บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1396: ปรากฏตัวเหนือเขาพฤกษ์ระย้าเยี่ยงราชัน
ตอนที่ 1396: ปรากฏตัวเหนือเขาพฤกษ์ระย้าเยี่ยงราชัน
………………..
ตอนที่ 1396: ปรากฏตัวเหนือเขาพฤกษ์ระย้าเยี่ยงราชัน
สามวันถัดมา
ม่อชิงโฉวก็มาบอกซูอี้ว่าพบร่องรอยของช่างเสื้อในเขตหวงห้ามเซียนละล่องแล้วจริง ๆ!
โชคร้ายที่ไอ้แก่ผู้นี้แสนกลอย่างยิ่ง เพราะเมื่อกำลังตระกูลม่อเดินทางมาถึง อีกฝ่ายก็หนีไปก่อนแล้ว
เรื่องนี้ซูอี้หาประหลาดใจไม่
ช่างเสื้อเฒ่าเป็นตัวตนซึ่งหลบอยู่ในที่ลับตลอดมา เชี่ยวชาญการหลบซ่อนเป็นที่สุด คนทั่วไปมิอาจหาเขาพบได้เลย
สำหรับซูอี้ ขอเพียงเขาแน่ใจว่าช่างเสื้อเฒ่าอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนั่นก็เพียงพอแล้ว
ต่อมาซูอี้ก็เติมเต็มคำสัญญา โดยช่วยตัวตนในขอบเขตจุติมงคลของตระกูลม่อปลดคำสาปตามการจัดการของม่อชิงโฉว
หนึ่งในนั้นคือม่อหย่วนซาน
“หัวใจของสหายเต๋าซูช่างงดงาม ทำคนแซ่ม่อผู้นี้ละอายนัก”
ม่อหย่วนซานก้มหัวคำนับด้วยสีหน้าละอาย
เดิมเขาก็กังวลอยู่ว่าซูอี้จะแก้เผ็ดโดยการไม่ช่วยเขาปลดคำสาปในร่าง
ทว่าปรากฏเขาคิดมากไปเอง
ซูอี้หากล่าววจีใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่
“สหายเต๋าซู นี่เป็นความปรารถนาดีส่วนหนึ่งจากทุกคนในตระกูลข้า โปรดรับไว้อย่าเกี่ยงกันเลย”
ม่อชิงโฉวนำกำไลสัมภาระชิ้นหนึ่งส่งให้ซูอี้ด้วยสองมือ
ในกำไลสัมภาระชิ้นนี้มีวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์และโอสถทิพย์ขอบเขตจุติสรวงอันมีมูลค่าเกินคณานับนับร้อย ๆ ชนิด
นอกจากนั้นยังมีโอสถเซียนซึ่งสาบสูญไปจากโลกหล้าแสนนานอีกชิ้นหนึ่ง!
นี่คือน้ำใจเล็กน้อยจากเซียนม่อซิงหลิน
ม่อชิงโฉวแน่ใจว่าเมื่อซูอี้ได้เห็นของขวัญเหล่านี้ เขาจะรู้สึกดีกับความปรารถนาดีจากตระกูลม่อของพวกนางมากขึ้นแน่นอน
ม่อชิงโฉวแสนปรีดาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นนางจึงกล่าวว่า “เช้าพรุ่งนี้ ข้าจะพาสหายเต๋าไปยังเขาพฤกษ์ระย้าพร้อมกับอาทวดและยอดฝีมือตระกูลม่อ สหายเต๋าเตรียมทำศึกได้อย่างสบายใจเถิด หากต้องการอันใดก็บอกข้าได้เลย”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่และกล่าวว่า “ข้ามีคำขอเพียงหนึ่ง”
ม่อชิงโฉวกะพริบคู่เนตรพร่างพราวของนางและแย้มยิ้ม “ยายหนูน้อยผู้นี้ฟังอยู่”
ซูอี้ว่า “ทั้งก่อนและหลังศึกเผชิญหน้า ต่อให้ข้าจะอยู่ในหายนะที่เกินจะหยุดยั้ง เจ้าก็อย่าได้เข้ามาแทรกแซง”
รอยยิ้มของม่อชิงโฉวแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
และซูอี้ก็กลับเข้าไปในที่พำนักแล้ว
สำหรับศึกนี้ หัวใจของเขาเรียบเยี่ยงกระจก รู้ดีว่าต่อให้มีตระกูลม่อเป็นหลักประกัน หลังจากจบการประลองก็จะมีพายุอันเกินคาดเดาปรากฏขึ้นอีกมากมาย!
ทว่านั่นแหละสิ่งที่เขาตั้งตารอ
มิใช่แค่เพื่อขัดเกลาตนเอง
…
“มิต้องการความช่วยเหลือจากเราหรือ?”
ม่อซิงหลินกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจในเขตหวงห้ามตระกูลม่อ
“เจ้าค่ะ สหายเต๋าซูกล่าวว่าแม้เขาจะตกอยู่ในหายนะเกินระงับ ก็มิให้เราตระกูลม่อเข้าพัวพัน”
ม่อชิงโฉวกล่าวเบา ๆ
นางเองก็รู้สึกงุนงง
ม่อซิงหลินครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า “หากสหายเต๋าซูกล่าวเช่นนั้น เขาต้องมีที่พึ่งอื่นอยู่แน่ แต่เราก็อยู่เฉยโดยมิช่วยมิได้นี่สิ”
“อย่างน้อยที่สุดก็ต้องแสดงความชัดเจนให้ทุกขุมกำลังทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องรู้ว่าเราตระกูลม่ออยู่ข้างสหายเต๋าซู!”
“นอกจากนั้นหากชีวิตของสหายเต๋าซูอยู่ในอันตราย คนตระกูลม่อของเราต้องทุ่มกำลังสุดฝีมือ!”
น้ำเสียงของเขาดังก้องกัมปนาท
“เจ้าค่ะ!”
ม่อชิงโฉวรับคำสั่ง
ทันใดนั้น นางก็อดถามมิได้ว่า “ท่านบรรพชน ท่านคิดว่าท่านเซียนหงอวิ๋นจะปรากฏขึ้นในยามนั้นหรือไม่เจ้าคะ?”
ม่อซิงหลินเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “ตัวตนเช่นนางคาดเดาไม่ง่าย เราทำเรื่องของเราก็พอ”
ม่อชิงโฉวพยักหน้า
…
ณ ศาลาพำนัก
“โอสถเซียนหนึ่งชิ้นหรือ?”
เมื่อซูอี้ตรวจสอบสมบัติทั้งหมดในกำไลสัมภาระเสร็จสิ้น เขาก็อดประหลาดใจมิได้
มีโอสถเซียนชิ้นหนึ่งในหมู่พวกมัน
โอสถเซียนเช่นนี้ถูกผนึกไว้โดยวิถีเซียน ทว่าก็ยังยากจะซ่อนแสงเซียนเจิดจรัสที่แผ่ออกมาจากมันได้ กลิ่นโอสถฟุ้งกำจายสดชื่น
“นี่น่าจะเป็นของขวัญจากม่อซิงหลิน เหตุผลนั้น… น่าจะมิเกี่ยวกับข้านักแน่”
ซูอี้ถูจมูก ใบหน้าของปราชญ์หงอวิ๋นปรากฏขึ้นในใจ
แม้เขาจะโอหังอวดดี แต่เขาก็รู้ว่าเหตุผลส่วนใหญ่ที่ตระกูลม่อปฏิบัติต่อเขาอย่างอบอุ่นนั้นก็เป็นเพราะปราชญ์หงอวิ๋น
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงอดรู้สึกประหลาดในใจมิได้
เขากระทำตนลำพังชั่วชีวิต มิเคยคิดพึ่งพาผู้ใด
แต่ไม่ว่าอย่างไร หนนี้เขาก็พึ่งพาอิทธิพลของปราชญ์หงอวิ๋นอยู่
“ลองหลอมโอสถนี้ดู”
ซูอี้นำเตาเสริมสวรรค์ออกมาและโยนโอสถเซียนเข้าไปข้างใน
ตู้ม!
เตาเสริมสวรรค์ร้องคำรามดูราวสุดแสนปรีดา เพลิงแสงคุโชนสาดประกาย
หนนี้แตกต่างจากตอนที่หลอมโอสถครั้งก่อน ๆ มันใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มกว่าเตาเสริมสวรรค์จะหลอมโอสถได้สามเม็ด
แต่ละเม็ดล้วนถูกโอบล้อมด้วยแสงเซียนเฉิดฉาย มีลวดลายเซียนอันประหลาดตา เพียงกลิ่นหอมของโอสถก็เพียงพอให้ร่างของซูอี้วูบวาบ
วูบ!
ภายในเตาเสริมสวรรค์ แสงเซียนสีม่วงกระหวัดพันเป็นคำเยี่ยงพู่กันเขียน
‘โอสถเซียนจิตโสมหิมะมีสรรพคุณสร้างพื้นฐานวิถีเซียน ขัดเกลาจิตวิญญาณต้นกำเนิด หล่อหลอมร่างเสริมแกร่งเลือดลม แปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตไม่รู้จบ…’
ซูอี้ประหลาดใจ
นอกจากเตาเสริมสวรรค์นี้จะหลอมโอสถ มันยังบอกสรรพคุณโอสถนี้ให้แก่เขาด้วยจริง ๆ หรือ!
ไม่นานนัก เตาเสริมสวรรค์ก็เก็บค่าแรงไปหนึ่งเม็ด ส่วนอีกสองเม็ดถูกเตาเสริมสวรรค์ผนึกด้วยแสงเซียนประหลาดสีม่วง ซึ่งสร้างเป็นผนึกเร้นลับและส่งให้กับซูอี้
“ควรค่าแก่การเป็นโอสถวิถีเซียน เกินธรรมดามิอาจเทียบได้จริง ๆ”
ซูอี้ชื่นชมในใจ
เขาเก็บโอสถและเตาเสริมสวรรค์ไป ก่อนจะเริ่มทำสมาธิ
กลางดึกคืนนั้น
ทุกสิ่งเงียบสงัด มวลแมลงนอกหน้าต่างส่งวจี
“ข้ารู้สึกว่าเจ้ากับข้าควรมาเปิดอกคุยกันจริง ๆ”
เสียงของชาติที่หกพลันดังขึ้นในห้วงความนึกคิด
มันยังคงเต็มไปด้วยอำนาจอหังการ ทว่าก็ฟังดูสงบเงียบกว่ากาลก่อนมากนัก
ซูอี้ผู้กำลังนั่งสมาธิบนฟูกยกยิ้ม
ยอมแพ้แล้วหรือ?
“เจ้าอยากจะพูดอันใดเล่า?”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ
“ข้าผู้นี้รับปากแล้วว่าจะมอบโอกาสให้เจ้าหลอมรวมกรรมวิถีของข้า และยามนั้น สนามประลองระหว่างเราก็จะมิใช่อะไรอื่นนอกจากการทะเลาะกันระหว่าง ‘ตัวตน’ ในใจ”
ชาติที่หกกล่าว “เพราะอย่างนั้น เจ้าก็ฟังคำแนะนำของข้าเถิด อย่าเลื่อนขอบเขตง่าย ๆ นัก แม้เจ้าอยากจะบรรลุสู่วิถีจุติสรวงเสียเร็ว ๆ แต่นี่เกี่ยวพันกับความสำเร็จสู่วิถีเซียนในอนาคตนะ!”
ซูอี้ว่า “หากข้าไม่เตรียมการให้เพียงพอ ข้าจะเลื่อนขอบเขตง่าย ๆ ได้เช่นไร?”
“เจ้ามิเคยประสบกับการฝึกฝนในวิถีจุติสรวง จะพูดถึงการเตรียมความพร้อมได้อย่างไร?”
ชาติที่หกอดยิ้มขำมิได้ “แค่อิงจากตำราและคำชี้แนะของผู้อื่นหรือ? น่าขัน!”
“หากเทียบระดับขอบเขตในวิถีราชันแห่งภูมิ เจ้าอาจเลอเลิศยิ่งกว่าข้านัก ทว่าความเข้าใจในวิถีจุติสรวงและวิถีเซียนของเจ้ามิต่างจากกบในกะลาในสายตาข้า!”
ซูอี้หรี่ตาทว่ามิได้กล่าวโต้แย้ง
ชาติที่หกประหลาดใจ “ไยจึงกล่าวเช่นนี้หรือ?”
“พรุ่งนี้ข้าจะเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง”
ซูอี้ว่า “มีเพียงการเลื่อนขอบเขตเท่านั้นที่เราจะหยุดศึกล่าสังหารหนนี้ได้”
ชาติที่หกพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ “นี่เจ้าขู่ข้าอยู่หรือ!?”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มแย้ม “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็เปิดใจคุยกันเถิด หากยามนี้เจ้าบอกข้าถึงประสบการณ์และเรื่องราวที่ประสบยามเคลื่อนสู่วิถีจุติสรวง บางที… มันอาจเป็นประโยชน์ในวันพรุ่งก็ได้”
“เมื่อทำเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ต้องห่วงว่าวิถีของข้าจะมีจุดบกพร่อง และข้าก็จะกำจัดหายนะฆ่าฟันหลังจากเลื่อนขอบเขตสำเร็จได้ กล่าวได้ว่าเราทั้งสองชาติล้วนได้ประโยชน์”
ชาติที่หก “…”
“เจ้าวางแผนใช้งานข้าอยู่นานแล้วหรือ? อยากฉวยโอกาสชิงเคล็ดวิถีจุติสรวงจากมือข้าหรือไร?”
น้ำเสียงของเขาฟังดูมึนตึง
“เจ้าปฏิเสธได้นะ”
ซูอี้กล่าวโดยไม่คิด
ชาติที่หกเงียบไป
เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาก็กล่าวทีละคำ “เว้นแต่เจ้าจะอ้อนวอนข้า ก็อย่าแม้แต่จะคิด!”
เขากล่าวจบก็มิได้กล่าววาจาอื่นใด
ซูอี้นั่งนิ่งอยู่ตามลำพัง เขายกไหสุราขึ้นจิบและกล่าวว่า “วาจาของข้าก็ยังเหมือนเดิม ต่อให้ตายก็มิอ้อนวอนเจ้าหรอก”
ชาติที่หกหาตอบโต้ไม่
ซูอี้หาใส่ใจไม่
เหตุใดชาติที่หกจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมากะทันหันในคืนนี้?
ก็เพราะไม่อาจอยู่เฉยได้แล้วนั่นเอง!
เหมือนเช่นการต้มอินทรี เป็นการประลองกันว่าตกลงผู้ใดเป็นเหยื่อ
ยอมรับได้ว่าชาติที่หกยังคงมิยอมโอนอ่อนในหนนี้
ทว่าซูอี้หารีบร้อนไม่ เขาได้เปรียบสูงสุด และชาติที่หกต่างหากที่ควรพะว้าพะวง
…
เช้าตรู่ถัดมา
เขาพฤกษ์ระย้า
ภูเขาสูงตระหง่านพุ่งเสียดนภา
ทั่วทั้งภูเขาดำทมิฬเยี่ยงเหล็ก ไร้หย่อมหญ้า เปี่ยมด้วยหินผารูปทรงต่าง ๆ แดนดินหลายพันลี้ล้อมรอบภูเขานี้ล้วนว่างเปล่า
สิ่งนี้ยังทำให้เขาพฤกษ์ระย้าดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
ช่วงเวลาเพิ่งรุ่งสาง ทว่าในบริเวณรอบเขาพฤกษ์ระย้ามีผู้คนมามุงกันเป็นทะเล ศีรษะดำอัดแน่นทุกที่
พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากกลุ่มเต๋าใหญ่แห่งยุคโบราณและขุมกำลังเซียนทั้งสิ้น
วิญญาณอาสัญที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขอบเขตจิตทารก!
ส่วนวิญญาณอาสัญทรงพลังในขอบเขตจุติมงคลก็มีให้เห็นทุกที่
ส่วนตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นหามีไม่
เพราะหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ในอดีตกาลนั้น ตัวตนภายใต้ขอบเขตจุติสรวงหารอดชีวิตไม่
ณ ยอดเขาพฤกษ์ระย้า
หนึ่งตัวตนยืนเดียวดาย อาภรณ์ขาวเยี่ยงหิมะ ตระหง่านตัวตรงเยี่ยงหอก
หงเฟยกวน!
สองมือยกขึ้นกอดอก ดวงตาพริ้มหลับ แสงรุ่งอรุณทอลงกระทบร่างสูงของเขาดุจเทพเซียนทรงเกียรติ
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างของผู้นำทายาทเซียนผู้นี้ด้วยความหวาดกลัว ชื่นชมและริษยา
ตัวตนอาวุโสบางคนอดรำพึงมิได้
ทั้งวิถีเต๋า มรดกและความแข็งแกร่ง ทายาทเซียนหงเฟยกวนนั้นทำให้เหล่าตัวตนอาวุโสเหล่านี้ละอายนัก!
“ซูอี้ผู้นั้นยังมิมาอีกหรือ? จะกล้าเกินไปแล้ว!”
บางผู้ขมวดคิ้วกล่าวอย่างมิชอบใจ
“รีบไปเพื่อการใด เขามาเมื่อใดก็มิได้กลับไปอยู่ดี รออย่างใจเย็นต่อไปเถอะ”
บางผู้ขำขัน
ใครบ้างจะมิประจักษ์ต่อสถานการณ์?
ต่อให้ซูอี้จะรอดน้ำมือหงเฟยกวนไปได้ เขาก็ต้องตายในความยุ่งเหยิงหลังจากการประลองอยู่ดี!
เพราะเขาถือครองอำนาจวัฏสงสาร เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครทนปล่อยเขารอดไปได้แล้ว!
ในบริเวณนั้นมีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของซูอี้กันอย่างสนุกปาก
หงเฟยกวนเมินทุกสิ่งแต่ต้นจนจบ
เขายืนนิ่งสุขุมเยี่ยงหินผา มิยินดียินร้าย
ทันใดนั้น เปลือกตาที่ปิดอยู่ของหงเฟยกวนก็ค่อย ๆ เบิกขึ้น และเงยหน้ามองท้องนภาที่อยู่ไกลออกไป
แทบจะในขณะเดียวกัน ทั่วหล้าก็อื้ออึง สายตานับไม่ถ้วนมองตามไปโดยมิรู้ตน
ผู้ทรงพลังกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านเวหา
นั่นคือกลุ่มคนจากตระกูลม่อ
และผู้นำมาทางด้านหน้าสุดก็คือซูอี้
อาภรณ์ของเขาเขียวดุจหยก เรือนผมยาวขมวดมวย สองมือไพล่หลัง ท่าทียิ่งใหญ่อาบไล้ด้วยแสงจากสรวง สูงส่งไร้ราคี
ทันทีที่เขาปรากฏขึ้นก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที
………………..