บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1392: หุ่นเชิดมาร
ตอนที่ 1392: หุ่นเชิดมาร
………………..
ตอนที่ 1392: หุ่นเชิดมาร
ชาติที่หกดูจะสงสัยว่าตนได้ยินผิดพลาดหรือไม่ จึงกล่าวว่า “เจ้า… จะให้ข้าอ้อนวอนเจ้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม “ถูกต้อง”
ชาติที่หกหัวเราะลั่นราวช่างน่าขบขัน
ซูอี้แนะนำอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจะเลือกเป็นฝ่ายส่งประสบการณ์ สิ่งที่รู้ มรดก คัมภีร์หายาก และเคล็ดก้าวสู่วิถีจุติสรวงมาให้ข้าเองก็ได้นะ”
เสียงหัวเราะของชาติที่หกค่อย ๆ เลือนหายจนกระทั่งเงียบสนิท
ซูอี้ดูจะมิห่วงว่าจะล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จากนั้นเขาจึงกล่าวกับตนเองว่า “เดิมทีเราทั้งสองคนก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะประชันจิตคัดเลือก ‘ตัวจริง’ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ไม่น่าจะต้องปิดบังเรื่องการฝึกฝนนะ”
“เพราะถึงอย่างไร การมีจุดด่างพร้อยในวิถีของข้าก็ล้วนแย่ต่อทั้งเจ้าและข้า”
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?”
น้ำเสียงของซูอี้แผ่วเบา หารีบร้อนไม่
ทว่าวาจาเหล่านี้ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะอย่างเดือดดาล “ฝันไปเถอะ! เว้นเพียงเจ้าจะอ้อนวอนข้า ข้าจะไม่มีทางชี้แนะใด ๆ แก่เจ้า!”
กล่าวจบ ชาติที่หกก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ากำลังกรุ่นโกรธ
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “อย่าพูดให้มากเลย จากนี้สักพักข้าจะหาโอกาสเคลื่อนสู่ขอบเขตจิตทารก และก่อนหน้านั้น เจ้าจะเปลี่ยนความคิดก็ยังได้เสมอ”
ไม่เหมือนทัศนาจารย์และเสิ่นมู่ ชาติที่หกนี้มีอุปนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา ถือตนเฉยชา พยายามยึดร่างของเขามาตลอด
แต่มีหรือที่ซูอี้จะมอบโอกาสให้อีกฝ่าย?
ที่สำคัญกว่านั้นคือซูอี้แน่ใจว่าหากวิถีของเขามีจุดบกพร่อง ชาติที่หกจะเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวเขาเองอีก!
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ซูอี้ก็มิได้สนใจชาติที่หกอีก
ชาติที่หกก็หยุดวาจาราวกับกำลังต่อสู้กับหัวใจตน รอดูว่าผู้ใดจะยอมแพ้ก่อนกัน
ทว่าเขาไม่รู้ว่าซูอี้กำลังรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่อย่างใจเย็น
สามวันต่อมา
เหลือเพียงห้าวันเท่านั้นก่อนจะถึงเวลาประชันศึกกับหงเฟยกวน
หลีจงมาเยี่ยมเยือนและกล่าวกับชายหนุ่มว่าเขาได้รับคำสั่งให้มารับตัวซูอี้ไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ซูอี้ครุ่นคิดสักพักแล้วพยักหน้า
“แจ้งสหายเต๋าซูตามตรง ยามนี้ เซียนในโลกมนุษย์สกุลม่อได้ประกาศจุดยืนของเขาแล้ว รับปากว่าเขาจะมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซงยามเริ่มศึกประลอง”
หลีจงกล่าวพร้อมกับยิ้ม
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ทั้งเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาต่างประหลาดใจ
เซียนในแดนมนุษย์จากสกุลม่อเป็นประกัน?
นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีน้ำหนักธรรมดาทั่วไปจะเทียบได้!
เพียงแต่ว่าทั้งสองแสนสับสนว่าไฉน… ตระกูลม่อจึงอยากทำเช่นนี้?
มิกังวลหรือว่าจะไปล่วงเกินขุมกำลังอื่นในเขตหวงห้ามเซียนละล่องเพราะสาเหตุนี้?
แม้จะไม่อาจปลดปริศนานี้ได้ แต่ทั้งสองก็โล่งใจขึ้นมาก
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดี!
วันเดียวกันนั้น ซูอี้ก็เดินทางจากเขาจันทร์กระจ่างมุ่งสู่เขตหวงห้ามเซียนละล่องพร้อมกับหลีจง
…
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ตั้งแต่ยุคโบราณเป็นต้นมา ที่แห่งนี้คือเขตหวงห้ามอันดับหนึ่งที่ทุกคนที่อยู่ภายในจักรวาลพร่างดาวขนานนามกัน
ทัศนาจารย์เองก็เคยสัญจรที่นั่นตามลำพัง ทว่าน่าเสียดายที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ณ กาลก่อนนั้นปกคลุมด้วยอำนาจผนึก มิอาจเข้าไปลึกกว่านั้นได้
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไปแล้ว
ยี่สิบปีมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อมากมายในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ไม่เพียงมีกลุ่มเต๋าโบราณมากมายได้ตื่นจากหลับใหล แม้กระทั่งซากโบราณมากมายจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ยังปรากฏขึ้นตาม ๆ กัน
กล่าวได้กระทั่งว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทุกวันนี้เกิดขึ้นจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง!
จวบจนยามนี้ เขตหวงห้ามเซียนละล่องก็เหมือนเช่นรังของกลุ่มเต๋าโบราณ เป็นถ้ำพยัคฆ์รังมังกรในสายตาโลกหล้า!
วันถัดมา
ซูอี้และหลีจงเข้าไปในเขตหวงห้ามเซียนละล่องด้วยกัน
ฟ้าดินไพศาล บรรพตลำธารตระการตา ทั่วแดนดินเปี่ยมปราณหนาแน่น
การเข้ามาในโลกหล้านี้ดูราวกับหวนคืนสู่โบราณกาล ทั่วทิศล้วนให้บรรยากาศเก่าแก่โบราณ
“แตกต่างจากยามข้ามาเยือนเมื่อหลายปีก่อนสิ้นเชิงเลย…”
ซูอี้รำพึง
หลังจากเข้ามายังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่ากฎสวรรค์ทั่วโลกหล้านี้มีอำนาจสูงส่งกว่าโลกภายนอกมากนัก
นอกจากนั้น ปราณจิตวิญญาณทั่วฟ้าดินยังอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าจะเปรียบเทียบกับโลกภายนอกได้!
มิต้องเดาก็รู้ว่าในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้มีโอกาสสัมพันธ์ต่อการทะลวงสู่วิถีจุติสรวงอยู่จริง ๆ!
“สหายเต๋าซู คุณหนูของข้าจัดงานเลี้ยงรอสหายเต๋ามาเยือนแล้ว ยามนี้เราไปที่ ‘บรรพตเซียนกลั่นหยกขจี’ กันได้เลยนะ”
หลีจงกล่าวยิ้ม ๆ
บรรพตเซียนกลั่นหยกขจีคือที่พำนักของตระกูลม่อ
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
ระหว่างทางมายังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง หลีจงได้เล่าสถานการณ์ภายในเขตหวงห้ามเซียนละล่องให้เขาฟังแล้ว
ที่แห่งนี้มีกลุ่มเต๋าโบราณกระจัดกระจายอยู่เป็นร้อย ๆ แห่ง
ทว่ามีเพียงไม่กี่สิบที่กล่าวได้ว่าสุดยอดจริง ๆ
เช่นโถงดาบเทพลี้ลับ สำนักเต๋านครชาด พรรคเซียนเร้นราตรี บรรพตมารธารปรภพ หอเซียนดาบมายา หุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณเป็นต้น
รวมถึงขุมกำลังเช่นวิถีมาร ผู้ฝึกปีศาจ ผู้ฝึกดาบ ผู้ฝึกฌานและอื่น ๆ
ขุมกำลังโบราณสูงสุดแทบทั้งหมดล้วนแต่มีวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอยู่ควบคุม!
ทว่าจากคำกล่าวของหลีจง วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านี้เพิ่งฟื้นสติขึ้นมาได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ออกสู่โลกภายนอกเลย กระทั่งการปรากฏตัวในเขตหวงห้ามเซียนละล่องยังทำมิได้ด้วยซ้ำ
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนแทบทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ในเขตหวงห้ามของขุมกำลังสูงสุด พวกมันถูกคุ้มครองอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ
นอกจากขุมกำลังโบราณเหล่านั้น ยังมีขุมกำลังวิถีเซียนอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้มากมาย!
ขุมกำลังวิถีเซียนที่ว่านี้ก็คือขุมกำลังจากโลกเซียนที่มายังโลกมนุษย์นับแต่โบราณกาล
ขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังทายาทเซียนอย่างม่อชิงโฉว ฝูตงหลีและหงเฟยกวนล้วนถือเป็นขุมกำลังวิถีเซียนได้ทั้งสิ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ มีขุมกำลังวิถีเซียนอยู่ประมาณยี่สิบแห่งในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ขุมกำลังวิถีเซียนครึ่งหนึ่งนั้นมิอาจกล่าวได้ว่าเป็น ‘ขุมกำลัง’ เพราะมีจำนวนคนน้อยเกินไป
แต่การมีจำนวนคนน้อยกว่าก็มิได้หมายความว่าไม่แข็งแกร่ง
ขุมกำลังวิถีเซียนทั้งหมดนั้นล้วนมีพื้นฐานและอำนาจแข็งแกร่งพอให้เหล่ากลุ่มเต๋าโบราณหวาดกลัว!
ขุมกำลังวิถีเซียนสูงสุดเหล่านี้มิเพียงมียอดฝีมือและข้ารับใช้มากมาย แต่ยังมีวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอยู่ในตระกูลมากกว่าหนึ่ง!
เพราะเหตุนี้ ขุมกำลังวิถีเซียนเช่นตระกูลม่อและตระกูลหงจึงมีสถานะสูงส่งเหนือใคร
อันที่จริง ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังโบราณหรือขุมกำลังวิถีเซียน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ซับซ้อน การจัดเรียงมิอาจทำได้โดยง่าย
เหมือนเช่นหอเซียนดาบมายาซึ่งเป็นสำนักผู้ฝึกดาบโดยแท้ ทว่ากลับใกล้ชิดกับตระกูลหง
รายชื่อร่ายยาวยืดเยื้อ
ทว่าซูอี้คร้านเกินกว่าจะสนใจเรื่องนี้ เขาเพียงต้องการชี้ชัดว่าผู้ใดคือศัตรู ผู้ใดมิใช่ก็เพียงพอแล้ว
…
วูบ!
หลีจงพาซูอี้ทะยานไปไกลในโลกหล้า
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับผู้ฝึกตนมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญ และเมื่อพวกเขาเห็นหลีจงและซูอี้ปรากฏขึ้นไกล ๆ พวกเขาก็ล้วนหลีกถอยไปทันที
“นั่นไม่ใช่จอมปีศาจคว่ำบรรพตผู้รับใช้อยู่ข้างกายท่านเซียนม่อชิงโฉวหรือ?”
“เป็นตาลุงนั่นจริงด้วย!”
“หมายความว่าชายหนุ่มถัดจากเขาคือซูอี้ผู้ถือครองอำนาจวัฏสงสารหรือ?”
“ต้องใช่แน่!”
…หลังจากหลีจงกับซูอี้จากไป วิญญาณอาสัญเหล่านั้นต่างก็พูดคุยกันและกระจายข่าวออกไปโดยไวที่สุด
ช่วงนี้ทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องปั่นป่วนทั้งในที่แจ้งและที่ลับ
ขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดกำลังให้ความสนใจกับศึกประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างซูอี้กับหงเฟยกวน
และตระกูลม่อก็ออกปากรับประกันศึกตัดสินนี้ด้วยตนเอง
ยิ่งกว่านั้นยังลือกันอยู่นานแล้วว่าหลีจง จอมปีศาจคว่ำบรรพตมีการติดต่อกับซูอี้อยู่หลายหน
ยามนี้เมื่อเห็นหลีจงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มข้างกาย ผู้คนจึงเดาได้ไม่ยากนัก
“มิคาดคิดเลยว่าข้าจะดังขนาดนี้แล้ว”
ซูอี้ยิ้มอย่างทึ่มทื่อ
นับแต่เขาหวนคืนสู่จักรวาลพร่างดาว เขาก็ยังไม่ได้มายังเขตหวงห้ามเซียนละล่องเลยสักหน
ทว่าวิญญาณอาสัญโบราณในเขตหวงห้ามเซียนละล่องกลับดูจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมาเยือน และยังจำเขาได้ทันทีที่เห็น!
“สหายเต๋าถือครองอำนาจวัฏสงสาร วิญญาณอาสัญใดเล่าจะมิรู้ถึงกิตติศัพท์สหายเต๋า?”
หลีจงกล่าวยิ้ม ๆ “ทว่าสหายเต๋าโปรดวางใจ ต่อให้เราจะถูกพบตำแหน่งที่อยู่ จะไม่มีผู้ใดกล้ามาโดยมิได้รับอนุญาตก่อนเริ่มศึกหรอก หาไม่ มิเพียงตระกูลม่อจะคัดค้าน แต่กระทั่งตระกูลหงก็จะมิยอมด้วยเช่นกัน”
เพิ่งพูดมิขาดคำ…
ตู้ม!
แดนดินใกล้เคียงพลันระเบิดลั่น
ศรศักดิ์สิทธิ์สีดำดอกหนึ่งทะยานเข้าหาซูอี้ อสนีบาตแสงเซียนบนลูกธนูเชือดเฉือนสุญญะจนเกิดริ้วเป็นทางยาว
เปรี๊ยะ!
ซูอี้ใช้มือเยี่ยงดาบฟาดฟันไปบนอากาศ ศรศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกไปในระยะสิบจั้ง
“มิใช่ว่านี่คือผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือ?”
ซูอี้ว่า
รอยยิ้มของหลีจงค้างอยู่บนหน้า ใบหน้าร้อนผ่าวราวถูกตบ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าถมึงทึง
ก่อนเขาจะทันตั้งตัว…
ตู้ม!
ณ แดนดินโดยรอบเกิดเสียงคำรามเยี่ยงฟ้าผ่า
ห่าศรอันปกคลุมด้วยอสนีบาตทมิฬระเบิดออกจากทุกทิศทางเรียงกันเยี่ยงพิรุณกระหน่ำ
มันหนาแน่นเสียจนบดบังการมองเห็น
แดนดินตลอดฟ้าตราบพิภพถูกฉีกกระชากเป็นริ้ว ๆ
หัวใจของหลีจงเต้นแรง ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
‘นี่คือการลอบโจมตีที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดี!’
แขนเสื้อของเขาสะบัดโบกเตรียมโจมตี
ทว่าซูอี้ชิงลงมือก่อนแล้ว
“ไป!”
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อพลิ้วกลางอากาศ
ปราณดาบคำรามลั่นนภา ทะยานราวเส้นแสงนับไม่ถ้วนโปรยปรายดุดัน เจิดจรัสทรงอำนาจ
เพียงพริบตา ศรนับไม่ถ้วนก็สลายไป เสียงคำรามเสียดหูกระหึ่มดัง คลื่นอำนาจทำลายล้างกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่ง
ร่างของซูอี้วูบไหวก่อนจะหายไปในอากาศธาตุ
พริบตาต่อมา เขาก็ปรากฏกายบนยอดเขาใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งและเอื้อมมือคว้าออกไป
ขุนเขาสูงพันจั้งลูกนั้นระเบิดทันที
หนึ่งร่างทะยานออกจากตีนภูเขา หันหลังเผ่นหนีไปไกล ทว่าก็มิพ้นถูกซูอี้คว้าลากมาตรงหน้า
เขาเป็นชายชุดดำท่าทางแข็งทื่อ ใบหน้าซีดขาว ดวงตาแดงฉาน
เมื่อเขาถูกจับมาอยู่ตรงหน้าซูอี้ ชายชุดดำก็เผยรอยยิ้มประหลาด
เปลือกตาของซูอี้กระตุก จากนั้นเขาก็ขว้างร่างของชายชุดดำออกไป
ตู้ม!
ร่างของชายชุดดำระเบิดและสร้างคลื่นทำลายล้างสีแดงสดอันยิ่งใหญ่ แดนดินรอบกายถูกขยี้สิ้น
อำนาจเช่นนั้นมิต่างจากการโจมตีสุดกำลังของตัวตนในขอบเขตจุติมงคล!
แม้ว่าซูอี้จะหลบได้แต่แรก แต่เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากคลื่นทำลายล้าง จนทำให้ร่างของเขาปั่นป่วนไปหมด
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หุ่นเชิดมาร!
ตัวประหลาดอันคล้ายคลึงหุ่นเชิด
และชายชุดดำผู้ระเบิดตนเองเมื่อครู่ก็มิใช่หุ่นเชิดมารธรรมดา ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคล!
………………..