แสงเซียนสูงส่งเกินคาดหยั่ง
“เรือเซียนล่องนภา?”
หลีจงหรี่ตาลงเงียบ ๆ
“เรือเซียนลำนี้หวนสู่โลกหล้าอีกหน นั่นก็หมายความว่าขุมกำลังมารสวรรค์ซึ่งเดิมสะเทือนทั่วโลกาในโบราณกาลยังมิเสื่อมสลายไปหรือ?”
“คนเหล่านั้นมาด้วยจุดประสงค์ร้ายเป็นแน่!”
ตัวตนในขอบเขตจุติมงคลบางคนเองก็มีสีหน้าประหลาดใจ
เรือเซียนลำนี้โด่งดังยิ่งในสมัยโบราณ และมันมาจากเชื้อสายมารสวรรค์ตระกูลหง!
พวกเขาเป็นขุมกำลังโบราณแห่งหนึ่งจากโลกเซียนซึ่งเคยมายังโลกมนุษย์และสั่นสะเทือนไปทั่วโลกหล้า!
ขณะเดียวกันนั้น เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาก็มองหน้ากัน ก่อนที่คิ้วจะขมวดชนกัน
“สหายเต๋าซู ดูเหมือนจะมีปัญหามาแล้วล่ะ”
เซียนดาบชิงซื่อรีบกล่าวผ่านกระแสเสียงปราณ “เรือเซียนล่องนภาลำนั้นมาจากตระกูลหงแห่งโลกเซียน ตระกูลนี้มีเชื้อสายมารสวรรค์ มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยุคโบราณ ภูมิหลังร้ายกาจไม่ต่างจากตระกูลเซียนชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังม่อชิงโฉวเลย”
“ในหมู่ขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังทายาทแห่งเซียนทั่วโลกหล้า มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่เทียบชั้นกับตระกูลหงได้”
สีหน้าของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาเคร่งขรึมอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวตระกูลหงมาก
หลังจากซูอี้ได้รับรู้ เขาก็กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็เยี่ยมยอด ข้าหวังเพียงว่าพวกเขาจะมิทำให้ข้าผิดหวัง!”
ก่อนหน้านี้ เขาดูเบื่อหน่าย
ทว่ายามนี้เขากลับดูแตกต่าง กะปรี้กะเปร่า พลังงานเต็มเปี่ยม ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนสิ้นวาจา
พวกเขาหรือจะไม่เห็นว่าซูอี้ดูจะเฝ้ารอให้ตระกูลหงมาหาเรื่องเขา?
ขณะสนทนา ภายใต้สายตาสงสัยนับไม่ถ้วน เรือเซียนล่องนภาซึ่งดูสูงส่งเหนือธรรมดาก็ค่อย ๆ ละล่องมาถึง
จากนั้นตัวตนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากเรือสมบัติ
ผู้นำเป็นบุรุษผู้สวมมงกุฎขนนก รองเท้าลายเมฆ และอาภรณ์สีหยกตัวยาวแขนเสื้อกว้าง
เขามีรูปร่างผอมสูง คิ้วพาดเฉียงเยี่ยงกระบี่ ดวงตาพร่างพราว ถือพัดหยกอยู่ในมือ ท่วงท่าสง่างามโดดเด่นอย่างยิ่ง
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตาสีน้ำเงินของเขา ทั่วร่างแฝงความทรงพลังคุกคามแห่งเทพ
“หงเฟยอวี่! เป็นเทพมารน้อยนี่เอง!”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นภายในพื้นที่ มีผู้จำตัวตนของชายหนุ่มในอาภรณ์สีหยกได้
หงเฟยอวี่ผู้เป็นทายาทจากตระกูลหง และเป็นมารสวรรค์เลือดบริสุทธิ์ผู้มีญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดเป็นเซียน! เป็นทายาทแห่งเซียนมารผู้สูงส่งผู้หนึ่ง!
คนผู้นี้มีอุปนิสัยทะนงและเอาแต่ใจอย่างยิ่ง เขามีสมญานามเทพมารน้อยนับแต่โบราณกาล และทายาทแห่งเซียนคนอื่น ๆ ต่างก็หวาดกลัวเขา!
สิ่งที่ยิ่งทำให้ชีวิตของเขาสะดวกมากขึ้นก็เป็นเพราะหงเฟยอวี่มีพี่ชายเป็นมารเลิศล้ำ ซึ่งมีนามว่าหงเฟยกวน เขาเคยทิ้งความสำเร็จดั่งตำนานสะเทือนทั่วยุคสิ้นกฎเกณฑ์มาแล้ว และเป็นหนึ่งในเหล่าผู้นำกลุ่มทายาทเซียน
“ที่แท้ก็เป็นบุตรมารผู้นี้”
เปลือกตาของเซียนดาบชิงซื่อกระตุก นี่เป็นตัวตนเอาแต่ใจไร้ความปรานีผู้หนึ่ง!
“นอกจากหงเฟยอวี่แล้วยังมีไอ้แก่แห่งขอบเขตจุติมงคลอยู่อีกหลายตน เรื่องนี้… เกรงว่าคงเป็นปัญหาแล้ว”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาขมวดคิ้ว
เขาบอกซูอี้ผ่านกระแสเสียงปราณว่าในหมู่ยอดฝีมือรายล้อมหงเฟยอวี่ มีสามตนมาจากตระกูลหงและสัตว์ประหลาดเฒ่าตนอื่นนั้นมาจากกลุ่มเต๋ามารโบราณเช่นพรรคเซียนเร้นราตรี บรรพตมารธารปรภพและบรรพตมารเก้าหยิน!
และขุมกำลังเหล่านี้ก็เคยเข้าร่วมศึก ณ แท่นนภาม่วง ประชันกับซูอี้มาแล้ว!
เมื่อหงเฟยอวี่มาปรากฏกายขึ้นในยามนี้พร้อมกับกลุ่มไอ้แก่พวกนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามิได้มาดี
จากนั้นซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “นี่ยิ่งดีใหญ่”
เขามองปราดเดียวก็พบว่าข้างกายของหงเฟยอวี่มีผู้เฒ่าจากตระกูลจงโบราณอยู่ด้วย!
เขามีนามจงว่านหลี่ เป็นตัวตนบรรพกาลระดับลายครามจากตระกูลจง
“ทุกท่าน โปรดเปิดทางเถิด”
ชายชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ ทว่าเปี่ยมด้วยอำนาจยิ่งใหญ่
บรรยากาศทั่วบริเวณเงียบงันและกดดัน
ทุกคนที่นี่มีหรือจะไม่เห็นว่าพวกหงเฟยอวี่หามาดีไม่?
ผู้ที่เรียงแถวอยู่มิกล้ายืนขวางและจำต้องแหวกทาง
หงเฟยอวี่ถือพัดหยกในมือ สายตากวาดมองผู้คนที่นี่พลางยุรยาตรเข้ามา
กลุ่มผู้เฒ่าทั้งหลายตามมาเบื้องหลังดุจดาราคล้อยตามจันทร์ ทำให้ฐานะของหงเฟยอวี่ดูสูงส่งขึ้นทุกที
ไม่มีผู้ใดในหมู่กลุ่มเต๋าโบราณทั้งสิบกว่าแห่งกล้าเอ่ยวาจาใดแต่ต้นจนจบ อย่าว่าแต่ขวางทางเลย!
คิ้วของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น
“สหายเต๋าซู หงเฟยอวี่ผู้นี้มีอุปนิสัยเอาแต่ใจไร้เมตตาและมีฐานะพิเศษ หากเป็นไปได้ พยายามอย่ามีเรื่องกับเขาเถิด”
หลีจงเตือนซูอี้ผ่านกระแสเสียงปราณ
ซูอี้นั่งดื่มสุราโดยมิกล่าววาจาใด
การกระทำเช่นนี้ทำให้หัวใจของหลีจงสะเทือนสั่น และตระหนักได้ว่าซูอี้คงมิได้ฟังวาจาของเขาเลย!
“พี่ชายร่วมวิถีชิงซื่อ รีบเกลี้ยกล่อมสหายเต๋าซูมิให้ไปล่วงเกินหงเฟยอวี่เร็ว หาไม่คงเกิดหายนะเป็นแน่”
ขณะเดียวกัน จอมภูตมู่หลิงก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเซียนดาบชิงซื่ออย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้และเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลเช่นมารดาบสกุลหวงล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่มู่ ข้ารับเจตนาดีของพวกเจ้าไว้แล้ว แต่อย่าพูดแบบนี้เลย หาไม่ มันจะเป็นการกระตุ้นให้สหายเต๋าซูรังเกียจกันแน่”
เซียนดาบชิงซื่อขมวดคิ้วกล่าว “พวกเจ้ารอดูอยู่ข้าง ๆ เถิด”
จอมภูตมู่หลิงกับสหายมองหน้ากันทั้งตกใจและงุนงง สถานการณ์เช่นนี้ การเลี่ยงปะทะกับหงเฟยอวี่มิเป็นการฉลาดกว่าหรือ?
ขณะนี้ หงเฟยอวี่กับคณะได้เดินมาแล้ว
“ไอ้หนู เมื่อเห็นคุณชายตระกูลข้าผ่านมา ยังไม่ลุกขึ้นคำนับอีกหรือ?”
ชายชราผมขาวร่างผอมแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เสียงนั้นเป็นดั่งฟ้าผ่ายามกลางวันแสก ๆ ทำให้ทั่วบริเวณนั้นสะเทือนสั่น
“โอ้โห วางตัวใหญ่ยิ่ง”
เซียนดาบชิงซื่อหัวเราะ เขาชี้รอยดาบบนพื้นที่อยู่ห่างออกไปขณะกล่าวขึ้นอีก “งั้นข้าก็ควรกล่าวตรง ๆ ไม่ว่าวันนี้ผู้มาเยือนจะเป็นใคร พวกเขาก็ต้องทำตามกฎระเบียบ ผู้ใดกล้าข้ามเส้นนี้มา อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทเชียว!”
เสียงนั้นดังสนั่นเยี่ยงวจีดาบ จิตสังหารแน่นหนาจนน่าสะพรึง
ทุกคนล้วนอ้าปากค้าง ไม่คิดเลยว่าเซียนดาบชิงซื่อจะยังคงทัศนคติอันกร้าวแกร่งนี้ไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกหงเฟยอวี่
ซูอี้นั่งเอกเขนกอยู่ที่เดิม มองพวกหงเฟยอวี่อย่างเย็นชาโดยหากล่าววาจาใดไม่
“เจ้า…”
สีหน้าของชายชราคนนั้นย่ำแย่ลง ทว่าขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง หงเฟยอวี่ก็หยุดเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราเป็นแขก และมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายเต๋าซู จงสุภาพอย่าเสียมารยาท!”
หงเฟยอวี่ว่าพลางหยุดลงหน้ารอยดาบบนพื้น มิได้ก้าวเข้ามาอีก
จากนั้นเขาก็ประสานกำปั้นคำนับซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายพร้อมด้วยรอยยิ้ม “คนแซ่หงพาสหายมาโดยมิได้รับเชิญ หวังว่าสหายเต๋าซูจะไม่ถือสา”
………………..