บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1387: ผลกระทบ
ตอนที่ 1387: ผลกระทบ
ณ วัดสรรพสุญตา
“คุณชายน้อย”
เฒ่าเว่ยพาเว่ยซานกับหลวงจีนคงจ้าวมาด้วย เขายื่นไหสุราให้
ซูอี้ยิ้มพลางยื่นมือไปรับ จากนั้นกรอกสุราเข้าปาก
ในอดีตที่ผ่านมา เฒ่าเว่ยคอยติดตามอยู่ข้างกายทัศนาจารย์ เวลาที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ เฒ่าเว่ยจะยกไหสุราออกมามอบให้
นี่เป็นเรื่องที่รู้กันระหว่างเฒ่าเว่ยกับทัศนาจารย์
“หลวงจีน รีบไปจัดโต๊ะฉลอง วันนี้ข้าจะดื่มกับทุกคนให้เต็มอิ่ม”
ซูอี้ยิ้มพลางออกคำสั่ง
หลวงจีนคงจ้าวกล่าว “ทำอย่างกับข้าไม่รู้ใจเจ้า ข้าจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว!”
คนอื่น ๆ ได้ฟังความพากันหัวเราะขึ้นมา
วันเดียวกันนั้นเอง งานฉลองก็ถูกจัดขึ้นบนภูเขาจันทร์กระจ่าง
งานเลี้ยงนี้ไม่เพียงแต่มีเซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาเท่านั้น ยังมีตัวประหลาดอย่าง มารดาบสกุลหวงกับจอมภูติมู่หลิงร่วมงานเลี้ยงด้วย
ในงาน คนทั้งหลายพอพูดถึงการต่อสู้ในวันนี้ขึ้นมาแล้วต่างก็อดสูดปากไม่ได้
ขณะเดียวกันยังอดพูดถึงตระกูลหงที่หนุนหลังหงเฟยอวี่ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน ตัวประหลาดที่อยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองเหล่านั้นต่างก็พูดถึงด้วยความหวาดเกรง
เป็นเพราะรากฐานของตระกลูนี้ช่างน่ายำเกรงยิ่ง น่ายำเกรงยิ่งกว่ากลุ่มเต๋าโบราณทั่ว ๆ ไปมาก
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก
มาจากโลกเซียน แล้วอย่างไร?
ก็เป็นเพียงแค่พวกวิญญาณอาสัญที่โชคดีรอดชีวิตมาได้จากภัยพิบัติร้ายแรงของยุคสิ้นกฎเกณฑ์เท่านั้น
แน่นอน ตระกูลหงมีคนเก่งมากมายราวกับเมฆบนฟ้า มีวิญญาณอาสัญในวิถีเซียนอยู่จำนวนไม่น้อย ทว่าต้องอยู่ในกฎสวรรค์ ในตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะออกเดินบนโลกได้
ดังเช่นการต่อสู้ในวันนี้ เจตจำนงแห่งเซียนที่หงเฟยอวี่เรียกออกมามีความน่ากลัวเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องดับสิ้นแตกสลายเพราะโดนกฎสวรรค์ลงโทษ
ระหว่างที่พูดคุยกัน ซูอี้รู้มาว่าไม่เกินสองเดือน วิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลก็สามารถออกเดินบนโลกหล้าได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องหวาดกลัวต่อกฎสวรรค์
นอกจากนี้ ในบรรดากลุ่มเต๋าโบราณระดับสุดยอด วิญญาณอาสัญในวิถีเซียนเริ่มทยอยฟื้นจิตสำนึกกันแล้ว
เห็นได้ว่า สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว วิญญาณอาสัญพวกนี้ก็จะปรากฏตัวบนจักรวาลพร่างดาวอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลกระทบและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในใต้หล้า!
หลังจากงานเลี้ยงฉลองสิ้นสุดลง มารดาบสกุลหวงกับคนอื่น ๆ ก็ขอตัวลากลับ
ภายในห้อง
ซูอี้นั่งขัดสมาธิ เตาเสริมสวรรค์ลอยตัวอยู่ด้านหน้า
โอสถทิพย์สีเขียวสามเม็ดลอยอยู่ในเตา ภายในโอสถทิพย์แต่ละเม็ดราวกับมีเงาของมังกรกำลังพาดผ่าน มีอสนีบาตคึกคะนอง แผ่กลิ่นอายน่าตื่นตะลึง
สายตาของซูอี้เปลี่ยนแปลงไป
เตาเสริมสวรรค์หลอมปราณวิญญาณของมังกรเซียนดาวฤกษ์เขียวตัวนั้นจนกลายเป็นโอสถทิพย์!!
หากให้คนตระกูลหงมาเห็นเข้า คงโกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่
เอื๊อก!
ราวกับสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ ภายในเตาเสริมสวรรค์ แสงทิพย์สีม่วงของเซียนรวมตัวกันเป็นรูปมือ คว้าไปที่โอสถทิพย์เม็ดหนึ่งในสามเม็ดนั้น
ส่วนโอสถทิพย์ที่เหลืออีกสองเม็ดพุ่งออกมาจากเตาหลอม ลอยมาอยู่ตรงหน้าซูอี้
คิดสักครู่ ซูอี้หยิบโอสถทิพย์มาเพียงหนึ่งเม็ด ส่วนอีกเม็ดหนึ่งโยนเข้าไปในเตาหลอม
“ในการต่อสู้วันนี้ เจ้าช่วยข้าไว้มาก โอสถทิพย์เม็ดนี้ให้เจ้าเป็นรางวัล”
ซูอี้กล่าว
เตาเสริมสวรรค์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ แสงทิพย์สีม่วงของเซียนภายในเตาบิดมือชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ราวกับกำลังชื่นชมซูอี้ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ
ซูอี้ “…”
เขาหยิบที่ใส่ของออกมา จากนั้นเปิดปากมัน เทสมบัติล้ำค่ามากมายให้ไหลออกมาราวกับสายน้ำ กองเต็มพื้น
นี่เป็นสิ่งที่ได้มาในวันนี้ หลังจากที่หลวงจีนคงจ้าวเก็บรวบรวมมาได้ก็มอบให้ซูอี้
ซูอี้เคาะเตาเสริมสวรรค์เบา ๆ กล่าว “มองออกได้ว่า เจ้าก็เป็นสมบัติเซียนที่มีความภูมิฐานมากเช่นกัน ต้องเรียนรู้ที่จะลงมือเองได้แล้ว เจ้าไปหลอมสมบัติเหล่านี้ จากนั้นพวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
เดิมทีเขาเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น ใครเล่าจะคิดว่าเตาเสริมสวรรค์กลับตื่นเต้นดีใจโยกไปมาต่อหน้าซูอี้ ราวกับกำลังพยักหน้า
ซูอี้ “…”
เขาแทบจะเข้าใจไปว่าสมบัติชิ้นนี้คงจะมีหัวใจและจิตวิญญาณ!
มิเช่นนั้น เหตุใดจึงแสนรู้ได้ถึงเพียงนี้?
“น่าสนใจ”
สายตาของซูอี้ประหลาดไป
เขาเคยตรวจอดีตที่ผ่านมาของเตาเสริมสวรรค์ รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้มีที่มาพิศดาร ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติเซียนทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
และการต่อสู้ในวันนี้ เตาเสริมสวรรค์ก็แสดงคุณประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง ไม่เพียงแต่สยบมังกรเซียนดาวฤกษ์เขียวเท่านั้น ยังขัดขวางการโจมตีอย่างเต็มพลังของเจตจำนงแห่งเซียนอีกด้วย!
ซูอี้แทบไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่า สมบัติชิ้นนี้จะต้องมีความลับบางอย่างซุกซ่อน!
ทว่า มีดาบเก้าคุมขังอยู่ ซูอี้ไม่กังวลว่าสมบัติชิ้นนี้จะทรยศนาย
สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้ว ซูอี้ก็เริ่มสงบใจนั่งสมาธิ
การต่อสู้ในวันนี้ เขาได้รับบาดเจ็บและสูญเสียพลังไปมากเช่นกัน
ทว่าเมื่อเทียบกับบาดแผลเหล่านี้แล้ว ซูอี้ได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่น้อย ศักยภาพในตัวถูกค้นพบและปลดปล่อยออกไปยิ่งกว่าเดิม!
ในขณะเดียวกัน เตาเสริมสวรรค์เริ่มทำงาน แสงทิพย์สีม่วงของเซียนพุ่งออกมาจากตัวเตาเป็นเส้นสายคล้ายกับหนวดปลาหมึก คว้าจับโอสถจำนวนหนึ่งเข้าสู่เตาหลอม จากนั้นจึงเริ่มทำการหลอมโอสถ
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า โอสถที่เตาเสริมสวรรค์เลือก ล้วนมีความแตกต่างกัน คล้ายกับเภสัชกรกำลังจัดยาตามใบสั่งแพทย์
แยบยลจนบอกไม่ถูก
——-
และในวันเดียวกัน ข่าวคราวของภูเขาจันทร์กระจ่างก็แพร่ออกไป
ไม่ผิดไปจากความคาดหมาย เกิดเป็นลมพายุใหญ่ในใต้หล้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“ประหารทายาทเซียน ฆ่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลยี่สิบเอ็ดตน สังหารมังกรเซียนดาวฤกษ์เขียวสายพันธุ์ประหลาดของโลกเซียน และรับมือกับเจตจำนงแห่งเซียน?”
เมื่อได้รู้ผลงานเช่นนี้แล้ว ทุกคนรู้สึกงงงัน นิ่งตะลึงขาดสติ
“เทียบกับการต่อสู้ที่ภูเขาจันทร์กระจ่างแล้ว ความสามารถของทัศนาจารย์ก้าวหน้าเสียจนน่ากลัว!”
มีคนพึมพำ
การต่อสู้ที่วัดสรรพสุญตา ในสถานการณ์ที่ต้องสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ทัศนาจารย์ทำได้เพียงเอาชนะวิญญาณอาสัญขอบเขตจิตทารกเท่านั้น
จนการต่อสู้ที่โรงหลอมเทวะ ทัศนาจารย์ก็สามารถเรียงคิวสังหารคู่ต่อสู้ในระดับนี้ได้แล้ว!
กระทั่งการต่อสู้ที่แท่นนภาม่วง ทัศนาจารย์เพียงคนเดียวพร้อมกับดาบหนึ่งเล่ม สามารถสังหารวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติสรวงนับร้อยคน ซึ่งในจำนวนนี้ยังมีวิญญาณอาสัญขอบเขตรวมวิถีอีกยี่สิบกว่าคน!
แต่ใครจะคาดคิดว่าไม่นานเท่าไร การต่อสู้ที่สนามเต๋าประกายทอง ทัศนาจารย์สามารถชักดาบสังหารผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตจุติมงคลได้!
ในการต่อสู้แต่ละครั้ง ระยะเวลาห่างกันไม่มาก
ทว่าความสามารถที่ทัศนาจารย์แสดงออกมาระหว่างการต่อสู้กลับแข็งแกร่งเพิ่มยิ่งขึ้นกว่าเดิม!
จนถึงตอนนี้ เมื่อการต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่างปิดฉากลง ทัศนาจารย์อาศัยเพียงกำลังของตัวเองก็สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลได้เป็นพรวน!
ผลการต่อสู้เช่นนี้ ใครบ้างจะสงบใจได้?
“ตอนที่ทัศนาจารย์กลับชาติมา ขุมกำลังใหญ่ ๆ ในโลกเหล่าต่างก็เข้าใจว่า ตำนานยุคเก่าอย่างทัศนาจารย์มีแต่จะเสื่อมโทรมลง ใต้หล้าในวันข้างหน้าจะมีตัวตนขอบเขตจุติสรวงเป็นผู้กำหนดชะตา”
“แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่เรื่องน่าขันเท่านั้น!”
“พวกยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวที่มองทัศนาจารย์เป็นศัตรู พวกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีที่ทำตัวสูงส่ง กับกลุ่มเต๋าโบราณที่ลึกลับจนยากจะคาดเดาพวกนั้น… มีใครบ้างที่หัวไม่แตกเลือดไม่อาบเวลาอยู่ต่อหน้าทัศนาจารย์? แล้วมีฝ่ายไหนบ้างที่ไม่สูญเสียอย่างแสนสาหัส?”
“เช่นนี้จึงจะเป็นตำนานที่แท้จริง!”
“ต่อให้เป็นเทพเซียนอยู่บนสวรรค์ ก็ควรจะก้มหน้าสงบเสงี่ยม!”
“ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว หรือว่าทัศนาจารย์จะทำการคิดบัญชีครั้งใหญ่แล้วจริง ๆ?”
…ผู้คนต่างก็พูดวิจารณ์ แต่ละภูมิดาราล้วนระส่ำระสาย
ข่าวคราวเช่นนี้ สร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อตระกูลโบราณอารักษ์วิถีด้วยเช่นกัน แต่ละคนล้วนตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ
“นับแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลโบราณอารักษ์วิถีอย่างพวกข้าเช่นนี้ คงไม่มีคุณสมบัติที่ไปจะงัดข้อกับทัศนาจารย์แล้ว!”
ผู้เฒ่ารุ่นลายครามของเผ่าภูตหลวนครามทอดถอนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
ผลกระทบจากการต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่าง ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตจุติมงคลจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บล้มตายเท่านั้น
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ความน่ากลัวของกำลังการต่อสู้อันร้ายกาจที่ซูอี้แสดงออกมานั้น เพียงพอที่จะเหยียบตระกูลโบราณอารักษ์วิถีของพวกเขาให้จมมิดติดดินได้เลย!
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย
ต่อให้ในแต่ละตระกูลของพวกเขามีกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่ย่างก้าวเข้าสู่หนทางจุติสรวง ก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตจิตทารกเท่านั้น
เผชิญหน้ากับทัศนาจารย์ ด้อยกว่ามาก!
นอกจากนี้แล้ว ต่อให้เบื้องหลังของแต่ละตระกูลมีกลุ่มเต๋าโบราณคอยหนุนหลัง ทว่าอำนาจหนุนหลังเช่นนี้ก็ไม่อาจปกป้องพวกเขาได้อีก
ดังที่เห็นกันแล้วว่าตระกูลอวิ๋นที่มีโรงดาบเทพลี้ลับหนุนหลัง มีจุดจบที่น่าอนาถเพียงใด?
การต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่าง ตัวตนขอบเขตจุติมงคลของกลุ่มเต๋าโบราณที่มีความแข็งแกร่งมากอย่างบรรพตมารธารปรภพกับพรรคเซียนเร้นราตรีก็ยังตายกันเรียบไม่ใช่หรือ?
ไม่ว่าเป็นใคร ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นอกเสียจากทัศนาจารย์สิ้นชีวา มิเช่นนั้นต่อให้แข็งแกร่งเหมือนอย่างตระกูลโบราณอารักษ์วิถีก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศัตรูกับทัศนาจารย์!
ขณะเดียวกัน ข่าวคราวการต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่างก็ได้แพร่กระจายไปสู่กลุ่มเต๋าโบราณใหญ่ ๆ แต่ละแห่งเช่นกัน
ความสั่นสะเทือนรุนแรงที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด!
เพราะอย่างไรใต้หล้าในตอนนี้ ตัวตนขอบเขตจุติมงคลถือเป็นกำลังการต่อสู้ที่สูงสุดแล้ว
ทว่าซูอี้เพียงคนเดียวพร้อมกับดาบหนึ่งเล่มกลับสามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย!
กลุ่มเต๋าโบราณใดบ้างที่ไม่ตื่นตระหนก?
กลุ่มเต๋าโบราณที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่างเหล่านั้น ยิ่งระส่ำระสายหนัก
บ้างก็โกรธแค้นแทบคลั่ง
บ้างก็กลัดกลุ้มจนไม่กล้าพูดถึง
บ้างก็เจ็บปวดจนอยากตาย
ส่วนกลุ่มเต๋าโบราณที่แสดงความเป็นมิตรต่อซูอี้เหล่านั้น ต่างรู้สึกโชคดีเสียเหลือเกิน และรู้สึกกดดันอย่างหนักด้วยเช่นกัน
จันทราส่องสว่างทั่วเก้าแคว้น มีทั้งคนยินดีและคนระทม
——-
“เจ้านาย ซูอี้เป็นฝ่ายชนะ! แม้กระทั่งเทพมารน้อยของตระกูลหงก็ยังตายด้วยฝีมือของเขา!”
ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด สุนัขพื้นเมืองนามซิงเชวียตื่นตะลึงเอามาก
“ตระกูลหง…”
ปราชญ์หงอวิ๋นกำลังกะเทาะเปลือกเมล็ดทานตะวัน พอพูดถึงตระกูลหงขึ้นมา คิ้วของนางขมวดน้อย ๆ กล่าว “ต่อจากนี้ไปสหายเต๋าซูอาจต้องเจอกับอันตรายที่ไม่คาดคิด”
ในอดีต นางไม่เคยจะใส่ใจต่อเรื่องราวภายนอก
ทว่าเวลานี้ กลับพูดออกมาเช่นนี้ เห็นได้ว่า ปราชญ์หงอวิ๋นเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลหงเป็นอย่างดี จึงได้คาดเดาออกมาเช่นนี้
“เจ้านาย ต้องเตือนสติซูอี้สักหน่อยหรือไม่?”
สุนัขพื้นเมืองอดถามขึ้นไม่ได้
“ไม่ต้อง”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ “ยิ่งฆ่าคนมาก ก็ยิ่งสามารถลับดาบให้คมได้มาก ยังไม่ถึงเวลาที่วิญญาณอาสัญในวิถีเซียนจะปรากฏตัวบนโลก ไม่จำเป็นต้องห่วงความปลอดภัยของสหายเต๋าซู”
สุนัขพื้นเมืองตะลึงไปชั่วครู่แล้วโต้แย้ง “ข้าไม่เคยเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นเลย ทั้งยังอยากจะเห็นเขาล้มหัวคะมำด้วยซ้ำไป!”
ปราชญ์หงอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก
——
“แย่แล้ว”
ม่อชิงโฉวคิ้วขมวด “ตระกูลหงเป็นถึงขุมกำลังวิถีมารในโลกเซียน มีรากฐานน่ากลัว ทำตัวมีอำนาจ หงเฟยอวี่ตาย ตระกูลหงไม่มีทางยอมเลิกราง่าย ๆ อย่างแน่นอน”
หลีจงกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “เช่นนี้ก็เท่ากับว่าสหายเต๋าซูตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ?”
ม่อชิงโฉวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ กล่าว “ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่สามารถเชื่อมั่นได้ว่า ต่อให้ข้าเป็นฝ่ายออกรับหน้า ก็ไม่อาจไกล่เกลี่ยความวุ่นวายลงได้”
หลีจงรู้สึกหนักใจ
——
ณ เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งถูกปกคลุมด้วยอสนีสีโลหิตอยู่ตลอดทั้งปี
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อัสนีแดง
ที่ตั้งของจวนตระกูลหง
เวลานี้ ณ ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง คนหนุ่มหน้าตาสดใสนั่งอยู่ตรงนั้น ลมเย็น ๆ พัดผ่านมา ชุดสีขาวประดุจหิมะของเขาก็โบกสะบัด
แววตาของเขานิ่งตะลึง มองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ห่างไกลแสนไกล นานมากจึงถอนใจขึ้นมาเบา ๆ
“ข้าผู้เป็นพี่ชายคนนี้เองที่ทำให้เฟยอวี่ต้องตาย…”
ในน้ำเสียง เต็มไปด้วยความโศกเศร้า