บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1393: ดูแคลน
ตอนที่ 1393: ดูแคลน
หลังจากหุ่นเชิดมารระเบิดตนเอง เงาร่างสิบกว่าร่างพลันพุ่งออกมาจากแดนดินใกล้เคียง
แต่ละร่างดูเหมือนกำลังลุกไหม้ ทะยานผ่านนภาพุ่งเข้าหาซูอี้
เมื่อมองดีๆ จะพบว่าแต่ละผู้ล้วนแต่เป็นหุ่นเชิดมาร
“สหายเต๋าซูระวังด้วย!”
ไกลออกไป หลีจงเปลี่ยนสีหน้า
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เขาหาหลบเลี่ยงไม่
ในทางกลับกัน เขาพุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดมารเหล่านั้นทันที
ขณะเดียวกัน เขาก็ใช้มือเยี่ยงดาบฟาดฟันบนเวหา
ตู้ม!
ไกลออกไปหลายร้อยจั้ง หุ่นเชิดมารตนหนึ่งซึ่งพุ่งนำหน้ามาระเบิดออก ปลดปล่อยคลื่นทำลายล้างน่าสะพรึงกลัว
ซูอี้โคจรการฝึกฝนทั่วร่าง และคลื่นทำลายล้างอันเทียบได้กับการโจมตีสุดกำลังของวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลก็พลันสลายหายไปเยี่ยงสายลมโชยอย่างง่ายดาย
และร่างของซูอี้ก็ยังคงทะยานไปเบื้องหน้า
ปราณดาบเจิดจรัสในมือของเขาทะยานขึ้นฟาดฟันลงทั่วฟ้าดิน
เพียงไม่กี่อึดใจ หุ่นเชิดมารทั้งหลายก็ถูกสังหารระเบิดสิ้นตาม ๆ กัน สร้างเป็นคลื่นทลายล้าง ทั่วโลกหล้ารอบข้างปั่นป่วนทั่วแดนดิน
ทว่าซูอี้กลับดูไร้เทียมทานไร้รอยขีดข่วน
หลีจงผงะอึ้ง
นั่นคือ ‘หุ่นเชิดมารจุติสรวง’ จากบรรพตมารธารปรภพ พวกมันแต่ละตัวล้วนมูลค่ามหาศาล เป็นอาวุธสังหารชั้นเลิศ ซึ่งในอดีตสมัยโบราณ บรรพตมารธารปรภพก็โด่งดังไปทั่วโลกหล้าด้วยมรดก ‘วิถีหุ่นเชิดมาร’ นี้
เมื่อถามตนดูว่าหากเป็นเขามาเผชิญการโจมตีกะทันหันเช่นนี้จะเป็นเช่นไร เขาอาจจะรอดชีวิต แต่สภาพต้องทุลักทุเลยิ่งเป็นแน่
ทว่าซูอี้นั้นหาหลบเลี่ยงไม่ เขาทำลายสลายวงล้อมสังหารอย่างตรงไปตรงมา!
“เทียบกับศึกที่ภูเขาจันทร์กระจ่างแล้ว ความแข็งแกร่งของสหายเต๋าซูดูจะทรงพลังขึ้นมาก!”
หลีจงลอบตกใจ
ขณะเดียวกัน คนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาไกล ๆ อย่างทรงอำนาจกดดัน
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎในชุดดำผู้หนึ่ง
“มารเฒ่าสิง! ว่าแล้วเชียว นี่เป็นการลอบโจมตีจากบรรพตมารธารปรภพของพวกเจ้า!”
หลีจงเดือดดาล
ชายวัยกลางคนชุดดำผู้นั้นมีนามว่าสิงเจิน เป็นมารเฒ่าจากกลุ่มเต๋าโบราณบรรพตมารธารปรภพ
“ฮิ ๆ อย่าเข้าใจข้าผิด ที่ข้ารอลงมืออยู่ยามนี้ เป็นเพราะข้าอยากเชิญสหายเต๋าซูไปเป็นแขกที่บรรพตมารธารปรภพของข้าต่างหาก”
ชายวัยกลางคนชุดดำนามสิงเจินกล่าวยิ้ม ๆ
กล่าวจบ เขาก็ประคองกำปั้นให้ซูอี้จากไกล ๆ “สหายเต๋าซูวางใจได้ บรรพตมารธารปรภพของข้าจะมิถ่วงเวลาประลองระหว่างเจ้าและหงเฟยกวน”
“มารเฒ่า เจ้ามิกลัวตระกูลม่อกล่าวโทษเจ้าเอาหรือ?”
สีหน้าของหลีจงถมึงทึง เขาหรือจะไม่คิดว่าบรรพตมารธารปกภพจงใจมาหักหน้ากัน?
สิงเจินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เราก็แค่เชิญสหายเต๋าซูไปเป็นแขก มิได้คิดทำร้ายเขา ด้วยเหตุเช่นนี้ ตระกูลม่อจะกล่าวโทษเราได้อย่างไร?”
หลีจงหัวเราะอย่างเดือดดาล กำลังจะพูดบางอย่าง
ทว่าซูอี้โบกมือหยุดเขาไว้ “ไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้แล้ว”
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้ามา ก็เป็นที่ชัดเจนว่าหากลัวตระกูลม่อเอาผิดไม่!
จากนี้ก็เห็นได้เช่นกันว่าแม้ตระกูลม่อจะเป็นขุมกำลังวิถีเซียน แต่ก็มิอาจทรงอิทธิพลปรกฟ้าในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้
สิงเจินกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋าซู การคิดบัญชียังมิสมควรเกิด ในอดีตเจ้าสังหารยอดฝีมือจากบรรพตมารธารปรภพของเราไปมากมาย”
“ทว่าข้าให้คำสัตย์ว่าขอเพียงเจ้าเต็มใจช่วยทุกผู้ในบรรพตมารธารปกภพปลดคำสาปในร่าง ความแค้นในอดีตก็จะลบล้างกันไปได้!”
“นอกจากนั้น บรรพตมารธารปกภพของเรายังรับประกันได้ว่าจะมิเข้าแทรกแซงทั้งก่อนและหลังการดวลระหว่างเจ้ากับหงเฟยกวนอีกด้วย!”
หนึ่งวาจานั้นแจกแจงเงื่อนไขออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เพราะลอบโจมตีเมื่อครู่ไม่สำเร็จ จึงมาพูดกับข้าเรื่องเงื่อนไข ฝันหวานดีแท้”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “หากเช่นนั้น ข้าจะตั้งเงื่อนไขเช่นกัน หากเจ้าเห็นด้วย ข้าก็จะช่วยเรื่องนี้อย่างไม่คิดมาก”
สิงเจินกล่าวอย่างใจชื้น “ขอสหายเต๋าว่ามาเถิด”
ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากบรรพตมารธารปรภพข้างกายเขาเองก็เผยความปรีดา
ซูอี้ว่า “พาทุกคนในบรรพตมารธารปกภพของเจ้ามาคุกเข่าตรงหน้าข้า”
หนึ่งวาจา บรรยากาศพลันอึมครึมตึงเครียดในทันใด
สีหน้าของสิงเจินและคณะถมึงทึง
“สหายเต๋าซู ที่นี่คือเขตหวงห้ามเซียนละล่อง มีคนคิดฆ่าเจ้านับไม่ถ้วน ต่อให้ตระกูลม่อรับประกันให้เจ้า ก็ปกป้องเจ้ามิได้อยู่ดี!”
สิงเจินกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ข้าแนะนำให้เจ้าคิดอีกหน หาไม่ ข้าก็ทำได้เพียงลงมือเชิญเจ้าไปบรรพตมารธารปรภพของข้าเอง!”
“เช่นนั้นก็ขึ้นกับเจ้าสนองแก่ข้าแล้ว”
ซูอี้เสสรวล
ตู้ม!
ดาบส่งวจี ดาบแห่งโลกาปรากฏขึ้นในมือ
เห็นเช่นนี้ จิตสังหารก็แผ่ออกจากร่างของสิงเจินและคณะ เดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
ทั่วฟ้าดินเปี่ยมจิตฆ่าฟัน
มหาสงครามใกล้บังเกิด
ทว่ายามนี้ หนึ่งเสียงก็ดังขึ้นทั่วฟ้าดิน
“บรรพตมารธารปรภพของพวกเจ้าถือวาจาของข้าหงเฟยกวนเป็นแค่วายุโชยหรือไร?”
ยังมิทันสิ้นเสียง สุญญะก็แหลกสลาย หนึ่งแสงทะยานจากที่แสนไกลแปรเปลี่ยนเป็นร่างสูงร่างหนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์สีขาว รูปงามไร้มลทิน ร่างรายล้อมด้วยแสงเซียนดำทมิฬ อำนาจในมือร้ายกาจชวนตกใจ
หงเฟยกวน!
หลีจงตะลึงในใจ มิคาดว่าตัวตนสูงส่งในหมู่ทายาทตระกูลหงจะปรากฏขึ้น ณ ยามนี้
ซูอี้เองก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ประหลาดใจมิแพ้กัน
ยังเหลืออีกสี่วันก่อนถึงวันประลอง เขาเพิ่งมาถึงเขตหวงห้ามเซียนละล่องได้ไม่นาน ทว่าหงเฟยกวนผู้นี้กลับเตรียมตัวมาก่อนแล้ว
เมื่อมองไปทางพวกสิงเจิน สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน มิคาดว่าหงเฟยกวนจะมาด้วยตนเอง
“คุณชายหงเข้าใจผิดแล้ว บรรพตมารธารปรภพของเรามิตั้งใจจะแทรกแซงการประลองระหว่างเจ้าและซูอี้แต่อย่างใด”
สิงเจินสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงต่ำ “ยามนี้ ข้าต้องการเพียงเชิญสหายเต๋าซูสู่สำนักข้าในฐานะแขกเท่านั้น”
ใต้ท้องนภา ร่างของหงเฟยกวนตรงเยี่ยงหอก อาภรณ์ขาวสะบัดไหว
สายตาของเขาดุจสมุทรกว้าง พลุ่งพล่านด้วยแววตาน่าสะพรึง กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “แต่ในความเห็นข้า พวกเจ้าก็แค่รนหาที่ตาย!”
กล่าวจบ เขาก็ดีดนิ้ว “ทุกคนออกมา ส่งพวกเขาไปปรภพเสีย!”
ตู้ม!
ฟ้าดินพลันสะเทือนสั่น
ตัวตนร้ายกาจกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในบริเวณใกล้เคียง มองพวกสิงเจินด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
หลีจงอ้าปากค้าง
หนนี้หงเฟยกวนพากลุ่มสัตว์ประหลาดเฒ่าจากตระกูลหงมาด้วย!
“ถอย!”
สิงเจินสีหน้าแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ เขาและพวกหันหลังเผ่นหนี
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าสกุลหงอดยิ้มเยาะมิได้และลงมือทันที
ตู้ม!
มหาสงครามปะทุขึ้น โลกหล้าเกิดภาพปั่นป่วนราวใกล้สิ้นสลาย
ในขณะเดียวกัน หงเฟยกวนกลับเมินสงครามนี้ไป
เขาหันมากล่าวกับซูอี้อย่างสุขุม “เจ้ากล้ามาทำศึก ดังนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าตายด้วยน้ำมือผู้อื่น”
อาภรณ์ของเขาขาวดุจหิมะ รูปงามไร้ที่ติ ทว่าวาจาและท่าทางกลับยิ่งทะนง โอหังโดยสันดาน
กระทั่งซูอี้ยังต้องยอมรับว่าหากว่ากันด้วยครรลองนิสัย หงเฟยกวนผู้นี้สูงส่งยิ่งกว่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลอื่น ๆ ที่เขาเคยพานพบมาจริง ๆ
และในที่สุดนี่ก็กระตุ้นความสนใจในหัวใจซูอี้ขึ้นได้เล็กน้อย
เมื่อเขามาทำศึก เขาก็ไม่ได้ใส่ใจคู่ต่อสู้ในหนนี้มากนัก มุ่งเป้าเพียงสามสิ่งเท่านั้น
หนึ่งคือรับชิงถังกลับ
สองคือกำจัดช่างเสื้อเฒ่า
และสามคือหาโอกาสทะลวงข้ามขอบเขต
ทว่ายามนี้ การปรากฏกายของหงเฟยกวน ความทะนงและการวางตัวของคนผู้นี้ทำให้ซูอี้ตระหนักแล้วว่าตนเจอคู่ต่อสู้อย่างแท้จริงในยามนี้!
หลังครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าตั้งตารอมันอยู่ เจ้าจะทำข้าผิดหวังมิได้นะ”
วาจานั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่าย
ทว่ามันกลับทำให้หงเฟยกวนผงะไป ดวงตาหรี่ลง จำต้องมองซูอี้อีกหนอย่างช่วยมิได้
ครู่ต่อมา เขาก็ละสายตากลับมา “น่าเสียดายที่เจ้าฆ่าน้องชายข้า หนี้เลือดเช่นนี้ทำให้เจ้าต้องตายเป็นแน่แท้ หาไม่ เจ้าและข้าอาจร่ำสุราคุยกันได้”
ทันใดนั้น หงเฟยกวนก็ส่ายหน้ากล่าวชัดถ้อยทีละคำ “สี่วันจากนี้ ในศึกดวลบนยอดเขาพฤกษ์ระย้า ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างงดงามเพื่อเป็นการให้เกียรติ”
น้ำเสียงนั้นเฉียบขาดดุจพูดเรื่องจริงที่กำลังจะเกิด
ซูอี้อดตะลึงงุนงงมิได้ “ชิงถังอยู่ในมือเจ้าหรือ?”
หงเฟยกวนพยักหน้าว่า “ในสี่วัน ข้าจะให้คนส่งนางออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง มิให้นางพบอุบัติเหตุใด ๆ”
ซูอี้มองหงเฟยกวนอย่างลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าฆ่าน้องชายเจ้า ไฉนเจ้าจึงมิสังหารศิษย์ข้าชิงถัง?”
หงเฟยกวนกล่าวโดยไม่คิด “ข้าดูแคลนการกระทำเช่นนั้น”
วาจาไม่กี่คำนั้นเผยบรรยากาศหยิ่งทะนง
ซูอี้ครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า “หากข้าปลดคำสาปในร่างเจ้าเสียยามนี้ จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่?”
หัวใจของหลีจงสั่นไหว สหายเต๋าซูคิดทำอันใด?
เห็นได้ชัดว่าหงเฟยกวนเข้าใจและอดหัวเราะมิได้ “การไม่ฆ่าศิษย์เจ้าคือการตัดสินใจของข้าเอง ไฉนเจ้าต้องตอบแทนกันเช่นนี้ด้วย?”
“ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็แค่สู้กับข้าในอีกสี่วัน!”
“เมื่อเจ้าตาย ข้าก็หลอมรวมกับวัฏสงสารทำลายคำสาปในร่างของข้ายามนั้นก็ได้!”
ยามนี้ การวางตนและความกล้าของหงเฟยกวนทำให้หลีจงอดประหลาดใจมิได้ หัวใจของเขาเปี่ยมด้วยอารมณ์
หงเฟยกวนผู้นี้ควรค่าเป็นหนึ่งในตัวตนผู้นำในหมู่ทายาทแห่งเซียนอย่างจริงแท้! การกระทำติดดินของเขาเพียงพอให้เหล่าตัวตนอาวุโสละอายแก่ใจตน!
บางทีอาจเป็นเพราะความกล้าและมรดกของเขาที่ทำให้หงเฟยกวนมีเกียรติประวัติงดงามมากมาย
ซูอี้ไม่กล่าวมากไปกว่านั้น ทว่าถามขึ้น “ช่างเสื้อ ณ ยามนี้อยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องหรือ?”
หงเฟยกวนว่า “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ช่วยข้า ข้าจะมิบอกเจ้าเรื่องนี้”
ซูอี้พยักหน้า
ยามนี้ ศึกที่เกิดไกลออกไปจบลงแล้ว
ยอดฝีมือทั้งหมดจากบรรพตมารธารปรภพนำโดยสิงเจินถูกฆ่าตาย!
และสัตว์ประหลาดเฒ่าสกุลหงเหล่านั้นก็รวมตัวกันข้างกายหงเฟยกวน มองซูอี้ด้วยสายตาราวจับจ้องเหยื่อ
สัตว์ประหลาดเฒ่าบางผู้ไม่แม้แต่จะซุกซ่อนความแค้นและจิตสังหาร!
ทว่าไร้ผู้ใดกล้าลงมือโดยไร้คำอนุญาต
นี่ยังแสดงให้เห็นว่าฐานะของหงเฟยกวนในตระกูลของเขาพิเศษเพียงใด กระทั่งผู้อาวุโสยังมิกล้าขัดเจตจำนงของเขา
“ถึงเจ้าจะไปที่ตระกูลม่อก็ขอให้ระวังไว้ อย่าได้เกิดอุบัติเหตุใดก่อนเราต้องประชัน!”
หงเฟยกวนทิ้งประโยคนี้ไว้และพาคนของเขาจากไป
จนกระทั่งกลุ่มพวกเขาลับตา หัวใจของหลีจงก็หนักอึ้งเอาการ อดกล่าวมิได้ว่า “สหายเต๋าซู หลังได้พบหงเฟยกวนเมื่อครู่นี้ ยังมั่นใจว่าจะชนะได้หรือไม่?”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อมาตายหรือไร?”
หลีจงกล่าวอย่างละอายทันที “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้หามีเจตนาเช่นนั้นไม่ แค่หลังจากได้พบหงเฟยกวน ข้าก็อดกังวลใจมิได้เท่านั้น”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ข้าแตกต่างจากสิ่งที่เจ้าคิด ต้องพบคู่ต่อสู้เช่นนี้สิ ข้าจึงพูดได้ว่ามิได้มาเสียเที่ยว”