บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 139 ยืมมือข้าผู้แซ่ซูสังหารคน
สามกระบวนท่า ทั้งปลิดชีพและหยามเหยียด!
เมื่อมองไปยังศพของลุงเซียงที่ไร้ศีรษะซึ่งนอนอยู่ในแอ่งเลือด ดวงตาของฉาจิ่นเบิกกว้าง สีหน้าเผยเปลี่ยนเป็นมึนงง
“ปรมาจารย์ ‘ดาบอัคคีฟ้าคำรณ’ หนานเหวินเซียง ตกตายเช่นนี้จริง ๆ… ” ฉาจิ่นอุทาน
ต่อหน้าอำนาจราวสยบฟ้าของซูอี้ แม้เป็นตัวตนยิ่งใหญ่หรือมีภูมิหลังน่าทึ่งสักเพียงใด ทั้งหมดดูเหมือนเป็นเรื่องขำขัน
ยามเผชิญหน้าต่อชายผู้ล้ำลึกที่พูด หัวเราะ ฆ่า และปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนมด ผู้ใดจะไม่สั่นสะท้านด้วยความกลัว?
ซูอี้โบกปัดเสื้อผ้าของตนเอง ก่อนเอามือไพล่หลัง มองที่ฉาจิ่นด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“คุณชายซู ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากหาเรื่องใส่ตน” ฉาจิ่นถอนหายใจยาว
“แม้ในสายตาของท่าน ปรมาจารย์เช่นหนานเหวินเซียง อาจไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง และสามารถดับชีพเมื่อใดก็ได้ตามใจนึก”
“แต่อย่าลืม ว่าข้างหลังเขาคือองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ต้าโจว บุคคลที่มีแนวโน้มมากที่สุดในโลกที่มีความหวังสูงสุดในการขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ การเป็นศัตรูของเขาย่อมไม่ต่างอะไรจากคำนึงหาชีวิตที่วุ่นวาย”
ขณะที่พูด นางมองไปที่ซูอี้ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าในสายตาของซูอี้ เพียงมีแต่ความเฉยเมย
มันคือสายตาที่มองเห็นทุกอย่างราวกับมด ไม่รู้ว่าต้องมีกี่ชีวิตที่ดับสูญไปจึงจะมีสภาพจิตใจเช่นนี้…
“หยุดแสร้งแสดงเสียที”
ซูอี้เยาะเย้ย “ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องรับผิดชอบส่วนใหญ่ในการตายของคนโง่ผู้นี้ ถ้าการเดาของข้าถูกต้อง เจ้ามาเยี่ยมข้าครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อชักชวนข้า แต่เป็นเพื่อยืมมือข้า ฆ่าคนคนนี้ไม่ใช่หรือ?”
ฉาจิ่นตกตะลึงครู่หนึ่ง ดวงตายังคงมึนงง “ขออภัย ข้าไม่ใช่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด”
ซูอี้ยิ้ม โน้มตัวและหยิบดาบประกายม่วงขึ้นมาจากแอ่งเลือด ก่อนจะเดินประชิดหาฉาจิ่น
“คุณชายซู ท่าน…”
การแสดงออกของฉาจิ่นเปลี่ยนไป แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ ซูอี้พลันฟันดาบออกไปแล้ว
ฟั่บ!
เงาดาบพาดผ่านเร็วเหมือนสายฟ้า หากหนานเหวินเซียงยังไม่ตาย เขาก็คงไม่สามารถหยุดดาบนี้ได้เช่นกัน
แต่กระนั้นแล้ว ฉับพลันประกายแสงแปลกตา เผยวาบออกจากส่วนลึกของดวงตาที่งดงามของฉาจิ่น ร่างกายที่บอบบางของนางกลับกลายเป็นภาพติดตาในทันใด นางหลีกเลี่ยงดาบและถอยห่างออกไปสองจั้งอย่างน่าอัศจรรย์
“หัวใจของคุณชายซูช่างเย็นชานัก ท่านสามารถลงมือต่อสตรีโดยไม่กะพริบตาแม้เพียงนิด!”
ฉาจิ่นกัดริมฝีปากสีแดงของนางและลูบหน้าอกของตนอย่างหวาดกลัว
แต่ดวงตาที่มีเสน่ห์ของนางกลับไร้ซึ่งความขี้ขลาด
“ยังคงแสร้งอยู่?” ซูอี้ถือดาบและยิ้มเย้ย
“สายตาของคุณชายซูเสมือนคบเพลิง ไม่มีสิ่งใดที่ฉาจิ่นผู้นี้สามารถแอบหรือซ่อนได้เลย หากข้ายังคงฝืนแสร้งต่อไป คงยิ่งเป็นการทำให้คุณชายซูขำขันยิ่งขึ้นแล้ว”
ฉาจิ่นยังคงยิ้มเย้ายวนเปี่ยมด้วยเสน่ห์
สตรีผู้นี้ราวกับปีศาจ ไม่ว่าจะขมวดคิ้วหรือเผยยิ้ม ล้วนทรงเสน่ห์เย้ายวนยากจะต้านทาน
ทว่าซูอี้ไม่ไหวหวั่นแม้แต่น้อย และพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในเมื่อรู้ว่ามันน่าขัน เช่นนั้นก็จงเลิกใช้กลอุบายเย้ายวนใจของเจ้า สิ่งที่รบกวนจิตใจข้ามากที่สุดคือกลอุบายตื้นเขินเช่นนี้”
อุบายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ในชีวิตก่อนเขาถึงตัดหางเก้าหางของปีศาจจิ้งจอกออก?
สิ่งที่ซูอี้เกลียดที่สุดคือการถูกล่อลวงโดยการหว่านเสน่ห์ทุกรูปแบบ
ความงามที่แท้จริงควรมีลักษณะเฉพาะ และเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับสรรพสิ่งที่ถูกสรรค์สร้างโดยกฎแห่งฟ้าดิน ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ความงามอันแท้จริงคือการไม่แสร้งทำโดยตั้งใจ
แต่กระนั้น หากจะเอ่ยถาม ฉาจิ่นผู้นี้สวยหรือไม่?
แน่นอนคำตอบคือสวยล้ำหาได้ยาก
แต่ในสายตาของซูอี้ กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนางคล้ายเป็นฟุ่มเฟือยจนน่าสังเวช ราวกับสตรีผู้งามเลิศเมื่อไม่แต่งหน้า แต่กลับแต่งหน้าจัด เป็นผลให้ผู้คนหมดความสนใจ
ฉาจิ่นตกตะลึง สีหน้าผันผวนสลับไปมา และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยออกอย่างละอาย “มิน่า คุณชายซูถึงไม่หวั่นไหวแม้เพียงนิด…”
“ไหนจงอธิบายมา ทำไมเจ้าจึงอยากยืมมือข้าเพื่อฆ่าคน?”
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระ เขาเพิ่งถูกเอาเปรียบ อารมณ์ของเขาจะเรียกว่าดีก็คงไม่ได้
“ไม่ปิดบังคุณชาย หนานเหวินเซียงผู้นี้เป็นเหมือนตะปูที่องค์ชายรองวางไว้รอบตัวข้า ถ้าข้าไม่กำจัดเขา ข้ากังวลว่าความลับของข้าจะถูกเปิดเผย”
ไม่มีการเสแสร้งใดอีกต่อไป
ดวงตาของนางเย็นชาและนางพูดต่อ “หนานเหวินเซียงเพิ่งมาถึงมหานครอวิ๋นเหอเมื่อคืนวาน และข้ามีเจตนาฆ่าในใจอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงสร้างสถานการณ์คืนนี้ขึ้นมา”
ซูอี้พูดอย่างครุ่นคิด “มาถึงเมื่อคืนวานงั้นหรือ? หากให้ข้าเดา เจ้าคงจะล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดในลานฝึกฝนเตาหลอมขจีด้านนอกเมืองอยู่แก่ใจ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าต้องการจะฆ่าเขา เหตุไฉนเจ้าถึงต้องยืมมือข้า?”
ฉาจิ่นเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากเป็นผู้ต่ำต้อยลงมือด้วยตนเอง เรื่องราวย่อมจะบานปลายใหญ่โตเป็นอย่างมาก อนาคตของผู้ต่ำต้อยคงไม่พ้นการตกตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่คุณชายซูต่างออกไป แม้เมื่อวานท่านจะสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี ทว่าข่าวกลับถูกปิดไว้จนแน่นอย่างน่าประหลาด ฉะนั้นแล้ว ข้าจึงเชื่อว่าหากเป็นท่านสังหารหนานเหวินเซียง ผลกระทบมันย่อมไม่รุนแรงอย่างแน่นอน”
ซูอี้พ่นลมหายใจและกล่าวว่า “แผนของเจ้าช่างรอบคอบ ยืมมีดฆ่าผู้คน ปล่อยให้ข้ารับผิด และยังจะให้ข้ากำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัว”
ฉาจิ่นกะพริบตา พลางเอ่ยออกด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ถ้าท่านโกรธ ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ยินดีจะชดเชยค่าเสียหายทุกประการ ขอเพียงท่านเอ่ยออกข้าจะทำทุกอย่างให้โดยไม่ปริปากบ่น”
ซูอี้เย้ยหยัน “สตรีเช่นเจ้าที่เล่นกลต่อจิตใจของผู้คน ริอาจคิดจะร่วมหลับนอนกับผู้แซ่ซูอย่างนั้นหรือ? น่าขันนัก!”
ฉาจิ่น “…”
ใบหน้าสวยสดของนางเปลี่ยนเป็นทั้งสีฟ้าและขาว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอับอายและความโกรธ
ด้วยรูปลักษณ์ของนาง แม้แต่องค์ชายรองก็น้ำลายสอ หากเพียงได้จับปลายนิ้วนาง ยังไม่รู้ว่ามีบุรุษมากเท่าไรยินยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่าง ไม่ต่างจากผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้ากองเพลิง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกทำให้ขายหน้าเช่นนี้!
ร่วมนอนกับนางเป็นเรื่องต่ำช้าได้อย่างไร?
บุรุษคนนี้บ้าไปแล้วหรือ?
ในขณะนี้ ฉาจิ่นโกรธมากจนอยากจะทุบหัวของซูอี้ นางไม่เคยพานพบผู้ชายที่ไร้ซึ่งตัณหาเช่นนี้มาก่อน
แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ระงับโทสะเอาไว้และกล่าวว่า “คุณชายซู ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ แต่ตอนนี้ท่านมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ยอมเป็นศัตรูต่อองค์ชายรองหรือไม่ก็ร่วมมือกับข้า!”
“ร่วมมือ?” ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่ คุณชายอาจสังเกตเห็นว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ได้รับใช้องค์ชายรองจริง ๆ มิฉะนั้น ข้าคงลงมือต่อองค์ชายหกแห่งต้าโจวไปแล้ว”
ขณะพูด ริมฝีปากฉาจิ่นยกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ปรากฏว่าเจ้าเป็นเพียงตัวหมากที่ถูกส่งไปวางข้างองค์ชายรอง สิ่งต่าง ๆ เริ่มยุ่งยากมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ซูอี้ถอนหายใจเบา
ฉาจิ่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม หลังจากที่คุณชายร่วมมือกับข้า ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้”
ซูอี้ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าเพียงคิดว่าเจ้าเป็นสตรีที่กำลังทุกข์ยากตอนเจ้าอยู่บนเรือ ข้าไม่เคยคิดว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นตัวปัญหาที่ยุ่งยากขนาดนี้ ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะฆ่าเจ้าไปตั้งแต่ขณะนั้นที่เจอกัน”
ฉาจิ่นตกตะลึง
ในเวลานี้ซูอี้หัวเราะอย่างกะทันหัน “ช่างเถิด ขณะนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ยืมมือข้าสังหารผู้คน โยนความผิดให้ข้าแบกรับ สุดท้ายยังต้องการให้ข้าทำงานให้เจ้า สตรีเช่นเจ้า… โลภมากสมควรตาย”
ชิ้ง!
ก่อนที่เสียงดาบจะคำราม ซูอี้ได้โจมตีด้วยดาบแล้ว!
ดาบประกายม่วงฉายประกายเย็นเยียบอีกครา เพียงแค่สะบัดฟัน ประกายแสงม่วงคมเฉียบ ระเบิดออกด้วยพลังอันน่าสะพรึง เชือดเฉือนไปยังฉาจิ่นที่อยู่ห่างออกไปสองจั้ง
ดวงตาที่สวยงามของฉาจิ่นหดตัว ดาบสั้นสีเงินคู่หนึ่งถูกชักออกจากแขนเสื้อ นางจับพวกมันไว้มั่นมือและปิดกั้นดาบประกายม่วงด้วยท่วงท่าดาบไขว้ประสาน
พลังดาบของซูอี้นั้นน่ากลัวจนชวนขนหัวลุก จึงไม่มีปัญหาที่จะฆ่าปรมาจารย์ผู้ช่ำชองเช่นฉินเหวินเยวียน
แต่ถึงครานี้มันกลับถูกสกัดกั้นได้โดยฉาจิ่น
เสียงปะทะดังกึกก้อง! หลังจากเสียงอึกทึกแห่งการปะทะ ร่างของฉาจิ่นลอยถอยกลับหัว และพริบตาถัดมา ร่างที่บอบบางก็ยืนอย่างมั่นคงบนรั้วของลานบ้าน
อย่างไรก็ตาม แขนของนางชา ข้อมือของนางสั่น และทั้งตัวของนางโซเซไปมาราวกับเรือน้อยกลางคลื่นทะเล เห็นได้ชัดว่าการรับมือกับดาบของซูอี้นั้นลำบากยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้นางประหลาดใจ และนางก็ตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงของซูอี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉาจิ่นยิ้มหวานทันทีและกล่าวว่า “คุณชายซู คืนนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ เมื่อใดที่ผู้ต่ำต้อยคิดวิธีการชดเชยที่ดีได้ ข้าจะกลับมารบกวนท่านอีกครา”
นางหันกลับและกำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้น เสียงอันคลุมเครือและไม่อาจอธิบายได้ดังก้องกังวานในหู
“อึ่ก!”
คราแรก มีเพียงแค่เสียงที่วนเวียนในโสตประสาทฟังประหนึ่งเหมือนเสียงของเทพเจ้าและปีศาจกำลังโห่ร้อง
แต่ถัดจากเสียงหึ่งในหัวของนาง วิญญาณของนางเจ็บปวดอย่างรุนแรง และในภวังค์ คล้ายกับนางจะเห็นดาบยักษ์ที่เทียบได้กับขุนเขาจากยุคบรรพกาล หล่นร่วงลงมาจากฟากฟ้า
ภาพอันน่าอัศจรรย์แต่น่าสิ้นหวังนี้แผ่ซ่านไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ
แต่ในขณะใกล้จะสิ้นสติ ฉาจิ่นกัดปลายลิ้นอย่างรวดเร็ว และใช้เคล็ดวิชาลับก้นหีบช่วยชีวิตตัวเองอย่างเร่งร้อน ระงับพลังลึกลับที่บุกรุกจิตวิญญาณในทันที สติของนางจึงฟื้นคืนความชัดเจนได้อย่างหวุดหวิด
ทว่า ขณะเดียวกับที่การมองเห็นกลับคืน นางพลันแลเห็นซูอี้เหวี่ยงดาบเข้าหาจากระยะไกล
ฉาจิ่นโพล่งตะโกนร้องออกด้วยเหงื่อเย็นเยียบ นางไม่กล้าที่จะลังเลแม้แต่น้อย และหันหลังหนี
ฉัวะ!
กลางแผนหลังที่เปิดเผย แสงดาบฟาดลงมา
ฉาจิ่นรู้สึกเย็นวาบทั้งกลางแผ่นหลัง เสื้อผ้าที่อยู่ข้างหลังถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แผ่นหลังที่ขาวราวกับหิมะและละเอียดอ่อน ถูกเผยออกมาในท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน
แม้ว่าคมดาบยังไม่ทันได้สัมผัสผิว แต่ปราณดาบที่พวยพุ่งนั้นย่อมไม่ธรรมดา มันเฉือนผ่านหลังของนางไม่ลึกแต่ก็ไม่ตื้น
เลือดอาบออกจากแผลไหลบนลงล่าง ลามจากหลังโค้งของนางลงไปถึงส่วนก้น…
“อ๊า~!”
ในความมืดแห่งราตรีกาล เสียงร้องอุทานของฉาจิ่นยิ่งเด่นชัด แต่เพราะท่าร่างอันแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่มนุษย์ นางจึงหนีรอดไปได้ด้วยความอับอาย ปล่อยให้เสื้อผ้าห้อยลู่ตามลม
ซูอี้ยืนอยู่บนรั้วของลานบ้าน มองดูอีกฝ่ายหลบหนี เขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ฉาจิ่นผู้นี้คลี่คลายอำนาจ ‘เพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ’ ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
“ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะมีพลังมากกว่าที่ข้าคิด ช่างน่าสนใจนัก”
ทันใดนั้นซูอี้เผยยิ้ม กล้าที่จะยืมมือข้าซูอี้สังหารคนและให้รับผิดแทนงั้นหรือ?
“ไม่ว่าต้นกำเนิดของเจ้าจะเป็นอย่างไร หรือมีกองกำลังใดอยู่เบื้องหลัง เจ้าจะต้องจ่ายราคาที่หนักหนาต่อข้า!”
ยามคิดสรุปได้เช่นนี้ซูอี้ก็หันหลังและกระโดดลงจากกำแพง
“ศิษย์พี่ซู ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และหวงเฉียนจวินต่างก็ออกมาหาเขา
“เป็นพวกเขาที่มีปัญหา” ซูอี้ยิ้ม
“พี่ซู ดูเหมือนตัวตนของฉาจิ่นผู้นี้จะมีปัญหายิ่ง!” หวงเฉียนจวินกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
ซูอี้โบกมือ “เอาล่ะ รีบกำจัดศพออกไป ศิษย์น้องเฟิง เจ้าและเสี่ยวหรานกลับไปพักผ่อนต่อเถอะ”
พูดจบซูอี้กลับห้องตัวเอง
“ชิงหว่าน เจ้าจำกลิ่นอายของปีศาจสาวเมื่อครู่ได้หรือไม่?” ซูอี้ถามอย่างไร้อารมณ์
“เรียนนายท่าน ชิงหว่านจำได้แม่นยำ ตราบใดที่นางปรากฏตัวในระยะหนึ่งร้อยจั้ง ข้าจะตรวจจับได้ในทันที” เสียงเขินอายดังมาจากน้ำเต้า
“ประเสริฐ ในที่สุดเจ้าก็มีประโยชน์เสียที ไม่เสียแรงที่ข้าฟูมฟักเจ้าจนบัดนี้”
ซูอี้พยักหน้าพึงพอใจ
ชิงหว่านได้กลายร่างเป็น ‘ผีอสูร’ แล้ว ขณะนี้พลังวิญญาณของนางเฉียบแหลมอย่างหาที่เปรียบมิได้
ภายในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ ชิงหว่านหรี่ตาโตของนางอย่างมีความสุข ดูแล้วสวยงามน่าหลงใหลยิ่ง
“พี่ซู ข้าพบม้วนสาส์นลับและแผ่นหยกจากศพ ท่านอยากจะดูพวกมันหรือไม่”
ทันใดนั้นเสียงของหวงเฉียนจวินดังขึ้นนอกห้อง