บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1389: เซียนในแดนมนุษย์!
ตอนที่ 1389: เซียนในแดนมนุษย์!
ซูอี้ตะลึงเป็นอย่างมาก
คิดสักครู่ เขากล่าวด้วยความสงสัย “เหตุใดหงเฟยกวนจึงมั่นใจว่ามีม่อชิงโฉวรับรองแล้วข้าจะประลองยุทธ์กับเขาตามคำท้า?”
หลีจงกล่าว “ตามความปรารถนาของหงเฟยกวน เขาต้องการจะประลองกับสหายเต๋าซูอย่างเปิดเผยเป็นธรรม ประลองให้รู้แพ้รู้ชนะโดยใช้ความตายกำหนด ดังนั้นจึงเชิญคุณหนูของพวกเราเป็นผู้รับรอง เพื่อเป็นการขจัดความแคลงใจของสหายเต๋า ไม่ให้สหายเต๋าต้องกังวลใจว่าระหว่างการประลองจะเกิดเหตุอันใดขึ้น”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ หลีจงกล่าว “ส่วนเรื่องที่สหายเต๋าจะรับปากคำท้าประลองหรือไม่ หงเฟยกวนกล่าวแต่เพียงว่า เมื่อสหายเต๋าได้เห็นสิ่งนี้แล้ว จะต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
พูดจบ เขาหยิบม้วนหยกออกมาแล้วยื่นไปให้
ยังไม่ทันที่ซูอี้จะเปิดอ่าน หลีจงก็กล่าวเตือนสติด้วยความหนักใจว่า “สหายเต๋าซู ไม่ว่าในม้วนหยกจะเขียนอะไรเอาไว้ ส่วนตัวข้าคิดว่า ดีที่สุดท่านอย่าได้รับคำท้าเลย”
เขตหวงห้ามเซียนละล่องเป็นถิ่นของวิญญาณอาสัญ!
กลุ่มเต๋าที่รอดชีวิตมาได้ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ มากกว่าครึ่งหนึ่งรวมตัวอยู่ที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ซูอี้ผู้ครอบครองพลังวัฏสงสารเดินทางเข้าไปในที่แห่งนั้น เท่ากับส่งแพะเข้าปากเสือ จะต้องโดนกลุ่มเต๋าโบราณนับไม่ถ้วนจ้องหมายตา!
นอกจากนี้ อยู่ที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ความสามารถของวิญญาณอาสัญไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎสวรรค์!
เมื่อก่อนนี้ที่ซูอี้สามารถฆ่าสังหารวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลได้อย่างง่ายดาย สาเหตุครึ่งหนึ่งเป็นเพราะวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลเหล่านั้นต้องอยู่ภายใต้กฎสวรรค์ สำแดงพลังความสามารถได้มากสุดเพียงแค่สี่ส่วนเท่านั้น
ทว่าอยู่ที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ไม่มีข้อดีเช่นนี้หลงเหลืออีก!
ในกลุ่มเต๋ายักษ์ใหญ่บางกลุ่มก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเริ่มทยอยฟื้นความคิดขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่อาจออกมาปรากฏกายบนโลกได้ แต่พลังในระดับเช่นนี้มีความน่ากลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูอี้ไม่รู้สึกสนุกกับการประลองเช่นนี้แม้แต่น้อย
ทว่า เมื่อเขาอ่านเนื้อหาในม้วนหยกแล้ว กลับนิ่งเงียบไป
ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กลง นิ่งเงียบไปนานมาก
ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้หลีจงแอบใจเต้น รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
น้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า
หลีจงทนไม่ไหว กล่าวขึ้นมา “สหายเต๋าซู ถึงแม้การประลองในครั้งนี้มีคุณหนูของพวกเราจะรับรอง แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง หากว่าเกิดผิดพลาดอันใดขึ้นมา…”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “ข้าอยากจะให้ถึงวันประลองเร็ว ๆ”
หลีจง “…”
ท้ายที่สุดเขาทอดถอนใจจากไปพร้อมกับคำตอบของซูอี้
——
ภายในม้วนหยกที่หงเฟยกวนส่งมานั้น มีแต่เพียงคำกล่าวที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
เนื้อหาในม้วนหยกคือ
‘ช่างเสื้อส่งชิงถังศิษย์ของสหายเต๋ามาให้ข้า’
‘ขอเพียงสหายเต๋าซูมาตามคำท้าประลอง ไม่ว่าเป็นหรือตาย ชิงถังศิษย์ของสหายเต๋าจะมีชีวิตออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องไปได้!’
ชิงถัง!
หลังจากการต่อสู้ที่ถ้ำเสวียนจวิน ณ มหาแดนดินในตอนนั้น ชิงถังก็จากไปเพียงลำพัง กลับไปยังส่วนลึกหมู่ดาราอีกครั้ง
จนถึงตอนนี้ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว
เมื่อไม่นานมานี้ ซูอี้เคยสั่งกำชับอารักษ์บัญชี ไว้เช่นกันว่า ให้ใช้พลังของหอสี่สมุทรที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละภูมิดาราตามหาเบาะแสของชิงถัง
ทว่าจนถึงตอนนี้กลับไม่ได้ข่าวคราวแม้แต่น้อย
จนถึงตอนนี้ซูอี้จึงรู้ว่า ชิงถังตกอยู่ในเงื้อมมือของช่างเสื้อตั้งนานแล้ว อีกทั้งโดนหวงเฟยกวนจับเป็นตัวประกันอีกด้วย!
ดูจากท่าทีและคำพูดของหงเฟยกวนแล้ว เขาอาจจะไม่ต้องการใช้ชิงถังมาเป็นตัวข่มขู่
ทว่าหลังจากที่ช่างเสื้อเข้ามาร่วมในเรื่องนี้แล้ว กลับทำให้ซูอี้ได้กลิ่นที่แปลกประหลาด
อย่างไม่ต้องสงสัย สหายเฒ่าผู้นั้นรู้ข่าวการต่อสู้บนภูเขาจันทร์กระจ่างแล้ว ทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอตัว เลือกที่จะร่วมมือกับหงเฟยกวน เพื่อสังหารตัวเอง!
และในเรื่องนี้ ยังทำให้ซูอี้มั่นใจได้ว่าช่างเสื้อเฒ่าจนด้วยปัญญาแล้ว จำต้องเดินออกจากความมืดมิดด้วยตนเอง เอาชีวิตของชิงถังไปร่วมมือกับตระกูลหง
หากว่าเป็นเมื่อก่อน ตาและหนวดปลาหมึกของช่างเสื้อมีไปทั่วโลกมนุษย์ เหตุใดต้องลงมือด้วยตนเอง?
“เฒ่าเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้ ข้าอยากจะดูนัก ว่าเจ้าจะมาไม้ไหนได้อีก อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ก็แล้วกัน”
ซูอี้เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างแรง คำท้าประลองของหงเฟยกวนในครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีอะไร
แต่ช่างเสื้อ จะต้องใช้การประลองยุทธ์ครั้งนี้สร้างเรื่องขึ้นมาเป็นแน่!
——
ณ วัดสรรพสุญตา
หลังจากที่รู้ว่าซูอี้จะไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องตามคำท้าประลอง เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาต่างก็ขมวดคิ้ว
“ครึ่งเดือนหลังจากนี้? เวลาการท้าประลองในครั้งนี้มีแผนซ่อนเร้นอย่างเห็นได้ชัด”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ากับดาบพุทธะสรรพสุญตาเคยคำนวณเวลาไว้แล้ว ช้าที่สุดภายในหนึ่งเดือน หนทางแห่งจุติสรวงที่พร้อมสมบูรณ์จะปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ หงเฟยกวนกลับท้าประลองกับเจ้าหลังจากนี้ครึ่งเดือนบนยอดเขาพฤกษ์ระย้า เห็นได้ชัดว่าเขากังวลใจ หากว่าให้เวลาเต็มที่แก่เจ้า เจ้าอาจจะเข้าสู่หนทางแห่งจุติสรวง!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาที่อยู่อีกด้านก็กล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังเช่นกัน “กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หงเฟยกวนเลือกเวลาดังนี้ ก็เพราะต้องการจะกำราบเจ้าก่อนที่เจ้าจะย่างก้าวสู่หนทางแห่งจุติสรวงนั่นเอง!”
ซูอี้นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย กล่าวโดยไม่สนใจ “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวลไป ข้าคิดไว้แล้วว่าจะไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องมานานแล้ว อย่าว่าแต่ไปถึงที่นั่นเลย ด้วยระดับการฝึกตนในตอนนี้ของข้า มีโอกาสจะย่างก้าวสู่หนทางแห่งจุติสรวงได้ตลอดเวลา”
เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตามองตากัน ต่างก็มองออกว่าซูอี้มีท่าทีแน่วแน่ ไม่อาจยับยั้งได้
“ม่อชิงโฉวมาจากตระกูลเซียน มีนางรับรอง ในการประลองครั้งนี้ ไม่น่าจะมีแผนกลใดหรอก”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว “แต่อยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง กลุ่มเต๋าโบราณมีมากมาย ทายาทเซียนมีมากเช่นกัน มีตัวตนร้ายกาจไม่น้อยที่กล้าจะงัดข้อกับขุมกำลังที่หนุนหลังม่อชิงโฉว”
“นอกจากนี้แล้ว หงเฟยกวนอาจจะไม่มีแผนกลลวงก็จริง แต่ตระกูลหงที่คอยหนุนหลังเขา อาจไม่คิดจะทำตามความต้องการของหงเฟยกวนจริง ๆ ก็ได้ นี่เป็นอันตรายอย่างหนึ่งเช่นกัน”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าสหายเต๋าไปตามคำท้าประลอง จะต้องระมัดระวังตัวให้มาก ต้องเตรียมตัวให้มากเช่นกัน”
ทันใดดาบพุทธะสรรพสุญตาก็เสนอว่า “ไม่เช่นนั้น…ติดต่อปราชญ์หงอวิ๋นดีหรือไม่?”
ซูอี้ยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้อง”
ในชั่วชีวิตนี้ของเขา ผ่านการต่อสู้ที่เลวร้ายมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ยังจะใส่ใจกับอุปสรรคเพียงน้อยนิดนี้อีกหรือ?
ตอนนี้ยังไม่ทันได้สู้กันเลย ก็หากำลังเสริมจากภายนอกเสียแล้ว เช่นนั้นแลดูจะขี้ขลาดเกินไป?
ซูอี้หยิบไหสุราออกมา จิบไปคำหนึ่งแล้วกล่าว “ข้าคนเดียวกับดาบย่อมเพียงพอแล้ว”
บนวิถีเส้นทางแห่งดาบ จิตใจต้องแข็งแกร่งประดุจเหล็ก!
ควรจะมีจิตวิญญาณตั้งมั่นประดุจดาบหาญกล้า!
หากเป็นเมื่อก่อน ซูอี้อาจรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างที่ต้องไปเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
แต่ตอนนี้ เขากลับมีความหวัง หวังว่าศัตรูที่เจอในเขตหวงห้ามเซียนละล่องยิ่งมากก็ยิ่งดี!
ยิ่งกว่านั้น ครั้งนี้เขายังมีเหตุผลที่ต้องไปอีกหนึ่งข้อ!
——
ในช่วงเวลาถัดมา ซูอี้เริ่มปิดตนฝึกฝน
วิ้ว!
เตาเสริมสวรรค์ส่งเสียงดังกังวาน หลอมสร้างพลังดั้งเดิมอันล้ำเลิศของวัตถุล้ำค่าออกมาจำนวนแล้วจำนวนเล่า
เหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตจุติสรวง หลังจากที่ผ่านการหลอมของเตาเสริมสวรรค์แล้วก็กลายเป็นพลังดั้งเดิมอันล้ำเลิศที่งดงามและมีสีสันหลากหลาย
โดยที่ไม่ต้องลงมืออันใด เมื่อพลังดั้งเดิมอันล้ำเลิศเหล่านี้ปรากฏขึ้นก็ถูกดาบแห่งโลกาซึมซับและหล่อหลอมไม่หยุด
ภาพเช่นนั้นคล้ายกับเตาเสริมสวรรค์กำลังทำอาหารเลิศรส ส่วนดาบแห่งโลกาคือนักชิมกินได้ไม่อั้น ช่างน่าสนุกยิ่งนัก
ความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ดาบแห่งโลกากำลังหลอมละลายวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นจากเตาเสริมสวรรค์ เพลิงวิถีเก้ากระจ่าง กับเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน ดาบแห่งโลกาเกิดความเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมตั้งนานแล้ว
นอกจากลักษณะและอานุภาพที่เหนือกว่าเดิมแล้ว ยังมีศักยภาพกับความสามารถที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปด้วย!
ก็เหมือนกับตอนนี้ หลังจากที่เตาเสริมสวรรค์หลอมสร้างวัตถุที่เลิศล้ำจำนวนมาก ดาบแห่งโลกาดูดซับและหลอมละลาย ลักษณะและอานุภาพของตัวดาบก็พลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วยอย่างเงียบ ๆ
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้
เขากำลังฝึกตน สงบใจทำสมาธิเพิ่มระดับวิถีของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นมู่ หรือว่าทัศนาจารย์ ล้วนไม่เคยย่างก้าวสู่หนทางแห่งจุติสรวง
โชคดีตรงที่ในความทรงจำของเสิ่นมู่ มีคัมภีร์โบราณที่มีเนื้อหากว้างไกลประดุจมหาสมุทร ซูอี้สามารถทำความเข้าใจความแยบยลของสามขอบเขตวิถีจุติสรวงได้อย่างกระจ่างแจ้ง
และตอนนี้ เขาอยู่ห่างจากหนทางแห่งจุติสรวงเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เวลาที่แสวงวิถีเพื่อบรรลุขอบเขต สามารถสร้างรากฐานวิถีอันยิ่งใหญ่ได้!
——
ณ เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตลบอบอวลไปด้วยปราณเซียน
“เขา… รับปากแล้วเช่นนั้นหรือ?”
นัยน์ตาสดใสของม่อชิงโฉวหญิงสาวผู้ปลอมกายเป็นบุรุษฉายแววสงสัย ถามด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าไม่ได้ยับยั้งเขาหรอกหรือ?”
หลีจงหัวเราะฝืดพลางกล่าว “ยับยั้งแล้ว แต่ไร้ประโยชน์ สหายเต๋าซูยังบอกอีกว่า… เขารอให้ถึงวันประลองเร็ว ๆ”
ม่อชิงโฉว “…”
นางใช้ปลายนิ้วขาวเนียนประดุจหิมะบีบนวดหัวคิ้วเบา ๆ กล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “แม้ข้าจะรับปากออกหน้ารับรองแทนหงเฟยกวน แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ซูอี้จะรับคำท้า คนปกติทั่วไปล้วนมองออกว่าการท้าประลองในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับการถกวิถีที่ยุติธรรม แต่เหตุใด… เขากลับรับคำท้าได้?”
หลีจงนิ่งเงียบ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจเข้าใจได้
เงียบไปนาน ม่อชิงโฉวแสดงท่าทีตัดสินใจออกมา กล่าว “ช่างเถอะ เวลาที่เขากับหงเฟยกวนประลองกำลัง ข้าจะทำทุกวิถีทางไม่ให้เขาได้รับการรบกวนและเหตุคาดไม่ถึงอันใดจากภายนอก!”
“แต่หลังจากที่การต่อสู้ปิดฉากลงแล้วจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก… ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถควบคุมได้”
พูดจบ นางถอนใจเบา ๆ ในใจรู้สึกแปลกประหลาด
ถึงแม้จะอยู่ในโลกเซียน นางก็ไม่เคยเห็นใครที่เหมือนกับซูอี้เช่นนี้มาก่อน!
นิสัยของเขาเย่อหยิ่งทรนง กล้าหาญไม่มีใครเทียม ระดับวิถีในตัวก็ยังถือได้ว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เหมือนดังการท้าประลองในครั้งนี้ ม่อชิงโฉวถามใจตัวเองดู หากว่าเป็นตัวเอง คงจะปฏิเสธแบบที่ไม่ต้องคิดไปนานแล้ว
หรือแม้เป็นคนอื่น ก็คงจะไม่รับปากเช่นกัน
เพราะอย่างไรเสียการประลองยุทธ์ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ไม่ต่างไปจากหาหนทางตายให้ตัวเอง!
แต่ซูอี้กลับรับคำท้า
ม่อชิงโฉวนึกภาพไม่ออกสักนิดว่าซูอี้มีความกล้าหาญและมั่นใจเพียงใดจึงตัดสินใจเช่นนี้ออกมาได้
เงียบไปนานมาก นางจึงกล่าวกำชับ “เจ้าจงนำความไปบอกแก่หงเฟยกวนในตอนนี้”
“ขอรับ”
หลีจงรับคำสั่งออกไป
ส่วนม่อชิงโฉวกลับตรงไปยังแดนต้องห้ามแห่งหนึ่งที่ครอบคลุมไปด้วยค่ายกลกักขังวิถีเซียน
ที่แห่งนี้เป็นเมืองใต้บาดาล ปกคลุมไปด้วยปราณเซียนอันหนาแน่น
ใจกลางเมืองใต้บาดาล มีลานวิถีโบราณตั้งตระหง่าน ด้านบนของลานวิถีมีหินหยกประหลาดขนาดยักษ์ก้อนหนึ่งลอยอยู่
พลังฮุ่นตุ้นอาบชโลมทั่วหินหยก แสงทิพย์แห่งเซียนเดือดพล่าน
สังเกตุดูให้ดีจะเห็นร่างคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ภายในหินหยก ราวกับกำลังหลับใหล
หลังจากที่มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว ม่อชิงโฉวสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าทำความเคารพพลางกล่าว “ท่านบรรพชน ครั้งนี้ชิงโฉวเจอเรื่องหนึ่ง จำต้องมาเล่าให้ท่านฟัง”
พูดจบ นางก็เล่าเรื่องที่หงเฟยกวนนัดท้าประลองซูอี้ให้ฟัง
“ข้าเคยรับปากว่าจะเป็นผู้รับรอง แต่เป็นห่วงว่าด้วยบารมีของข้า อาจไม่เพียงพอที่จะสยบพวกที่คิดไม่ดีเหล่านั้น”
ม่อชิงโฉวกล่าวเบา ๆ “ดังนั้น จึงต้องมาขอให้ท่านบรรพชนช่วย”
ภายในหินหยก คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นพลันลืมตาขึ้น
ชั่วขณะนั้น เมืองบาดาลแห่งนี้เกิดสั่นสะเทือน ปราณเซียนเดือดพล่านจนเกิดเสียงดัง แม้กระทั่งลานวิถีแห่งนั้นก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แรงกดดันอันน่ากลัวแผ่กระจายออกไปทั่ว
นั่นเป็นพลังอำนาจในแบบฉบับของเซียนในแดนมนุษย์!
………………..