บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1397: ต่างฝ่ายต่างหันคมหอก
ตอนที่ 1397: ต่างฝ่ายต่างหันคมหอก
การจัดขบวนอารักขาของตระกูลม่อทรงพลังมาก และก่อให้เกิดเสียงฮือฮายามมาถึงที่หมาย
นอกจากม่อชิงโฉวและม่อหย่วนซานแล้ว ยังมีผู้อาวุโสขอบเขตจุติมงคลตามมาด้วยอีกมากกว่าสิบ แต่ละผู้ล้วนเผยให้เห็นปราณแข็งแกร่งอันมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นี่คืออำนาจของตระกูลเซียนผู้ครองแดน
นี่ยังเป็นตัวตนสูงสุดในหมู่ขุมกำลังวิถีเซียนแห่งเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้อีกด้วย
เมื่อเห็นขบวนทัพของตระกูลม่อติดตามซูอี้มา แววตาของคนมากมายที่นี่ก็เปลี่ยนไป
“ท่านเซียนม่อ ตระกูลม่อของพวกเจ้าคิดเป็นที่กำบังให้ซูอี้หรือไร?”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังกังวานชัด
ฝูตงหลีปรากฏกาย อาภรณ์สีม่วงของเขาพลิ้วไสว เผยปราณอันน่าสะพรึงกลัว
มีผู้อาวุโสจากขุมกำลังเซียนตระกูลฝูติดตามเขามาด้วย
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น บรรยากาศในบริเวณนั้นก็เงียบลง สายตามากมายมองตามมา
“เป็นที่กำบังให้?”
ม่อชิงโฉวแย้มยิ้ม “ผิดแล้ว หนนี้เราตระกูลม่อก็แค่อารักขาสหายเต๋าซูเท่านั้น”
“ตาเฒ่าผู้นี้อยากถามนักว่าการอารักขาที่ว่านี้หมายความว่าอย่างไร”
เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาไร้อารมณ์
ประมุขโรงดาบเทพลี้ลับฮั่วชิงไห่กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
ยามนี้เขาพากลุ่มตัวตนบรรพกาลขอบเขตจุติมงคลจากสำนักมาด้วย พลังกดดันของพวกเขาร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง
โดยไม่รอให้ม่อชิงโฉวพูด ม่อหย่วนซานได้กล่าวขึ้นก่อนแล้วอย่างเฉยเมย “มันหมายความว่าหากโรงดาบเทพลี้ลับของพวกเจ้ากล้าเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ เจ้าก็จะเป็นศัตรูกับเราตระกูลม่อ เข้าใจหรือไม่?”
สีหน้าของฮั่วชิงไห่ถมึงทึง
“อารักขาอันใดกัน ข้าว่าพวกเจ้าตระกูลม่ออยากยึดอำนาจวัฏสงสารไว้ผู้เดียวเสียมากกว่า!”
ชายชราถือดาบโบราณผู้มีเส้นผมยาวสยายผู้หนึ่งจากฝั่งหอเซียนดาบมายาขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น หอเซียนดาบมายาของเรามิเป็นด้วยแน่นอน!”
จิตสังหารพุ่งออกมาจากแววตาคู่นั้น
เซี่ยเวิ่นหลิ่ว ผู้อาวุโสสูงสุดจากหอเซียนดาบมายาเป็นตัวตนบรรพกาลในขอบเขตจุติมงคล
ในสมัยโบราณ เกียรติภูมิของเขาหาได้ด้อยไปกว่าเซียนดาบชิงซื่อไม่
เมื่อฝูตงหลีจากตระกูลฝู ประมุขโรงดาบเทพลี้ลับฮั่วชิงไห่และเซี่ยเวิ่นหลิ่วจากหอเซียนดาบมายาต่างกล่าววาจาออกมา คมหอกทั้งหลายล้วนชี้ไปยังตระกูลม่อ
บรรยากาศทั่วฟ้าดินเคร่งเครียด เหล่าผู้คนในบริเวณนั้นอึดอัดจนสีหน้าเปลี่ยน
ศึกตัดสินวันนี้ยังมิทันเริ่ม สถานการณ์ก็ตึงเครียดจนดาบสั่นกันแล้ว!
และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เวลาต่อมา ขุมกำลังใหญ่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ออกมาประกาศจุดยืนตาม ๆ กัน
“สัตว์ประหลาดเฒ่าม่อ เจ้ามองไปรอบ ๆ สิ มีสหายเต๋าผู้ใดบ้างที่มิใช่วิญญาณอาสัญในพันธนาการแห่งคำสาป? พวกเจ้าตระกูลม่อคิดจะยึดครองวัฏสงสาร มิเพียงพรรคเซียนเร้นราตรีของข้าจะมิเห็นด้วย แต่สหายเต๋าที่นี่ทั้งหมดก็มิเห็นด้วยกับพวกเจ้าหรอกนะ!”
เลี่ยหนานเย่ผู้เป็นประมุขของพรรคเซียนเร้นราตรีกล่าวด้วยแววตาดุดัน
“พวกเจ้าตระกูลม่อออกหน้ารับเช่นนี้ เราก็จะไว้หน้าพวกเจ้าและมิเข้าไปพัวพันกับศึกตัดสินในวันนี้ ทว่าเราจะให้วัฏสงสารอยู่ในมือพวกเจ้ามิได้”
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งจากสุขาวดีจรทักษิณที่ถือแส้อยู่ในมือกล่าวอย่างเฉยชา
“หากตระกูลม่อไม่อยากเป็นศัตรูร่วมทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ โปรดหยุดที่นี่แล้วเลิกปกป้องซูอี้ผู้นั้นเสีย”
“ตระกูลหงแถลงแล้วว่าหากวันนี้ซูอี้ปราชัย พวกเขาจะแบ่งอำนาจวัฏสงสารทำลายคำสาปในร่างให้ทุกคน ไยพวกเจ้าตระกูลม่อจึงมิทำเช่นนั้นบ้างเล่า?”
…ขุมกำลังสูงสุดเยี่ยงหุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณและหุบเขามารหยินนิลกาฬล้วนออกมาพูดตาม ๆ กัน
ต่างฝ่ายล้วนหันคมหอกใส่ตระกูลม่อ!
ดูเหมือนจะเป็นการทำให้ตระกูลม่อตกเป็นเป้าหมายของทุกคน
ส่วนซูอี้ถูกเมินไปสนิท
หรือก็คือในสถานการณ์เช่นนี้ เขาถูกถือเป็นเหยื่อที่อย่างไรก็ต้องตาย ทำให้ไร้ผู้ใดสนใจแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้ทำให้ม่อชิงโฉว ม่อหย่วนซานและคนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันปะทะหน้าตรง ๆ จนสีหน้ามืดหม่น
พวกเขาคาดไว้แล้วว่าสถานการณ์วันนี้จะตึงเครียด
ทว่ามิคิดเลยว่าเพิ่งมาถึง ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายก็ชี้คมหอกมาทางพวกเขาทันทีราวนัดกันไว้แล้ว!
ซูอี้มองเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่นี่มีขุมกำลังใหญ่มากมายรวมตัว การจัดขบวนร้ายกาจและมีตัวตนในขอบเขตจุติมงคลอยู่เป็นกลุ่มใหญ่
ผู้ที่กล้าลุกขึ้นมาเผชิญหน้าตระกูลม่อนั้นล้วนแต่เป็นขุมกำลังสูงสุด
สถานการณ์เช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนและตรึงตายิ่ง!
มันให้ความรู้สึกราวกับขุมกำลังสูงสุดทั้งหมดในเขตหวงห้ามเซียนละล่องมารวมตัวกันที่นี่
หากเปลี่ยนเป็นตัวตนทั่วไป เกรงว่าคงมิอาจทนแรงกดดันเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก
ทว่าสีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นกาลก่อน หาได้ตกใจไม่
ท่ามกลางผู้คนที่มากมายเยี่ยงทะเลกว้าง ยอดฝีมือนั้นชุกชุมราวพฤกษาในป่าใหญ่
สุ่มเลือกมาสักคนก็ล้วนเพียงพอทำให้โลกตะลึง
ซูอี้มิรู้ตัวตนฐานะของพวกเขา และมิคิดสนใจอยากทราบ
วันนี้มีเพียงสหายหรือศัตรูเท่านั้น!
แบ่งกันง่าย ๆ เช่นนี้ดีที่สุด
ศัตรูต้องถูกฆ่า ไยต้องใส่ใจว่าผู้ใดมีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไร?
ทว่าซูอี้ก็ยังจำคนหน้าคุ้นได้บ้าง
คนหน้าคุ้นเหล่านั้นมาจากกลุ่มเต๋าโบราณที่เคยแสดงความเต็มใจช่วยเขาหาตัวช่างเสื้อ
ซูอี้ได้ช่วยพวกเขาปลดคำสาปจากร่างด้วยตนเองที่หน้าภูเขาจันทร์กระจ่าง
ทว่ายามนี้ คนเหล่านี้กลับยืนอยู่มิไกลราวกับเป็นผู้สังเกตการณ์
เมื่อสายตาของซูอี้กวาดมองมา พวกเขากระทั่งเผลอหลบสายตา มิกล้ามองซูอี้ตรง ๆ
ซูอี้หาได้ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่
การใฝ่หาประโยชน์เลี่ยงการเสียเปรียบนั้นมีมาตั้งนานแล้ว
มิต้องพูดถึงว่าเขาไร้มิตรภาพกับขุมกำลังโบราณเหล่านี้ อย่างมากที่สุดก็เคยแต่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น
“ตระกูลม่อตัดสินใจเช่นไร โปรดตอบมาโดยเร็ว!”
ฝูตงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด จิตฆ่าฟันชวนอึดอัดแผ่ไปทั่วทุกทิศ
สายตานับไม่ถ้วนมองไปทางยอดฝีมือตระกูลม่อเป็นตาเดียว
ขณะรอคอยคำตอบของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
ทุกผู้รู้ว่าการตัดสินใจของตระกูลม่อจะส่งผลต่อทิศทางของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป!
ม่อชิงโฉวสูดหายใจลึก ๆ และเตรียมจะกล่าวตอบ
ทว่าซูอี้กลับกล่าวตัดบทตรง ๆ “เหตุวันนี้เริ่มจากข้า หาเกี่ยวอันใดกับตระกูลม่อไม่ ไฉนมิให้ข้าตัดสินจุดยืนให้พวกเขาแทนเล่า?”
น้ำเสียงของเขาเฉยเมย ทว่ากังวานชัดในโสตของผู้ฟัง
ทุกผู้ล้วนอดมองมามิได้
“แม่นางม่อ จำสิ่งที่ข้าพูดเมื่อไม่กี่วันก่อนได้หรือไม่? พวกเจ้าแค่มองก็พอ มิต้องเข้ามาพัวพันหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
เหล่าผู้ฟังล้วนฮือฮาสนั่นลั่น
คิดให้หัวแตกก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซูอี้จะทิ้งการปกป้องจากตระกูลม่อ ใช้ความแข็งแกร่งของตนเองเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง!
“โอ้ นี่ก็น่าสนใจแฮะ!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าบางผู้แสยะยิ้ม
“ช่างกล้านัก”
มีบางผู้มองมาด้วยสายตาเย้าหยอก
“ฮ่า ๆๆ เซียนม่อเอ๋ย เจ้าก็เห็นแล้วว่าทัศนาจารย์ผู้โด่งดังทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้หาใส่ใจความช่วยเหลือจากตระกูลม่อของเจ้าไม่!”
ฝูตงหลีเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา
และขุมกำลังใหญ่ที่เผชิญหน้ากับตระกูลม่ออีกหลายแห่งก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพราะถึงอย่างไร ตระกูลม่อก็เป็นตระกูลเซียนชั้นนำในโลกเซียน ทั้งยังมีภูมิหลังอันสูงส่งและร้ายกาจ ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากจะมิเข้าไปฉีกหน้ากับพวกเขา
ทว่าทุกคนก็ต้องประหลาดใจที่ม่อชิงโฉวกล่าวขึ้นอย่างเฉียบขาด “ต่อให้สหายเต่าซูไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเราตระกูลม่อ แต่จุดยืนของเราก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดมองสหายเต๋าซูเป็นศัตรูในวันนี้ ก็จะเป็นศัตรูกับเราตระกูลม่อด้วย!”
น้ำเสียงนั้นดังฟังชัด
เหล่าผู้ฟังเงียบไป
หลายคนผงะไปด้วยไม่อยากเชื่อ
เหล่าผู้ทรงอำนาจตระกูลฝู หอเซียนดาบมายา พรรคเซียนเร้นราตรีและขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ต่างก็ผงะไปตาม ๆ กัน
ตระกูลม่อ… บ้าไปแล้วหรือ?
“ม่อชิงโฉว เจ้าคนเดียวจะเป็นตัวแทนประกาศจุดยืนของตระกูลม่อได้หรือไร?”
สีหน้าของฝูตงหลีมืดดำ
“แน่นอนสิ!”
ม่อหย่วนซานเอ่ยปาก สายตากวาดมองคนทุกผู้ “ในเมื่อมีคนที่นี่บางคนหูหนวก ข้าจะย้ำให้แล้วกัน เราตระกูลม่อจะยืนข้างสหายเต๋าซูเสมอ!”
น้ำเสียงนั้นกังวานดุจสายฟ้าสนั่นภูผา
นี่เป็นคำแถลง คำเตือน และการประกาศจุดยืนอย่างแน่วแน่ชัดเจน!
ทุกผู้ล้วนตกใจ มิอาจคาดคิดว่าไฉนตระกูลม่อจึงทำเช่นนี้
ตระกูลม่อไม่รู้หรือไรว่าการกระทำเช่นนี้คือการประกาศจุดยืนที่อยู่ตรงข้ามกับขุมกำลังส่วนใหญ่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง?
“บ้า ตระกูลม่อของพวกเจ้าบ้าไปแล้วจริง ๆ!”
ฝูตงหลีกล่าวอย่างเดือดดาล
“ในเมื่อตระกูลม่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าโทษข้าว่าเสียมารยาทแล้วกัน!”
น้ำเสียงของประมุขโรงดาบเทพลี้ลับฮั่วชิงไห่เย็นชา
สีหน้าของผู้ทรงอำนาจของขุมกำลังอื่นต่างก็มิน่าดูยิ่งนัก
ม่อชิงโฉวเมินเฉยต่อเรื่องทั้งหมดนี้ นางเพียงแย้มยิ้มและกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋าซูวางใจเถิด วาจาของเจ้า ข้าจะจำไว้ในใจ เราจะมิเข้าไปพัวพันแน่นอน แต่ขอเพียงสหายเต๋าต้องการ เราตระกูลม่อเต็มใจตายเพื่อสหายเต๋า!”
วาจาเหล่านี้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้ชมขึ้นมาอีกหน
ซูอี้มองม่อชิงโฉวอย่างลึกล้ำโดยมิได้กล่าววาจาใดอีก
เขารู้ว่าเหตุผลหลักที่ตระกูลม่อเปิดใจเช่นนี้เป็นเพราะปราชญ์หงอวิ๋น มิใช่เพราะไพ่ตายในมือซูอี้แข็งแกร่งเพียงไร
ทว่าเขามิคิดใส่ใจเรื่องนี้
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง อาภรณ์เขียวพลิ้วสะบัดขณะเยื้องย่างจากเวหาไปยังเขาพฤกษ์ระย้าที่อยู่ไกลออกไป
“ถอยให้พ้นทาง ให้เขามา!”
หงเฟยกวนผู้ยืนอยู่บนยอดเขาพฤกษ์ระย้าเสมอมากล่าวขึ้น วาจาดังกังวานจนได้ยินถ้วนทั่ว
เขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทว่าหากล่าววาจาใดไม่ราวมิได้คิดสนใจมัน
เขาดูจะรังเกียจการโต้แย้งเช่นนี้
จนกระทั่งซูอี้ก้าวออกมา เขาจึงพูดขึ้นในที่สุด
พริบตานั้น ตัวตนทรงอำนาจมากมายที่ขวางทางซูอี้อยู่ต่างถอยหลบซ้ายขวา เปิดเส้นทางให้เดินขึ้น
ระหว่างทางมิอาจทราบได้ว่ามีสายตาจับจ้องซูอี้อยู่มากมายเพียงไร จิตสังหารและความเยียบเย็นหาได้ซุกซ่อนไม่
จิตสังหารหนาแน่นจนแทบจับตัวเป็นสสารเหล่านี้ทำให้บรรยากาศรอบข้างราวถูกแช่แข็ง หากเปลี่ยนเป็นคนที่จิตอ่อนกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าคงตัวสั่นสิ้นสติไปแล้ว
ทว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะปรายตามอง
แม้จะถูกศัตรูห้อมล้อม เขาก็รู้สึกราวเดินทอดน่องท่ามกลางดินแดนไร้ผู้คน!
เพียงพริบตา ซูอี้ก็ละล่องสู่ยอดเขาพฤกษ์ระย้า
ที่แห่งนี้เป็นผาสูงอันกว้างใหญ่ ห่างออกไปมีหงเฟยกวนผู้ยืนตรงเยี่ยงหอก
อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ เป็นหงส์มังกรในหมู่คน!
เมื่อซูอี้มาถึง หงเฟยกวนก็พยักหน้าน้อย ๆ
จากนั้น เขาก็กวาดตามองทุกผู้พลางกล่าวว่า
“ข้าขอย้ำ การประลองระหว่างข้ากับซูอี้ ไม่ว่าผู้ใดรอดผู้ใดตาย ใครกล้าเข้าพัวพัน ข้าจะเป็นผู้แรกที่มิให้อภัย!”
ทุกถ้อยคำสะท้อนเหนือนภา เผยความตั้งมั่นที่มิอาจขัดขืน
“นี่ก็คือจุดยืนของตระกูลหงของข้า!”
ทันใดนั้น ชายชราร่างผอมจากตระกูลหงผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเฉยเมย
หงจิ่วจ้ง
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งจากตระกูลหง
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบเสียง ไร้ผู้ใดกล่าวโต้แย้งราวกับยอมจำนนโดยดุษณี
ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าหลังสิ้นศึก ไม่ว่าผู้ใดแพ้ชนะ มรสุมอันมิอาจคาดเดาจะบังเกิดขึ้นแน่นอน!
เมฆาทมิฬแผ่ปกคลุมขอบฟ้า บดบังแสงจากนภาอย่างเงียบงัน ทั่วแดนตลอดฟ้าดินพลันมืดครึ้ม
จิตฆ่าฟันในบรรยากาศเด่นชัดขึ้นสามส่วน
ที่ยอดเขาพฤกษ์ระย้า ซูอี้และหงเฟยกวนเผชิญหน้าจากแสนไกล
ศึกตัดสินซึ่งเป็นที่เลื่องลือในโลกหล้าตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนกำลังจะเริ่มขึ้น!