บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1391: อ้อนวอนข้าสิ
ตอนที่ 1391: อ้อนวอนข้าสิ
เมื่อเห็นว่าปราชญ์หงอวิ๋นเมินหัวข้อนี้ไปเสียสนิท
สุนัขพื้นเมืองก็มิพูดสิ่งใดต่ออย่างรู้งาน
เมิ่งฉางอวิ๋นกับยมบาลยังคงเป็นกังวล
พวกเขาดูอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ยั้งปากเอาไว้หลายหน
บรรยากาศอึมครึมลง
เมื่อเห็นเช่นนี้ สุนัขพื้นเมืองก็อดกล่าวปลอบมิได้ “พวกเจ้าฝึกฝนอย่างสบายใจเถิด ไม่เป็นไรหรอก คนผู้นั้นถือครองอำนาจวัฏสงสาร ต่อให้ถูกฆ่าไป ก็แค่เวียนวัฏอีกหนเท่านั้น”
ยมบาล “???”
นี่เรียกว่าปลอบหรือ?
เมิ่งฉางอวิ๋นครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะปลอบใจตนเอง “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ว่าในเมื่อใต้เท้าของข้าตกลงออกศึก เขาต้องมั่นใจเต็มที่แน่นอน!”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวอย่างโกรธเคือง “ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนี้ ไยยังมัวห่วงมิเข้าเรื่องเล่า!”
กล่าวจบ มันก็ร้องเสียงหลงราวกับเพิ่งนึกได้ “หนก่อนนายข้าส่งป้ายสัญลักษณ์จักรดาราให้เขาไป หรือเขาจะคิดว่ามีสมบัตินี้อยู่ เขาจะสามารถกร่างไปทั่วได้อย่างนั้นหรือ?”
“ด้วยนิสัยของสหายเต๋าซู เขาหรือจะฝากชีวิตตนไว้กับวัตถุภายนอก?”
ในสวนผัก ในที่สุดปราชญ์หงอวิ๋นก็ปริปากพูด “เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง ข้าเกรงว่าเขาจะยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าป้ายสัญลักษณ์จักรดาราซ่อนความลับใดไว้”
สุนัขพื้นเมืองตะลึง “แปลว่าเด็กนั่นมีไพ่ตายอื่นอยู่หรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นเมินคำถามนั้น นางเพียงสั่งออกมาอย่างเฉยเมย “ไปหาแกะอ้วน ๆ มา คืนนี้เราทำหม้อไฟกินกัน”
…
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
และในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง คลื่นใต้น้ำก็กำลังซัดสาด พายุก่อตัวอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุเช่นนี้ หงเฟยกวนก็ประกาศต่อโลกภายนอกอย่างตรงไปตรงมา
“ใครที่กล้าเข้าแทรกแซงการประลองนี้จะเป็นศัตรูกับตระกูลหงทั้งตระกูล!”
และไม่นานหลังจากหงเฟยกวนประกาศข่าวนี้ ตระกูลม่อของม่อชิงโฉวก็ประกาศต่อโลกหล้าด้วยนามบรรพชนม่อซิงหลินด้วยเช่นกัน
พวกเขาประกาศว่าศึกประลองนี้อยู่ภายใต้การรับประกันของตระกูลม่อ!
ทันทีที่สองข่าวนี้ถูกประกาศออกมา เขตหวงห้ามเซียนละล่องก็สะเทือนเลือนลั่น
ตระกูลหงเป็นตระกูลโบราณผู้สืบเชื้อสายมารสวรรค์จากโลกเซียนและมีภูมิหลังร้ายกาจ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มเต๋าสูงสุดแห่งหนึ่งในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
และตระกูลม่อซึ่งเป็นตระกูลเซียนชั้นแนวหน้าเองก็หาด้อยไปกว่ากันไม่
เมื่อสองขุมกำลังหลักออกประกาศจุดยืนด้วยกัน ขุมกำลังใหญ่ใดเล่าจะกล้ามองข้าม?
ทว่าก็ยังมีกลุ่มเต๋าสูงสุดหลายแห่งที่มิคิดจะรามือเพียงเท่านี้
“ตระกูลหงคิดฮุบวัฏสงสารไว้ผู้เดียวหรือ? ไม่มีทาง!”
บางผู้เหยียดยิ้ม
“ตระกูลม่อรับประกันแล้วเช่นไร? ข้าว่าตระกูลม่อนั่นล่ะที่ร่วมมือกับตระกูลหงเพื่อจะยึดวัฏสงสารไว้เสียมากกว่า! เรามิเห็นด้วยหรอก!”
บางผู้หมายมาด
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหงหรือตระกูลม่อที่ได้วัฏสงสารไป ขุมกำลังใหญ่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องย่อมมิยอมเป็นแน่
เพราะถึงอย่างไร หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น วิญญาณอาสัญทั้งหลายจะถูกกำราบด้วยอำนาจวัฏสงสาร!
“การประลองนี้เราเข้าแทรกแซงไม่ได้ ทว่าเราต้องได้รับส่วนแบ่งอำนาจวัฏสงสารในร่างซูอี้ผู้นั้น!”
“ซูอี้นี่หัวแข็งจริงแท้ คิดให้หัวแตกอย่างไร ข้าก็คิดมิออกเลยว่าเหตุใดเขาต้องมาหาที่ตายด้วย”
“ความเป็นความตายของเขามิสำคัญแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือตระกูลใดจะได้อำนาจวัฏสงสารในร่างของเขาไปในท้ายที่สุดต่างหาก!”
…ในสายตาของขุมกำลังโบราณทั้งหลายในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง การประลองระหว่างซูอี้กับหงเฟยกวนนั้นมิเพียงเป็นการตัดสินแพ้ชนะ แต่ยังเกี่ยวกับผู้ที่ได้ครอบครองอำนาจวัฏสงสารในท้ายที่สุดอีกด้วย!
ดูเหมือนทุกคนจะเชื่อว่าขอเพียงซูอี้เดินทางมา เขาจะไม่มีทางรอดกลับไป
…
เจ็ดวันถัดมา
ณ ห้องหนึ่งในวัดสรรพสุญตา
หนึ่งวจีดาบกังวานใสปลุกซูอี้จากภวังค์สมาธิ
เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่าดาบแห่งโลกากำลังเปลี่ยนแปลง!
แสงเซียนสว่างไสวจากตัวดาบครามทองเยี่ยงน้ำตก และปราณศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อตัวอย่างต่อเนื่องเยี่ยงภาพฝัน
ดาบทั้งเล่มเจิดจรัสเยี่ยงตะวัน
ซูอี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสัมผัส รูปลักษณ์และอำนาจของดาบแห่งโลกากำลังแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์!
มันเปรียบได้ดั่งการเปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนยามเคลื่อนผ่านขอบเขตใหญ่ เป็นการเลื่อนระดับขอบเขตจากภายในสู่ภายนอกดุจหงส์เกิดใหม่จากเถ้าธุลี!
วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตจุติสรวงเหล่านั้นถูกหล่อหลอมด้วยเตาเสริมสวรรค์หมดแล้ว
และหลังจากดูดซับแก่นพลังต้นกำเนิดของวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ ดาบแห่งโลกาก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง!
เนิ่นนานผ่านไป
วจีดาบค่อย ๆ เลือนหาย แสงสว่างจางลงทีละน้อย
ดาบแห่งโลกาเงียบวจี
เมื่อเทียบกับกาลก่อน รูปลักษณ์ของดาบแห่งโลกามิได้เปลี่ยนไปมากนัก ทว่าปราณของมันกลับเรียบง่ายและสำรวมยิ่งกว่าเก่า
ดูมันจะชะล้างตนบริสุทธิ์และหวนคืนสู่ธรรมชาติ
ซูอี้ยกมือขึ้นรับดาบไว้ในมือและความรู้สึกดุจเป็นเลือดเนื้อตนก็แผ่เข้ามาในใจ
ตู้ม!
เมื่อซูอี้สั่งในใจ ดาบแห่งโลกาก็ระเบิดแสงเซียนเจิดจรัส เพียงอำนาจเช่นนั้นก็ลึกล้ำเยี่ยงหุบเหว หนาหนักเยี่ยงบรรพต แดนดินโดยรอบถูกบดขยี้ทีละน้อยจนเกิดระลอกคลื่นเบาบางขึ้นบนสุญญะ
“เพียงอำนาจอย่างเดียว มันก็มิได้อ่อนแอไปกว่าสมบัติจุติสรวงขั้นสูงเหล่านั้นเลย!”
“หากว่ากันด้วยรูปลักษณ์ จิตวิญญาณและมรดก มันก็เหนือล้ำจนมิอาจเทียบกับสมบัติจุติสรวงสูงเหล่านั้นได้อีกแล้ว”
“ดี ดีจริง ๆ”
หัวใจของซูอี้ิลิงโลดขึ้นอย่างพึงพอใจ
ในอดีต เขาสังหารศัตรูร้ายมานับไม่ถ้วน รวบรวมสมบัติขอบเขตจุติสรวงไว้มากมาย เขาย่อมทราบได้ทันทีว่าดาบแห่งโลกาแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่ธรรมดาราวปาฏิหาริย์เพียงใด
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็เก็บดาบแห่งโลกาไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองเตาเสริมสวรรค์และพบว่าสมบัติชิ้นนี้กลืนกินวัตถุดิบและโอสถทิพย์ไปมากมาย ทว่ามันกลับมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
อย่างมากที่สุดก็รอยสนิมกะด่างกะดำบนตัวเตาเลือนหายไปนิดหน่อย
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้มิอาจคาดเดาได้ว่าเขาควรเก็บรวบรวมสมบัติเลิศภพจบแดนอีกมากมายเพียงไร อำนาจดั้งเดิมของเตาเสริมสวรรค์จึงถูกฟื้นคืนได้เท่ากาลก่อน
ในภายหน้า เมื่อเขาพัฒนาวิถีเต๋าของตน เขาย่อมได้สั่งสมวัตถุดิบและโอสถวิญญาณหายากมากขึ้น มิเพียงเตาเสริมสวรรค์จะได้รับประโยชน์ แต่เขาเองก็จะได้ประโยชน์มากมายด้วยเช่นกัน
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ซูอี้เก็บเตาเสริมสวรรค์ไปแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะทำสมาธิฝึกฝนต่อ
การฝึกฝนของเขามาถึงขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว และสิ่งที่เขาทำได้ในยามนี้ก็คือเสริมความแข็งแกร่งให้กับวิถีเต๋าของเขา จัดเรียงวิถีของตน และเตรียมการบรรลุสู่วิถีจุติสรวงขอบเขตจิตทารกในภายภาคหน้า
ขอบเขตจิตทารก หนึ่งในสามขอบเขตจุติสรวง
และยังเป็นขอบเขตแรกในวิถีจุติสรวงอีกด้วย
ณ จุดนี้ ถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่างของเขาจะก่อกำเนิดแก่นแท้จิตวิญญาณ และโลกภูมิไร้จำกัดก็จะมีชีวิตของมันโดยแท้จริง!
ด้วยพลังชีวิตนี้ โลกภูมิไร้จำกัดในร่างของเขาจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงสารพัด เช่นการแปรเปลี่ยนแดนดิน วัฏจักรตะวัน จันทราและดวงดาว การแปรผันแห่งฟ้าดิน สี่ฤดูเวียนเปลี่ยน…
จิตวิญญาณต้นกำเนิดนี้คือ ‘จิตทารก’!
คำว่าจิตก็คือแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ
ทารกนั้นก็คือที่มาแห่งจิตต้นกำเนิด
เมื่อจิตทารกสมบูรณ์ การจุติสรวงก็เป็นจริง!
นี่คือที่มาของสมญานามว่า ‘ยอดคนจุติสรวง’
และคุณภาพของ ‘จิตทารก’ ในโลกภูมิไร้กำจัดในร่างก็จะเกี่ยวพันกับความแข็งแกร่งของตัวผู้ฝึกตนเอง!
แม้ซูอี้จะไม่เคยก้าวสู่วิถีจุติสรวงมาก่อน แต่เขาก็เคยได้อ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวเนื่องกับขอบเขตจิตทารกมามากมาย และยังเคยหารือความลับของขอบเขตนี้กับดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อมาก่อน
สำหรับเขา หากต้องการเลื่อนขอบเจตจริง ๆ เขาจะสามารถสร้าง ‘จิตทารก’ อันมิอาจมีผู้ใดในขอบเขตเดียวกันเทียบได้มาก่อน!
“ข้าขอแนะนำเจ้านะ อย่ารีบเข้าสู่วิถีจุติสรวงจะดีกว่า!”
ขณะที่ซูอี้กำลังจะตั้งมั่นทำสมาธิอยู่นั้นเอง เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในห้วงความนึกคิด
ดุจนายเหนือแห่งเก้าชั้นฟ้าประกาศเจตจำนง โดดเด่นทรงพลัง สะเทือนถึงใจผู้ฟัง
“โอ๋?”
ซูอี้ประหลาดใจ
นั่นคือเสี้ยวสติจากกรรมวิถีชาติที่หกของเขา และแม้จะถูกดาบเก้าคุมขังผนึกมิให้ออกมา เขาก็ตื่นขึ้นแล้ว
“ข้าได้เห็นสรรพชีวิตทั่วสวรรค์และพิภพมาหมดแล้ว ทั้งบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นพหูสูตแต่กำเนิด ทั้งผู้เก่งกาจเลิศเลอตราบกาลนาน”
“ข้าแน่ใจว่าหากเจ้ารีบเลื่อนขอบเขตเสีย เจ้าอาจจะสามารถสร้างจิตทารกอันเยี่ยมยอดได้ก็จริง แต่อย่างมากที่สุด เจ้าก็กล่าวได้เพียงไร้เทียมทานในโลกหล้า แต่มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้า!”
น้ำเสียงของตัวตนในชาติที่หกของเขายังคงสุขุมและเฉยชา “หากเป็นได้แค่นั้น เจ้าจะได้เป็นเซียนดาบไร้เทียมทานยามก้าวสู่วิถีเซียนในอนาคตได้เช่นไร?”
“พลาดหนึ่งก้าวคือพลาดทุกก้าว เจ้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี”
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอย่างสนใจ “งั้นเจ้าคิดว่าข้าควรเลื่อนขอบเขตเช่นไรดี?”
น้ำเสียงของชาติที่หกพลันแปรเปลี่ยนอย่างละเอียดอ่อน “ขอเพียงเจ้าปริปากอ้อนวอนข้าผู้นี้ ข้าจะบอกให้”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ฝันไปเถอะ”
นับแต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ระหว่างศึกเขาจันทร์กระจ่าง จู่ ๆ ชาติที่หกก็เอ่ยปากถามว่าต้องการความช่วยเหลือจากเขาหรือไม่
ยามนั้น ซูอี้ตอบปฏิเสธโดยไร้ลังเล
และยามนี้ เมื่อชาติที่หกเสนอ ‘ช่วยเหลือ’ อีกครั้ง ซูอี้ก็พอเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร
โจมตีหัวใจ!
สร้างบุญคุณน้ำใจด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘การช่วยเหลือ’ ทีละนิด
เมื่อทำเช่นนี้ ยามรวมกรรมวิถีชาติที่หกในภายหน้า หนี้บุญคุณเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นตรวนสะกดจิตใจ ปรากฏเป็นมารหัวใจอันร้ายกาจที่สุด!
“ฝันไปเถอะหรือ?”
ชาติที่หกดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด วาจาของเขาหนักอึ้ง “จำได้หรือไม่ว่าเจ้าและข้าเป็นคน ๆ เดียวกัน สิ่งที่ข้าพูดก็เพราะมิอยากให้เจ้าออกนอกลู่นอกทาง สร้างความด่างพร้อยในวิถีตนในภายภาคหน้านะ!”
ซูอี้เสสรวลพลางกล่าว “ข้าว่าเจ้าแค่คิดเรื่องของตัวเองมากกว่า”
“ลองคิดดู หากข้าทิ้งจุดด่างพร้อยในวิถีไว้ ต่อให้อำนาจมหาวิถีของเจ้าจะฉวยโอกาสชิงร่างข้าในภายหน้า จุดด่างพร้อยนั้นก็จะมิอาจซ่อมแซมได้อีกต่อไป”
ชาติที่หกพลันเงียบไป
ครู่ต่อมา เขาก็รำพันออกมา “ถูกต้อง ความเสียใจยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าคือมิอาจล้ำเลิศในวิถีเซียนตลอดกาลนานได้ ดังนั้น…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ได้กล่าวต่อ ทว่ากลับกล่าวเบี่ยงประเด็น “ทว่าข้าแน่ใจว่าหากเจ้าทำตามคำแนะนำของข้า เจ้าจะสามารถสร้างพื้นฐานวิถีจุติสรวงอันแข็งแกร่งกว่าผู้ใด เบิกวิถีสูงสุดที่สามารถสะเทือนทั่วกาลนานได้แน่นอน!”
แล้วน้ำเสียงของชาติที่หกก็เปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ระคนโหยหา “วิถีนี้ถูกค้นพบก่อนที่ข้าจะเวียนวัฏ ตรากตรำเสี่ยงชีวิตเป็นตาย ต่อสู้กับศัตรูร้ายแห่งสวรรค์จึงได้พบพาน!”
“ยามนั้น มันกระทั่งสั่นพ้องคล้องกันกับดาบเก้าคุมขังด้วย!”
“ข้าผู้นี้กล้าประกันว่าขอเพียงเจ้าดำเนินสู่วิถีนั้น เจ้าจะปกครองโลกาเพียงผู้เดียว บดขยี้วิถีเซียนด้วยหนึ่งดาบได้!”
“เจ้า… อยากได้มันหรือไม่?”
ประโยคสุดท้ายเผยอำนาจแทรกซึมถึงหัวใจผู้คน
ทว่าสภาพจิตใจของซูอี้กลับไร้ความเปลี่ยนแปลง ครู่ต่อมาเขาก็กล่าวว่า “อ้อนวอนข้าสิ แล้วข้าจะตกลง”
ชาติที่หก “???”