บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1394: ความเงียบนั้นดีกว่าวจีใด
ตอนที่ 1394: ความเงียบนั้นดีกว่าวจีใด
บรรพตเซียนกลั่นหยกขจี
แดนพำนักตระกูลม่อ
เมื่อซูอี้และหลีจงมาถึง ม่อชิงโฉวได้รออยู่หน้าถิ่นพำนักพร้อมกลุ่มผู้ทรงอำนาจกลุ่มหนึ่งแล้ว
นางแต่งกายเยี่ยงบุรุษ ใบหน้ากระจ่างใส รูปร่างงดงาม เลอโฉมยิ่งนัก
“สหายเต๋าซู ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”
ม่อชิงโฉวเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาคำนับด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างใจกว้าง
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “ขออภัยที่ต้องให้รอเสียนาน”
หากกล่าวโดยรัดกุม ม่อชิงโฉวผู้เป็นทายาทเซียนนั้นกล่าวได้ว่าเป็น ‘เซียน’ ผู้หนึ่งได้จริง ๆ นางมีครรลองการวางตัวสูงส่งไร้ที่ติยิ่งนัก
ไม่นานนัก ม่อชิงโฉวก็เชิญซูอี้เข้างานเลี้ยงในโถงตระกูล
ระหว่างงานเลี้ยง ม่อชิงโฉวกล่าวแนะนำตัวผู้ทรงอำนาจตระกูลม่อแก่ซูอี้ทีละคน
ซูอี้มิได้ชอบเรื่องมากพิธี ทว่าก็มิได้แสดงความเบื่อ ในงานบรรยากาศค่อนข้างกลมเกลียว
หลีจงเองก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ข้างซูอี้
เขาตระหนักชัดเจนว่าแม้การวางตนของซูอี้จะทั้งเย็นชาเฉยเมย แต่ตัวตนทรงอำนาจตระกูลม่อหาหงุดหงิดใจไม่ และยังเสสรวลเฮฮาอย่างรื่นเริงยิ่ง
กระทั่งทัศนคติต่อซูอี้ของพวกเขายังให้เกียรติอย่างยิ่ง มิได้ละเลยเสียมารยาทใด ๆ
เรื่องนี้ทำให้หลีจงประหลาดใจ
ตระกูลม่อมาจากโลกเซียน และยังเป็นตระกูลเซียนชั้นนำอีกด้วย!
เป็นยามทั่วไป ตัวตนทรงอำนาจเหล่านี้ มีผู้ใดบ้างมิแข็งแกร่งทรงอำนาจจรดนภา?
เพียงจามสักครั้งก็ทำให้ขุมกำลังโบราณมากมายสะเทือนได้สามหน!
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับดูจะเปลี่ยนทัศนคติไปยามปฏิบัติตนกับซูอี้ พวกเขาทั้งอบอุ่น ให้เกียรติดุจสายลมวสันตฤดู
ทั้งหมดนี้ทำให้หลีจงรู้สึกผิดปกติยิ่ง
“เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีปริศนาอื่นแทรกอยู่เป็นแน่ หาไม่ ลำพังเพียงสหายเต๋าซู ไม่มีทางที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจตระกูลม่อจะปฏิบัติต่อเขาได้เช่นนี้”
หลีจงครุ่นคิดอย่างเคร่งขรึม
ซูอี้หาสนใจไม่ กระทั่งรู้สึกเบื่อเล็กน้อย
สิ่งเดียวที่น่าอภิรมย์น่าจะเป็นสุราในงานเลี้ยง จากวาจาของม่อชิงโฉว มันเป็นเมรัยเซียนนาม ‘หม้อหยกวสันต์’ ซึ่งมีรสชาติพิเศษเฉพาะ
ทว่าซูอี้เองก็สังเกตได้ว่าการวางตนของเหล่าตัวตนตระกูลม่อต่อเขานั้นแตกต่างมาก
สายตาของเขากวาดมองโดยไร้วาจา
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็เสสรวลมาจากนอกโถง “ข้าได้ยินว่าสหายเต๋าซูผู้ถือครองอำนาจวัฏสงสารกำลังกินเลี้ยงอยู่ในโถง ข้าจึงมาที่นี่โดยมิได้รับเชิญ อยากดื่มสุราฉลองให้สหายเต๋าซูสักสามจอก”
พร้อมกันนั้น ชายผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเหลืองสด เส้นผมยาวสยายก็ก้าวเข้ามา
ทันใดนั้น เหล่าผู้ทรงอำนาจทั้งหลายก็พากันลุกขึ้นคำนับ
“ท่านบรรพชน ไฉนท่านจึงมาที่นี่กันเจ้าคะ?”
ม่อชิงโฉวเองก็ลุกขึ้นอย่างตกตะลึง
ขณะเดียวกัน หลีจงก็รีบถ่ายทอดข้อความแก่ซูอี้ว่า “นี่คือม่อหย่วนซาน ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งของตระกูลม่อ มีระดับอาวุโสสูงล้ำและการฝึกฝนทรงพลังยิ่ง เขาห่างจากการบรรลุวิถีเซียนเพียงหนึ่งก้าว ตลอดมานี้เขาเก็บตัวฝึกฝนอยู่ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นอาทวดของท่านเซียนม่อด้วย”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
“ข้าจะไม่มาที่นี่ยามรับแขกผู้มีเกียรติได้เช่นไร?”
ม่อหย่วนซานว่า สายตาของเขากวาดมองจนมาจบที่ซูอี้ “นี่ต้องเป็นสหายเต๋าซูเป็นแน่แท้ ยังเยาว์วัยจริง ๆ!”
เขายกไหสุราและจอกขึ้น ก้าวเข้ามาเติมสุราให้ทั้งซูอี้และตน ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “จอกนี้ข้าให้เกียรติสหายเต๋าซู เชิญ!”
ว่าแล้วเขาก็ยกดื่มหมดจอก
ขณะเดียวกัน ม่อชิงโฉวก็แนะนำตัวม่อหย่วนซานแก่ซูอี้
ซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่ เขายกจอกดื่มฉลอง
ต่อจากนั้น ม่อหย่วนซานก็รินฉลองอีกสองจอกติด ๆ กันทันที ดูสุภาพอย่างยิ่ง
เขาก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สหายเต๋าซู เจ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติของเราตระกูลม่อ คืนนี้เราต้อนรับเจ้าไม่ดีตรงไหนหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า
ม่อหย่วนซานกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าหาว่าคนแซ่ม่อกล่าวขวานผ่าซากเลย ข้าคันปากยิ่งนัก อยากถือโอกาสนี้บังอาจถามสหายเต๋าว่าจะช่วยตระกูลเราปลดคำสาปจากร่างยามใดหรือ?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ที่นี่ก็ล้วนผงะ บรรยากาศซึ่งเดิมครึกครื้นเงียบลงอย่างมาก
ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าม่อหย่วนซานจะถามคำถามเช่นนี้ออกมากะทันหัน!
ซูอี้ยกหนึ่งจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วจึงกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของทุกท่าน ในอดีต ข้าก็เคยได้รับเจตนาดีจากแม่นางม่อชิงโฉวมาก่อน ดังนั้นรอข้าต่อสู้กับหงเฟยกวนจบก่อน แล้วข้าจะลงมือปลดคำสาปบนร่างทุกท่านให้แน่นอน”
เดิมที เขาก็มาเป็นแขกและได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดี เขาจึงมิคิดมากหากจะช่วยพวกม่อชิงโฉว
ทว่าวาจาของม่อหย่วนซานทำให้ซูอี้รู้สึกมิชอบใจเล็กน้อย
“หลังศึกตัดสินหรือ?”
ม่อหย่วนซานขมวดคิ้วกล่าวยิ้ม ๆ “หรือสหายเต๋าซูมิพอใจการต้อนรับขับสู้ของตระกูลม่อกัน?”
ซูอี้ว่า “ไฉนจึงพูดเช่นนี้เล่า?”
ทุกผู้สัมผัสได้ว่าบรรยากาศดูมิชอบมาพากล
ม่อชิงโฉวก้าวออกมาทันที “ท่านบรรพชน…”
โดยไม่รอให้นางพูดจบ ม่อหย่วนซานก็โบกมือขัด “เจ้าถอยไป ข้าแค่พูดคุยกับสหายเต๋าซู มิต้องกังวลไป”
กล่าวจบ เขาก็กล่าวกับซูอี้ด้วยรอยยิ้มอีกหน “สหายเต๋าอย่าโทษข้าเลยที่พูดตรงเกินไป ยามนี้ตระกูลม่อของเราออกหน้าประกันให้ ซึ่งนับเป็นการช่วยให้เจ้าและหงเฟยกวนประลองกันอย่างเต็มที่ กล่าวได้ว่าเป็นการทุ่มเทอย่างหนักโดยมิถูกเห็นค่าหรือไม่?”
ในที่สุดซูอี้ก็เริ่มหมดความอดทน มิคิดใส่ใจผู้อื่น กล่าวออกมาเบา ๆ “ฟังให้ดี เป็นหงเฟยกวนที่เสนอให้ตระกูลม่อของเจ้าเป็นประกัน หาใช่ข้าคนแซ่ซูไม่”
คิ้วของม่อหย่วนซานขมวดเข้าหากัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเลือนหาย
บรรยากาศในโถงกลับกลายเป็นกดดัน
ม่อชิงโฉวสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ท่านบรรพชน เป็นดังสหายเต๋าซูว่า เป็นหงเฟยกวนที่ออกปากขึ้นก่อน มิใช่คำขอของสหายเต๋าซูแต่อย่างใด นอกจากนั้น…”
สีหน้าของม่อหย่วนซานหม่นดำ กล่าวอย่างไม่พอใจ “ชิงโฉว ข้ากำลังคุยกับสหายเต๋าซูอยู่!”
ม่อชิงโฉวพูดไม่ออก ใบหน้างดงามของนางดูซับซ้อน
ผู้ทรงอำนาจอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างเงียบงัน
เมื่อมีคนระดับม่อหย่วนซานอยู่ ไร้ผู้ใดกล้าขัดวาจา
ซูอี้เสสรวลว่า “หากเจ้ายังมีอันใดจะกล่าว ก็ขอให้ว่ามาตรง ๆ เถิด”
นี่คือถิ่นตระกูลม่อ แต่หากเกิดศึก เขาก็หาใส่ใจไม่
“ได้ ในเมื่อสหายเต๋าซูเอ่ยปาก ข้าก็จะกล่าวตรง ๆ”
ม่อหย่วนซานว่า “สี่วันจากนี้ หากเจ้าพ่ายดวลกับหงเฟยกวน เจ้าจะช่วยตระกูลม่อข้าได้เช่นไร?”
โดยมิรีรอให้ซูอี้กล่าววจีใด ม่อหย่วนซานก็กล่าวต่อ “ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าในวันประลอง สถานการณ์นั้นปั่นป่วน คลื่นใต้น้ำกรรโชกแรง กระทั่งตระกูลม่อของข้ายังมิกล้าพูดว่าจะช่วยเจ้าได้ง่าย ๆ หากเช่นนั้น สหายเต๋าซูจะรับมือเช่นไร?”
แต่ละคำนั้นเสียดสีรุนแรง
บรรยากาศในโถงเงียบสงัดไร้วจี แสงเงาวูบไหวบนใบหน้าคนทุกผู้ ทำให้ยากจะอ่านสีหน้าได้ชัดเจน
หัวใจของหลีจงบีบแน่น
ซูอี้ดูไร้ความสนใจ เขาหยิบไหสุราขึ้นรินลงจอกให้ตนเอง “จบแล้วหรือ?”
ม่อหย่วนซานถอนใจ “วาจาของข้าอาจตรงเกินไป สหายเต๋าอย่าได้ใส่ใจ ท้ายที่สุดข้าก็แค่อยากถือโอกาสนี้เพื่อขอให้สหายเต๋าลงมือช่วยคลายคำสาปให้ตระกูลข้าโดยเร็วที่สุด หามีความคิดมุ่งร้ายใด ๆ ไม่”
กล่าวจบ เขาก็กวาดสายตามองทุกผู้ในโถง “ข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นความคิดของคนทุกผู้ที่นี่ด้วย
คนทุกผู้ล้วนสงบวาจา
มิได้ปฏิเสธ แต่ก็มิได้ยอมรับ สีหน้าค่อนข้างละอาย กระอักกระอ่วนมิสบายใจ
ซูอี้ดื่มสุราหมดจอกก่อนจะหันไปถามม่อชิงโฉว “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ?”
ร่างอรชรของม่อชิงโฉวสะท้านน้อย ๆ ใบหน้าดุจหยกของนางแปรเปลี่ยน
นางสูดหายใจลึก ๆ และกำลังจะพูดบางอย่าง
ทว่าม่อหย่วนซานพลันเสสรวลกล่าว “นางเป็นผู้น้อย มีหรือจะเป็นตัวแทนทุกผู้ในตระกูลม่อได้? สหายเต๋าซูตอบคำถามของข้ามาก็พอ”
ใบหน้าของม่อชิงโฉวแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าโกรธ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวกับม่อหย่วนซานว่า “เช่นนั้นฟังให้ดี นับแต่แรกเริ่มมา ข้าหาติดค้างอันใดกับตระกูลม่อของเจ้าไม่ และมิเคยขอให้ตระกูลม่อปกป้องข้ามาก่อน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของม่อหย่วนซานก็ย่นเข้าหากัน ใบหน้าดูละอายเล็กน้อย
ซูอี้กล่าวต่อโดยหาสนใจไม่ “จำไว้ว่าหากจะช่วย ข้าก็ช่วยพวกเจ้าด้วยน้ำใจ หากไม่ช่วยก็มิใช่กงการ หากกล้ากดดันทวงบุญคุณ ชี้นิ้วสั่งข้า ก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”
เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นหันหลังจากไปทันที
เขาไร้ความสนใจจะอยู่ต่อ
“หยุดนะ!”
ม่อหย่วนซานเดือดดาล ใบหน้าบูดบึ้งสุดขีด
บรรยากาศในโถงหดหู่ถึงขั้นสุด ทุกผู้รีบร้อนลุกขึ้น
และม่อชิงโฉวก็ดูจะสิ้นความคิดช่างใจ นางก้าวเข้ามาพูดอย่างจริงจัง “สหายเต๋าซู โปรดอยู่ต่อเถิด ให้ข้าพูดก่อน”
กล่าวจบ นางก็หันไปกล่าวกับม่อหย่วนซานด้วยแววตาเย็นชา “ท่านบรรพชน คืนนี้ท่านกระทำการเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!”
“เจ้าว่าข้า…กระทำการเกินไปหรือ?”
ม่อหย่วนซานดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
ทุกผู้ในโถงต่างหันมามองอย่างอดประหลาดใจมิได้
การวางตนอย่างแข็งกร้าวของม่อชิงโฉว ณ ขณะนี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจมิต่างกัน
“ไม่เพียงมากเกินไป แต่ท่านยังทำลายความเชื่อใจของสหายเต๋าซู ทั้งยังทลายการลงแรงที่ตระกูลเราทุ่มเทใจกายสั่งสมมาจนยามนี้สิ้นด้วยเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงของม่อชิงโฉวเย็นชาเปี่ยมโทสะ “คืนนี้ ท่านต้องขอขมาสหายเต๋าซูเจ้าค่ะ!”
ม่อหย่วนซานเสสรวลอย่างเดือดดาลขณะชี้หน้านาง “ยายหนูชิงโฉว เจ้าจะให้ข้า อาทวดผู้นี้ขอขมาหรือ?!”
ทุกผู้เห็นได้ว่าม่อหย่วนซานเดือดดาลอย่างสุดขีด
นี่ทำให้ซูอี้อดเหลือบมองม่อชิงโฉวมิได้
“ถูกต้อง!”
ม่อชิงโฉวหายอมลงไม่ นางกล่าวชัดถ้อยทีละคำ “นอกจากนั้น ท่านยังต้องขอขมาอย่างจริงใจและจริงจังด้วย หาไม่ อย่าว่าแต่สหายเต๋าซูจะมิให้อภัยท่าน แต่ข้าและทุกผู้ในตระกูลก็จะมิอภัยให้ท่านด้วย!”
ม่อหย่วนซานเดือดดาลจนอดเชิดหน้าหัวเราะลั่นฟ้ามิได้ “ยายหนู เจ้าเป็นผู้น้อย แต่กลับกระทำผิดไร้สัมมาคารวะ ยังพูดให้ข้าขอขมาแทนคนทุกผู้ในตระกูลอีกหรือ? บ้าชัด ๆ! ใครกันที่มอบความกล้าให้เจ้าพูดกับข้าเช่นนี้?”
“ข้า”
น้ำเสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งอันเปี่ยมด้วยอำนาจพลันดังขึ้นในโถงหลัก
เพียงหนึ่งคำ ทว่ากลับเป็นประหนึ่งสายฟ้าจากเก้าชั้นสรวงสนั่นลั่นในหัวใจเหล่าผู้ทรงอำนาจตระกูลม่อทุกคนที่นี่จนร่างสั่นสะท้าน
ม่อหย่วนซานตะลึงยิ่งกว่าใครราวถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนร้องเสียงหลง “ท่านลุงทวด?”
ยามนี้ ม่อชิงโฉวดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าเสียงนี้จะทำให้นางได้พบที่พึ่งทางใจ!
“ไปคุกเข่าขอขมาสหายเต๋าซูเสีย”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกหน น้ำเสียงเฉยชาทว่ากดดันอย่างยิ่ง
เหล่าผู้ชมเงียบกริบ หนังศีรษะชายิบ หัวใจสั่นด้วยความตกตะลึงราวมิอยากเชื่อว่าเสียงนั้นจะสั่งม่อหย่วนซานให้คุกเข่าทันที!
“ท่านลุงทวด ข้า…”
ใบหน้าของม่อหย่วนซานแดงก่ำ อ้าปากพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“หากไม่อยากตาย ก็คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงนั้นดังอย่างดุร้าย
หนึ่งวาจานั้นดูจะบดขยี้ความกล้าสุดท้ายในใจม่อหย่วนซาน ร่างของเขานิ่งทื่อกับที่
จากนั้น ภายใต้สายตาทุกผู้ในโถง ร่างของม่อหย่วนซานสั่นเทา ใบหน้าซีดขาวราวมิอาจทานทน เข่าของเขางออย่างช้า ๆ คุกเข่าลงทีละน้อยไปทางซูอี้
โถงเงียบสงัดราวป่าช้า ทุกผู้ตะลึงในใจ
ซูอี้มองอย่างเย็นชา หากล่าววาจาใดไม่
ความเงียบนั้นดีกว่าวจีใด