บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1390: เขาเคยเป็นแขกในงานเลี้ยงลูกท้อ
ตอนที่ 1390: เขาเคยเป็นแขกในงานเลี้ยงลูกท้อ
………………..
ตอนที่ 1390: เขาเคยเป็นแขกในงานเลี้ยงลูกท้อ
ม่อซิงหลิน
เซียนผู้หนึ่งจากตระกูลเซียนชั้นนำแห่งโลกเซียน!
หากวัดกันตามขั้นอาวุโส เขาเป็นท่านอาทวดของม่อชิงโฉว
นับแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ม่อซิงหลินนั้นประสบอุบัติภัยสิ้นร่างเซียน จิตวิญญาณแตกสลาย จนเพิ่งได้สติกลับคืนมาส่วนหนึ่งจากนิทราชั่วนิรันดร์เมื่อไม่นานนี้
ทว่าร่างของเขาก็ยังคงเป็นวิญญาณอาสัญตนหนึ่ง
เมื่อท้องนภาถล่มลงมา ผู้แรกที่จะพบเคราะห์ก็คือผู้ยืนอยู่จุดสูงสุด
กาลก่อนในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เซียนเช่นม่อซิงหลินล้วนประสบหายนะกันถ้วนทั่ว ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น
ทว่าแม้จะเหลือเพียงวิญญาณอาสัญ แต่สุดท้ายเซียนก็ยังเป็นเซียนอยู่ดี!
มิอาจเทียบกับตัวตนในวิถีจุติสรวงได้เลย
ขณะนี้ แสงเซียนในถ้ำพำนักสว่างเจิดจ้าเยี่ยงน้ำตก ปราณเซียนกู่คำราม และม่อซิงหลินในก้อนหยกก็ดูจะตื่นจากภวังค์ชั่วนิรันดร์กาล
อำนาจเซียนไพศาลทรงพลัง!
“เหตุใดเจ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับตระกูลหง จับคนผู้นี้เสียทันทีเล่า? หากทำเช่นนั้น เราก็ยึดครองวัฏสงสารมาปลดคำสาปให้กับทุกคนในตระกูลได้ง่าย ๆ แล้วแท้ ๆ”
ม่อซิงหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ
เมื่อเผชิญกับคำถามนี้ ม่อชิงโฉวก็ได้คิดคำตอบไว้ก่อนแล้ว นางรีบอธิบายเกียรติประวัติดั้งเดิมและความสำเร็จต่าง ๆ ของซูอี้ออกมาทันที
ท้ายที่สุด ม่อชิงโฉวก็ให้ความเห็นว่า “ยิ่งมิต้องพูดถึงโลกมนุษย์ใบนี้ กระทั่งในโลกเซียน ข้าก็มิเคยพานพบผู้ใดเทียบได้กับซูอี้เลยเจ้าค่ะ!”
ม่อซิงหลินเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวว่า “จากที่เจ้าว่ามา คนเช่นนี้ไร้เทียมทานในโลกหล้าจริง ๆ ทว่าคนเช่นนี้ย่อมไม่โอนอ่อนต่อผู้อื่น มิอาจให้เราใช้งานได้”
ม่อชิงโฉวส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านบรรพชนเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยคิดดึงเขามาเป็นพวกตระกูลเราเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดก็ทิ้งความคิดนี้ไป ยามนี้ข้าแค่ต้องการสานสัมพันธ์อันดีกับเขาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ม่อชิงโฉวถอนหายใจอย่างเศร้า ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านบรรพชน ซูอี้ผู้นั้นมีความลับและไพ่ตายเกินเข้าใจมากมาย แค่ผู้ที่หนุนหลังซูอี้อยู่ก็ล่วงเกินมิง่ายแล้วเจ้าค่ะ”
ม่อซิงหลินอดหัวเราะมิได้ “จริงหรือ ข้าคิดอยู่นานก็ยังคิดมิออกเลยว่าจะมีผู้ใดในโลกมนุษย์นี้ที่เราตระกูลม่อล่วงเกินมิได้ ไหนลองว่ามาซิว่าเป็นผู้ใดกัน?”
น้ำเสียงของเขาเจือความทะนง
ม่อชิงโฉวว่า “นางคือ… ท่านเซียนหงอวิ๋นเจ้าค่ะ”
หนึ่งวาจา หนึ่งสมญานาม ทำให้บรรยากาศในถ้ำแห่งนี้อึมครึมลงในพริบตา
รอยยิ้มบนใบหน้าม่อซิงหลินแข็งค้าง ก่อนที่ครู่ต่อมานางจะกระซิบว่า “นาง…นางหาใช่ส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์นี้ไม่”
บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
ม่อซิงหลินกระแอมแห้ง ๆ โดยมิรีรอให้ม่อชิงโฉวกล่าวคำใด “เจ้าบอกว่าเซียนหงอวิ๋นสนับสนุนคนผู้นี้หรือ?”
ม่อชิงโฉวว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
กล่าวจบ นางก็เล่ารายละเอียดเรื่องที่เซียนหงอวิ๋นมาช่วยซูอี้คลี่คลายวิกฤตด้วยตนเองระหว่างศึกแท่นเมฆาม่วง
ม่อซิงหลินฟังแล้วก็กล่าวทันที “ก่อนหน้านี้เจ้าคิดได้ดี ไม่ว่าผู้ใดจะวางตัวเป็นปรปักษ์กับซูอี้ผู้นี้ เราตระกูลม่อมิอาจเข้าพัวพันได้!”
วาจานั้นเฉียบขาดและตรงประเด็น
ม่อชิงโฉวอดเหน็บแนมในใจมิได้ ‘ก่อนหน้านี้ข้าพูดเสียเยอะแยะ แต่ไม่เห็นท่านบรรพชนจะสนใจ ทว่าพอยกนามเซียนหงอวิ๋นเท่านั้น ไฉนความคิดจึงกลับตาลปัตรทันทีเล่า?’
ม่อซิงหลินชิงพูดขึ้นก่อน “เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดี ในเมื่อเจ้ายืนยันแล้ว ก็ต้องให้แน่ใจว่าจะมิเสียสิ่งใด”
“ไม่ว่าผู้ใดกล้ายื่นมือแทรกแซงการประลองระหว่างสหายเต๋าซูกับเด็กนั่นจากตระกูลหง คนผู้นั้นจะมิอยู่ร่วมโลกกับตระกูลม่อของเรา!”
“ข้าไม่เชื่อว่าจะมีไอ้แก่ที่ไหนกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลม่อ!”
วาจานั้นเผยอำนาจกดดัน
ขณะเดียวกัน ม่อชิงโฉวกลับรู้สึกแตกต่างออกไป
เพียงพริบตาเดียว ซูอี้ก็ถูกบรรพชนเรียกว่า ‘สหายเต๋า’ เสียแล้ว
มิต้องสงสัยเลยว่าประเด็นหลักของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของบรรพชนขึ้นอยู่กับเซียนหงอวิ๋น!
เมื่อคิดเช่นนี้ ม่อชิงโฉวก็อดสงสัยมิได้ “ท่านบรรพชน ในอดีต ข้าก็เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับท่านเซียนหงอวิ๋น แต่พวกมันส่วนใหญ่ล้วนคลุมเครือและเต็มไปด้วยความลับดุจเมฆหมอกบังบรรพต ท่านบอกข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ว่านาง… มีที่มาอย่างไรกันแน่?”
ม่อซิงหลินรำพึง “มิใช่แค่เจ้าหรอก ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน”
ม่อชิงโฉว “???”
กระทั่งบรรพชนของนางยังไม่รู้รากเหง้าที่แท้จริงของเซียนหงอวิ๋นหรือ?
ประหลาดเกินไปแล้ว!
“ข้าจำได้เพียงว่าตั้งแต่ยามที่ข้าอยู่ในโลกเซียน ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งในตระกูลเราเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเขาเคยได้พบท่านเซียนหงอวิ๋นจากไกล ๆ ในงานเลี้ยงลูกท้อซึ่งจัดโดย ‘ศาลเซียนรวมศูนย์’ มาก่อนหนหนึ่ง”
น้ำเสียงของม่อซิงหลินเปี่ยมการหวนรำลึก “ยามนั้น ตัวตนบรรพกาลจากตระกูลเราก็เคยถูกเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อเช่นกัน แต่ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยังโถงหลักของงานเลี้ยงได้”
“ทว่าท่านเซียนหงอวิ๋นผู้นั้นเข้าไปได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างของม่อชิงโฉวก็สั่นสะท้าน ใบหน้าจิ้มลิ้มเปี่ยมความตกตะลึง
ศาลเซียนรวมศูนย์
นั่นคือหนึ่งในขุมกำลังปกครองโลกเซียนเยี่ยงยักษ์!
‘งานเลี้ยงลูกท้อ’ ของศาลเซียนรวมศูนย์ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เลื่องชื่อที่สุดในโลกเซียน ทุกครั้งที่มีการจัดขึ้น มันจะดึงดูดความสนใจทั่วทั้งโลกเซียน
ทว่าผู้ที่สามารถได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงยิ่งใหญ่นี้ได้มีเพียงตัวตนชั้นหนึ่งในโลกเซียนเท่านั้น!
เหมือนเช่นตระกูลม่อซึ่งก็เป็นหนึ่งตระกูลชั้นนำในโลกเซียน ซึ่งครอบครองหนึ่งดินแดน
แม้ว่าพวกเขาจะมีคุณสมบัติได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อ ทว่าก็แค่มีคุณสมบัติเท่านั้น
ทว่าเซียนหงอวิ๋นนั้นไม่เพียงได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ยังได้รับเชิญสู่โถงกลางงานเลี้ยง การปฏิบัติเช่นนี้พิเศษเกินไปอย่างยิ่ง!
ม่อชิงโฉวจะมิตะลึงได้เช่นไร?
ในอดีต นางเองก็รู้ว่าเซียนองอวิ๋นมีที่มาพิเศษ ตัวตนไม่ธรรมดา แต่มิคาดเลยว่านี่จะเป็นตัวตนซึ่งสามารถเข้าโถงหลักงานเลี้ยงของศาลเซียนรวมศูนย์ในงานเลี้ยงลูกท้อได้!
“ท่านบรรพชน นี่จริงหรือเจ้าคะ?”
ม่อชิงโฉวมึนงง เชื่อไม่ลงเล็กน้อย
“นี่คือสิ่งที่ตัวตนบรรพกาลในตระกูลเราเห็นมากับตา ไม่มีทางผิดพลาดไปได้”
ม่อซิงหลินรำพึง “ทว่ามันก็เนิ่นนานมาแล้ว นับแต่ยุคอวสานเซียนอุบัติ ผู้ประสบภัยกลุ่มแรกก็คือขุมกำลังสูงสุดเยี่ยงศาลเซียนรวมศูนย์ และข้าก็ไม่อาจทราบว่ามันผ่านไปนานเพียงไร ข้าเกรงว่า… ศาลเซียนรวมศูนย์คงสลายไปท่ามกลางธารสายยาวแห่งประวัติศาสตร์แล้ว…”
น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาจนใจ
ยุคอวสานเซียน!
มันเป็นยุคมืดที่มิอาจทราบว่ามีขุมกำลังเซียนตกตายไปมากเพียงใด
มิอาจหยั่งรู้ว่ามีตัวตนในตำนานสูญหายไปมากมายเพียงใด!
ม่อชิงโฉวไม่ค่อยรู้สึกรู้สาเท่าไรนัก เพราะนางยังคงเยาว์วัยและมิเคยได้ประสบยุคมืดนั้นกับตน
นางแค่ตกใจเท่านั้น!
“ทว่า… เซียนหงอวิ๋นผู้เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อของศาลเซียนรวมศูนย์ยังมีชีวิตอยู่!”
ม่อชิงโฉวพึมพำ “นี่… ช่างเหลือเชื่อนัก…”
“ดังนั้นเรื่องนี้ต้องจัดการให้ดี อย่านำตนเองลงปลักโคลนเป็นอันขาด!”
ม่อซิงหลินกล่าวกำกับอย่างเคร่งขรึม
ม่อชิงโฉวพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
…
ณ จวนตระกูลหง
หงเฟยกวนอดประหลาดใจมิได้ยามได้ข่าวว่าซูอี้ตอบตกลงเข้าประชันศึก
ครู่ต่อมา เขาก็รำพึง “ความกล้าเช่นนี้ช่างน่าชื่นชม แต่ก็น่าเสียดาย… เจ้าฆ่าน้องชายข้า เป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันมิได้แล้ว หาไม่ ข้าหงเฟยกวนคงไม่เต็มใจส่งเจ้าสู่ปรภพด้วยมือตัวเองเป็นแน่”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็มองห่างออกไป
แสงสว่างเจิดจรัสสะท้อนลงบนใบหน้าขาวงดงามดุจภาพวาดของนาง ซึ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้งดงามตรึงใจ
ชิงถัง!
ศิษย์ลำดับเก้าแห่งถ้ำเสวียนจวิน
และยังเป็นศิษย์ผู้เดียวตลอดชีวิตของทัศนาจารย์
หญิงสาวยืนลำพัง ใบหน้าซีดโทรมเล็กน้อย ทว่าท่าทีของนางยังคงเฉยเมยเย็นชาเยี่ยงน้ำแข็ง
สายตาของนางทอดมองไปไกล หัวใจปั่นป่วนว้าวุ่น
“อย่าห่วงเลย ข้าหงเฟยกวนรับปากสิ่งใดจะมิขัดวาจาตน ครึ่งเดือนจากนี้ หากอาจารย์ของเจ้า ซูอี้เข้าร่วมศึกที่เขาพฤกษ์ระย้า เจ้าจะถูกปล่อยตัวโดยมิสนว่าผู้ใดอยู่ผู้ใดสิ้น”
หงเฟยกวนกล่าวขึ้น
ร่างบอบบางของชิงถังสะท้านเล็กน้อย หัวใจของนางไหววูบ
‘ข้ายอมตายดีกว่าสร้างปัญหาให้ท่านอาจารย์อีก…’
หญิงสาวพึมพำในใจ
แต่นางเองก็รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นซูเสวียนจวิน ทัศนาจารย์หรือซูอี้ ขอเพียงได้ข่าวนี้ เขาก็จะมาแน่นอน!
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวยิ่งโทษตนเองหนักขึ้น แสงเจิดจรัสจากนภามิอาจขับไล่ความโศกเศร้าบนใบหน้าของนางได้
…
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ภายในหนองน้ำอันเงียบงัน
ช่างเสื้อดื่มชาหนึ่งจอกอย่างแผ่วเบา มีความมุ่งมั่นอยู่ภายในดวงตาเฉยชาคู่นั้น
เขารู้ว่าหากต้องการสังหารทัศนาจารย์ในภายหน้า โอกาสจะเหลืออยู่ไม่มากนัก
และยามนี้ก็เป็นโอกาสล้ำค่าอันหายาก
ขอเพียงให้ทัศนาจารย์รอดชีวิตจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด้วยภูมิหลังและความสามารถของทัศนาจารย์ เขาจะบรรลุสู่วิถีจุติสรวงได้อย่างง่ายดาย!
และยามนั้น การจะทำลายทัศนาจารย์อีกครั้งจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ
“หงเฟยกวนรังเกียจจะฆ่าเจ้า แต่กลุ่มเต๋าอื่น ๆ …มีหรือจะอยู่เฉย?”
“ขอเพียงเจ้ามา ข้ามิจำเป็นต้องวางแผนเอง ไอ้แก่ทั้งหลายในเขตหวงห้ามเซียนละล่องก็ไม่ยอมมองเจ้าจากไปง่าย ๆ กันอยู่แล้ว!”
ช่างเสื้อลอบยิ้มเย้ย
…
ครึ่งเดือนถัดมา ทัศนาจารย์จะมายังเขาพฤกษ์ระย้าในเขตหวงห้ามสิ้นเซียนเพื่อต่อสู้ชี้ความเป็นความตายกับหงเฟยกวน นายน้อยตระกูลหง!
วันเดียวกันนั้น ข่าวนี้แพร่กระจายไปในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง จนเกิดเสียงฮือฮามากมายทันที!
“คนแซ่ซูผู้นั้นจะกล้ามาจริง ๆ หรือ?”
“ฮี่ ๆ นี่แหละที่เรียกว่าพาตนเองมาติดกับ!”
“ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้เป็นถิ่นของพวกเรา กฎสวรรค์ในโลกภายนอกมิได้กดข่มเราอีกต่อไป!”
…เมื่อกลุ่มเต๋าโบราณมากมายได้ข่าวนี้ พวกเขาก็เตรียมพร้อมลงมือ
เช่นโรงดาบเทพลี้ลับ บรรพตมารธารปรภพ พรรคเซียนเร้นราตรีและขุมกำลังโบราณอื่น ๆ ที่มีความแค้นกับซูอี้ซึ่งเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ลงมือ
พายุเริ่มก่อตัวขึ้น!
และข่าวนี้ก็แพร่ออกไปยังทั่วโลกหล้าอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้น วาตะเมฆาป่วนปั่น เกิดกระแสคลื่นไม่รู้จบ
และศึกตัดสินที่จะเกิดในครึ่งเดือนต่อมาก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งโลกหล้า
…
“เจ้านาย เจ้าเด็กแซ่ซูนั่นบ้าจริง ๆ! อยากไปตายที่เขตหวงห้ามเซียนละล่องด้วย!”
ภายในสมุทรมารไร้กำหนด สุนัขพื้นเมืองนามซิงเชวียตะโกนลั่น
เมิ่งฉางอวิ๋นกับยมบาลผู้กำลังฝึกฝนล้วนสะดุ้งมองมาเป็นตาเดียว
และซิงเชวียก็เล่าข่าวที่ตนเพิ่งได้รับมา
“ฟังนะ นี่ไม่ใช่หาความปราชัยให้ตนเองหรือ? ข้ากล้าพูดเลยว่าขอเพียงเขาไป เขาก็จะถูกไอ้แก่พวกนั้นกินเรียบมิคายกระดูก!”
สุนัขพื้นเมืองเห่าลั่น
เมิ่งฉางอวิ๋นและยมบาลล้วนกังวล
มีเพียงปราชญ์หงอวิ๋นซึ่งยังดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
นางกำลังเก็บผักอยู่ในสวน
ในยามนี้เป็นช่วงปลายสารทฤดูในโลกหล้า
กล่าวกันว่าให้ซ่อมเสริมสิ่งต่าง ๆ ในยามสารท และเก็บเสบียงสำหรับเหมันตฤดู คืนนี้นางคิดอยากกินหม้อไฟ ดองหัวไชเท้า ต้มซุปเนื้อแกะให้อิ่มหนำ
………………..