บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1399: เดินทางดี ๆ นะ!
ตอนที่ 1399: เดินทางดี ๆ นะ!
………………..
ตอนที่ 1399: เดินทางดี ๆ นะ!
ภายใต้ท้องนภา
ซูอี้มองหัตถ์ขาวไร้รอยขีดข่วนของตนและกล่าวว่า “นี่ท่าไม้ตายของเจ้าหรือ? ข้าว่าหากเจ้าอยากให้ข้าชักดาบ เจ้าคงไร้โอกาสเสียแล้ว”
ไกลออกไปบนอากาศ หงเฟยกวนเม้มปาก
วิ้ง!
กระบี่พิทักษ์ธรรมในมือของเขาเรื่อเรืองแสงมารประหลาดสีเลือดแผดเผา แดนดินใกล้เคียงถูกย้อมเป็นสีโลหิตแดงฉาน
ทั่วฟ้าดินพลันสะเทือนเคลื่อนสั่น แหลกร้าวปริแยกจากกัน
เหล่าผู้ชมศึกจากไกล ๆ ล้วนรู้สึกหนาวเยือกในหัวใจ ผงะตะลึงงัน
ราวถูกหนึ่งกระบี่เชือดเฉือน!
“คัมภีร์มารสวรรค์เลือดเดือด!”
ม่อชิงโฉวกล่าว ใบหน้างดงามของนางเคร่งเครียดยิ่งกว่าหนใด
นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของสายเลือดตระกูลหง ลือกันว่าบรรพชนตระกูลหงเป็นมารสวรรค์ผู้กำเนิดท่ามกลางต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นแห่งโลกเซียน
ความสามารถทางสายเลือดเช่นนี้เกี่ยวพันกับบรรพชนของพวกเขา
กล่าวกันว่าเมื่อใช้อำนาจความสามารถนี้ พวกเขาจะสามารถระเบิดอำนาจต่อสู้เป็นสองเท่าจากเดิมได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ! น่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ขอบเขต!
ยามนี้ ดวงตาของหงเฟยกวนเรืองประกายสีเลือดเจิดจรัส ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มเพิ่มเค้าความเย่อหยิ่งไร้จำกัด
และอำนาจกฎเกณฑ์สีเลือดเจิดจรัสบนร่างของเขาก็ถักทอเยี่ยงม่านหมอกกระเพื่อมเป็นจังหวะ
ทั่วนภาแดนดินถิ่นนี้ล้วนสะเทือนเลือนลั่น
ยอดฝีมือมากมายสีหน้าแปรเปลี่ยนพากันถอยหลบไป
ส่วนตัวตนสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลนั้นต้องโคจรการฝึกฝนของตนสลายแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา
ซูอี้หรี่ตาลง
อาภรณ์ขาวของหงเฟยกวนสะบัดคลั่ง กระบี่ถูกถือในมือ และสองเท้าก้าวเดินบนอากาศราวกับอยู่บนที่ราบ คมกระบี่สีดำก็เงื้อขึ้นบนอากาศ และทันใดนั้น แสงมารสีเลือดก็ปรากฏขึ้นทะลักไหลราวคลื่นวารี
และเมื่อหงเฟยกวนฟาดกระบี่ลง
ตู้ม!!
ปราณกระบี่เป็นดั่งน้ำตกใหญ่สาดซัดจากนภา และในปราณกระบี่นั้นปรากฏภาพแดนไพรประชุมมารอันเปี่ยมด้วยอสูรมารห้อตะบึง ระเบิดอำนาจสะเทือนแดนดิน
ยามนี้ เหล่าผู้ที่มองเหตุศึกจากไกล ๆ ล้วนผงะอึ้ง
ช่างน่าหวาดหวั่น!
เพียงมองจากไกล ๆ ก็รู้สึกหดหู่กดดันยิ่ง
ยามนี้
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อก้าวเดินบนอากาศ ชิงเป็นฝ่ายเข้าปะทะก่อน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าประดังถาโถม และเมื่อซูอี้ทะยานเข้าใส่ เขาก็ดูราวพายุปราณดาบกวาดนภา
ตู้ม!
ดุจสงครามระหว่างตะวันจันทรา ฟ้าดินแหลกสลาย
สารพัดปราณดาบปริแตกโหมคลั่ง
แสงสีเลือดระเบิดออกปกคลุมนภา
และร่างของซูอี้ก็กระเด็นออกไป!
ปราณกระบี่สีเลือดอันร้ายกาจนี้บรรจุอำนาจไร้ขอบเขต ทรงพลังร้ายกาจ ทำลายการป้องกันของซูอี้ลงในทันที!
เปรี้ยง!
สุญญะสะเทือนไหว ซูอี้กระเด็นไปหลายสิบจั้งกว่าจะยืนตั้งหลักได้
ร่างของเขาปั่นป่วน อาภรณ์เขียวแหว่งวิ่น ปรากฏรอยเลือดซิบขึ้นบนแก้มซ้าย
“นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า”
ไกลออกไป หงเฟยกวนกล่าวด้วยสีหน้าดูเยือกเย็น
เหล่าผู้ชมเงียบกริบ ก่อนจะเดือดพล่าน
เหล่าผู้ทรงอำนาจจากขุมกำลังปรปักษ์อดตื่นเต้นไม่ได้
“ดี!”
“แก่นของกระบี่นี้เชือดภูตผีเทพเซียนได้ง่าย ๆ!”
“ฮิ ๆ ไอ้หนูซูอี้นั่นแพ้แน่!”
…เสียงจอแจในแดนดินล้วนตะลึงกับการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งของหงเฟยกวน
ปลายนิ้วของซูอี้ปาดรอยเลือดบนแก้มตนทิ้งไป สีหน้าของเขายังคงเฉยเมยเยี่ยงกาลก่อน แต่กลับกล่าวอย่างสนใจ “บอกข้าที ยามที่เจ้าไม่ใช่วิญญาณอาสัญ การโจมตีนี้เทียบได้กับพลังกี่ส่วนของเจ้าหรือ?”
หงเฟยกวนคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง “ประมาณหกส่วนได้”
ซูอี้ครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “งั้นหรือ ได้ มันเพียงพอให้ข้าชักดาบแล้ว”
เสียงยังไม่ทันสร่าง ดาบแห่งโลกาก็ปรากฏขึ้นทันทีที่พลิกฝ่ามือ
ตัวดาบเรียบง่ายเรื่อเรืองแสงสีครามทอง ใบดาบสงวนตนชะอำนาจสิ้น
ทว่ายามอยู่ในมือซูอี้ ดาบแห่งโลกาก็คำรน ตัวดาบอันเรียบง่ายปรากฏแสงเซียนกระจ่างงดงามเคลื่อนคล้อย
อำนาจดาบอันน่าสะพรึงกลัวแพร่ออกทั่วสรวง!
หลายผู้ล้วนประหลาดใจ ดวงตาเจ็บแปลบ
“ดาบแห่งโลกา มันติดตามข้าต่อสู้ทั่วฟ้าแดนสรวงมาแต่อดีตชาติ”
ซูอี้กล่าว
เคร้ง!
อาภรณ์ของเขาโบกไสว บรรยากาศรอบร่างแปรเปลี่ยนเงียบงัน ดุจดาบศักดิ์สิทธิ์ไร้ผู้เทียบซึ่งซุกซ่อนอยู่ในเก้าขุมอบายเผยคมออกมา!
เหลือบมองต่ำอย่างเย่อหยิ่ง ไร้จำกัดเยี่ยงเซียน!
แรงกดดันร้ายแรงเกินใดเทียบเขย่าทั่วนภา!
“คนผู้นี้… ไฉนจึงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกัน…”
“เป็นภาวะดาบที่น่าสะพรึงกลัวอันใดเช่นนี้!”
“หรือนี่จะเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูอี้ผู้นั้น?”
แดนดินสะเทือนสั่น เหล่าผู้ชมล้วนผงะตกใจ
กระทั่งเหล่าผู้ทรงอำนาจที่เกลียดซูอี้ยังต้องยอมรับว่าอำนาจที่ซูอี้แสดง ณ ยามนี้ร้ายกาจเกินไปนัก
ดุจเทพเซียนวิถีดาบยืนองอาจในโลกา!
กระทั่งแค่มองจากไกล ๆ ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวหนาวเหน็บในใจอย่างมิอาจหยุดยั้ง
“ดาบแห่งโลกาหรือ? ในความคิดข้า ดาบนี้มิได้แสดงอำนาจสูงสุดแห่งโลกหล้าเลย”
ไกลออกไป หงเฟยกวนออกความเห็นอย่างสุขุม
“ดาบแห่งโลกามิใช่ศัตรูเพียงกับโลกาหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “กระทั่งเทพเซียนก็ฆ่าได้!”
ฆ่าเทพเซียนในโลกา?
บ้าชัด ๆ!
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ขบขันเย้ยเยาะมากเพียงไร
โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังเซียนล้วนหัวเราะขำส่ายหน้า
“แม้เจ้าจะหาญกล้า แต่หากวันนี้เจ้าแพ้ วาจาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องขบขันในโลกหล้า”
หงเฟยกวนยิ้ม
เขามาจากโลกเซียน รู้อำนาจในวิถีเซียนดีมาก และเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเพียงว่าความโอหังของซูอี้มาถึงจุดที่สูงจนน่าขัน
“วันนั้นจะมีในภายหน้า ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าไร้วาสนาได้เห็น”
สายตาของซูอี้เจือความเสียดาย
ทุกผู้ “…”
หงเฟยกวน “…”
สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสุขุมไร้อารมณ์ มิกล่าววาจาไร้สาระอีก
ตู้ม!
กระบี่ครวญยาวเยี่ยงกระแสน้ำ ฟาดฟันตรงไปตรงมา
อำนาจทรงพลังของมันกอปรกับคัมภีร์มารสวรรค์เลือดเดือดทำให้กระบี่นี้แผดแสงสีเลือดเจิดจ้า ฟาดฟันทำลายให้ทั่วฟ้าดินดูราวถูกผ่าด้วยสีเลือด!
“ไร้โอกาสแล้ว”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ
พร้อมกันนั้น เขาก็ตวัดดาบฟาดฟันอากาศสุดแรง
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกากวาดผ่านฟ้า สร้างภาวะดาบสะเทือนสวรรค์
สระเวียนวัฏอันลึกลับกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นในภาวะดาบ ปราณดาบเดือดพล่านดำทมิฬแปรเปลี่ยนเป็นอำนาจประหลาดหมุนวนเดือดพล่านในสระเวียนวัฏ
ยามนั้น วิญญาณทุกตนร้าวรานราวกับตกลงสู่ขุมนรกไร้ก้นบึ้งอย่างไร้การควบคุม
โดยเฉพาะเมื่อเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่นี่ล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญ เมื่อเห็นดาบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพียงไร พวกเขาก็ล้วนตัวสั่น
หือ?
หงเฟยกวนสะบัดกระบี่ฟาดฟัน ทว่ายามนี้ ร่างของเขากลับสั่นระรัว ถูกสะกดด้วยอำนาจน่าสะพรึงกลัว
เหมือนดั่งตกสู่ขุมนรก
ดุจถูกหินโม่บดปั่น
ฟ้าดินทั่วสารทิศล้วนถูกปกคลุมด้วยอำนาจดาบน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น!
สระเวียนวัฏปรากฏ เป็นตายไร้จีรัง!
ด้วยดาบนี้ ซูอี้ได้เข้าถึงแก่นแท้แห่งวัฏสงสารในขั้นสูง เขาหลอมรวมมันเข้ากับกฎแห่งอดีตชาติสะท้อนสระเวียนวัฏขึ้นในดาบแห่งโลกา!
นี่คือหนึ่งในภาวะดาบเวียนวัฏที่ซูอี้หล่อหลอมขึ้นจากการตกตะกอน ขัดเกลากรรมวิถีตนเองในอดีตกาล!
นามของมันคืออดีตชาติไร้จีรัง!
ณ ยามคับขันนี้ ดวงตาของหงเฟยกวนระเบิดแสงสีเลือด สองมือถือกระบี่ฟาดฟันอย่างดุเดือดในอากาศ
ตู้ม!!
ภาวะดาบอันทรงพลังเหนือผู้ใดถูกฟาดฟันร้าวราน สระเวียนวัฏสลายไป
ทว่า ก่อนที่หงเฟยกวนจะได้สติ ดวงตาของเขาพลันเจ็บแปลบ หัวใจเต้นกระตุก
สารพัดปราณดาบปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นบุปผาสีแดงฉานตรึงตาดุจคบเพลิงสองข้างถนนท่ามกลางความมืดมิด
บุปผามิคสัญญี วิถีเพลิงโชติ!
นี่คือเคล็ดสุดวิถี ส่งวิญญาณผู้วายชนม์เวียนวัฏสู่ความตาย!
ดาบนี้มีนามว่าสุดวิถีชี้นำ
ขณะเดียวกัน หงเฟยกวนก็อยู่บนวิถีเพลิงโชติ
ฉัวะ!!
ภาวะดาบสุดวิถีโชติช่วงแผดเผาเยี่ยงเปลวเพลิงกัดกร่อน ทำให้อำนาจคุ้มกายรายล้อมหงเฟยกวนถูกกร่อนไปอย่างร้ายแรง
สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน จริงจังยิ่งกว่าหนใด
“เปิด!”
หงเฟยกวนตะโกนลั่น ร่างของเขาระเบิดแสงมารสีแดงดุจโลหิต ฟาดฟันกระบี่อย่างบ้าคลั่งเข้าใส่บุปผามิคสัญญีบนเวหาดุจพิรุณแสงโปรยปราย
ทว่าแรงดึงดูดอันมิอาจต่อต้านนั้นมีฤทธิ์สยบวิญญาณอาสัญเช่นเขาโดยธรรมชาติ
กว่าเขาจะออกมาจากเส้นทางสุดวิถีได้ ร่างของเขาก็ชุ่มเลือดเสียจนอาภรณ์ขาวดุจหิมะถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน ผิวของเขาเต็มไปด้วยแผลดาบบาดลึกถึงกระดูก
“นี่…”
เหล่าผู้ชมจากไกล ๆ ล้วนขนลุกขนพอง
ยามนี้ ภาวะดาบของซูอี้ที่ปลดปล่อยออกมานั้นเป็นเหมือนหกวิถีเวียนวัฏวนเวียน แปลกประหลาด ร้ายกาจ น่าสะพรึงกลัวจนมิอาจคาดหยั่ง
หงเฟยกวนซึ่งก่อนหน้านี้ยังดูราวเทพเซียนบาดเจ็บเพียงจากสองดาบฟาดฟัน!
ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?
“หลังสหายเต๋าซูใช้ดาบก็แตกต่างออกไปจริง ๆ”
นัยน์ตาพร่างดาวของม่อชิงโฉวเจิดจรัสเปี่ยมอารมณ์
ซูอี้ ณ ขณะนี้สง่างาม บ้าคลั่งไร้จำกัดเยี่ยงเซียนหวนเวียนจุติโลกา อำนาจสูงส่งแตกต่างจากเดิมลิบลับ
“สะบั้น!”
หงเฟยกวนเพิ่งหลบจากการโจมตีมาได้ ก็ถูกเขาซัดปราณดาบเข้าใส่อีกหน
เปรี้ยง!
ยามนี้ดุจสมุทรกว้างถูกผ่าแยก ไพศาลไร้ขอบเขต ปราณดาบแปรสภาพเป็นน้ำทะเลทมิฬเชี่ยวกรากสาดซัด ส่งอำนาจเพียงพอจมเทพลงสู่ก้นบึ้ง
ร่างของหงเฟยกวนสั่นสะท้าน ผงะแทบร่วงลงไปในสมุทรปราณดาบ
เขาเร่งรุดไปเบื้องหน้า ฟาดฟันกระบี่แหวกเกลียวคลื่นอย่างองอาจกล้าหาญบ้าคลั่ง ปราณกระบี่ร้ายกาจกระเพื่อมเป็นคลื่นถาโถมทรงพลัง
ทว่าไม่ว่าจะหนีไปหนใด วารีทมิฬก็เจิ่งนองอยู่ถ้วนทั่วไร้ขอบเขต เขาเป็นดั่งบุคคลเดียวดายผู้ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง มิอาจประสบทางหนี!
จมในทะเลทุกข์ไม่อาจมีชีวิตรอด ไม่อาจเสาะแสวงความตาย จมดิ่งลงชั่วนิรันดร์!
ดาบนี้มีนามว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต!
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
หงเฟยกวนตวาด
เส้นผมยาวของเขาแผ่สยาย ปราณสีเลือดพวยพุ่งเยี่ยงม่านควัน กระบี่ศึกถูกกระชับในมือทะยานไปเบื้องหน้า
จิตต่อสู้ของเขาเดือดพล่าน แม้จะบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง แต่ก็หาลดทอนความกล้าของเขาลงไม่ กระทั่งเขาฟาดฟันถางทางสุดกำลังออกจากทะเลทุกข์สำเร็จ!
แม้ซูอี้ยังต้องยอมรับว่าหงเฟยกวนนั้นเป็นตัวตนอันห้าวหาญชาญชัย หาได้ยากยิ่งในโลกหล้า หนักแน่นเยี่ยงเหล็กกล้าโดยแท้จริง
ไม่อาจเทียบกับวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลตนอื่นได้เลย!
น่าเสียดาย…
ที่อีกฝ่ายต้องมาเจอกับตน
ตู้ม!
ปราณดาบคำรามทั่วฟ้าดิน แสงดาบเรื่อเรืองเผยแก่นพลังวัฏสงสารคล้องรับกับนิมิตดินแดนปรภพ มีทั้งอาคารบรรพกาลเยี่ยงกองตัดสิน กรมสุขาวดี กรมเดียรัจฉาน กรมสัมภเวสี และกรมอสุราปรากฏขึ้น
และยังมีเส้นทางสู่ความตายและสะพานไน่เหอปรากฏขึ้นอีกด้วย!
ยามนั้น ซูอี้ออกดาบสามหน
‘หกวิถีพิพากษา’
‘ธารปรภพสู่มรณะ’
‘ไร้สิ้นหนทาง’!
“เป็นไปได้เช่นไร…”
ขณะนั้น ในที่สุดหงเฟยกวนก็มิอาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้
หากไม่ใช่เพราะเขามีจิตใจมั่นคง คงเกือบคิดไปแล้วแน่ว่าตนติดอยู่ในหกวิถีเวียนวัฏ!
ในสายตาของผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ ฟ้าดินถิ่นนี้แปรสภาพเป็นมืดมิดล้ำลึกโดยสิ้นเชิง กลายเป็นแดนเวียนวัฏอันว่างเปล่าวังเวงไปแล้ว
และหงเฟยกวนก็ดิ้นรนอยู่ภายในดุจสัตว์ร้ายติดกับ!
“บ้าเอ๊ย!”
ทางฝั่งตระกูลหง สีหน้าของหงจิ่วจ้งแย่ลง สีหน้าปรากฏความกระวนกระวายเล็กน้อย
ทุกผู้รอบกายเขาเองก็นั่งไม่ติดราวอยู่บนปลายเข็ม
ไม่มีผู้คาดคิดว่าหลังซูอี้ชักดาบ สถานการณ์จะแปรเปลี่ยนไปเป็นการโจมตีฝ่ายเดียว และสถานการณ์ของหงเฟยกวนจะย่ำแย่เพียงนี้!
และทุกผู้ที่ยังกล่าวเร้าหงเฟยกวนก่อนหน้านี้ก็ต้องเงียบไปด้วยสีหน้ามืดหมองอย่างเสียมิได้
ถึงจะดูแสนนาน ทว่าแท้จริงเร่งเร็วยิ่ง
ดูเหมือนเพียงอึดใจ แต่ก็ให้ความรู้สึกราวแสนเนิ่นนาน
ในที่สุด หงเฟยกวนก็พ้นวงล้อม ปลดทุกเภทภัยพ้นตัว!
เพียงแค่ว่าเขาบาดเจ็บสาหัส เส้นผมสยายกระเซิง ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวแทบไร้สี
“อำนาจวัฏสงสารร้ายกาจจริงแท้ ทว่า… ด้วยการฝึกฝนของเจ้า ฆ่าข้าด้วยอำนาจเช่นนี้ได้ยากอยู่!”
หงเฟนกวนว่า
น้ำเสียงของเขาแหบต่ำ
ดวงตาของเขาแดงฉาน แม้จะบาดเจ็บสาหัส ทว่าบรรยากาศและเจตจำนงของเขาแข็งกล้าเยี่ยงขุนเขา ให้ความรู้สึกมิอาจสั่นคลอน
ทั่วแดนเกิดเสียงฮือฮา ทุกสิ่งมิไหวติง
เมื่อถามตนดู หากเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสระดับสูงสุดขอบเขตจุติมงคลของตนแล้ว เกรงว่าคงมิอาจรอดการโจมตีเมื่อครู่ได้
ทว่าหงเฟยกวนบากบั่นจนรอดจากวงล้อม!
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ดูอีกทีเถิด”
กล่าวจบ ดาบแห่งโลกาในมือเขาก็แกว่งเล็กน้อย
ดุจเซียนในแดนมนุษย์แกว่งโคม พุทธะโปรยบุหงา
ดาบอันเรียบง่ายไร้ความพิเศษนี้ดูจะกลืนกินพลังกายของซูอี้ไปอย่างมหาศาล ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย
ทว่าเมื่อดาบนี้ปรากฏขึ้น ฟ้าดินพลันตกสู่ราตรี
ภาพเช่นสระเวียนวัฏ เส้นทางสุดวิถี ทะเลทุกข์ กรมหกวิถี เส้นทางสู่ความตายและสะพานไน่เหอซึ่งเดิมสลายไปได้เวียนกลับมาปรากฏตาม ๆ กัน
ดุจแดนวัฏสงสารอันสมบูรณ์ถูกสร้างขึ้นใหม่ในยามนี้!
“แย่แล้ว!”
หลายผู้เปลี่ยนสีหน้า ถอยกรูดไปไกล
สิ่งที่วิญญาณอาสัญกลัวที่สุดก็คือวัฏสงสาร!
ยามนี้ เมื่อแดนวัฏสงสารอันผ่าเผยไร้ประมาณปรากฏเหนือนภา เพียงมองไกล ๆ ก็ทำให้พวกเขาสั่นเทิ้มทั้งกายใจ สัมผัสความสิ้นหวังราวถูกกดทับ
พวกเขาไม่กล้าอยู่ใกล้ ต่างฝ่ายต่างขัดขืนเคลื่อนถอย
และยามนี้ หัวของหงเฟยกวนมึนตึงราวถูกอสนีบาต ใบหน้าของเขาไร้สีเลือดโดยสมบูรณ์
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่าทุกดาบที่ซูอี้ฟาดฟันออกมาเป็นเพียงอารัมภบท ราวเม็ดลูกปัดกระจัดกระจาย
และยามนี้ เม็ดลูกปัดเหล่านั้นก็ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันกลายเป็นดาบอันสมบูรณ์ที่สุด!
นี่คือท่าไม้ตายของซูอี้
หนึ่งดาบฟาดฟัน วัฏสงสารเวียนซ้ำ!!
ยามเข้าตาจนนี้ หงเฟยกวนหาท้อถอยไม่
ร่างของเขาเดือดระอุ คำรามสุดคอ ฟาดฟันกระบี่ในมืออย่างร้ายกาจ
เปรี้ยง!
ปราณกระบี่ไร้สิ้นสุดโหมคลั่ง ดูราวเทพมารนับไม่ถ้วนผุดขึ้นจากธารโลหิต อาละวาดต่อต้านวัฏสงสาร
ทว่าการดิ้นรนทั้งหลายล้วนถูกกลบรัศมีสิ้น
เมื่อเคล็ดวัฏสงสาร อดีตชาติ การจม สุดวิถี จุดจบและอื่น ๆ เชื่อมต่อเวียนวนไปด้วยกัน อำนาจอันร้ายกาจไร้ผู้ใดเทียบก็ถูกสร้างขึ้น
ภาวะดาบเช่นนั้นดูราวจะลากทั่วฟ้าดินลงสู่นรกทั้งเก้าขุมสู่วัฏสงสารจางหาย แล้วหงเฟยกวนหรือจะเหลือซาก?
ทันใดนั้นเอง…
กระบี่นับไม่ถ้วนแหลกระเบิด
ร่างของหงเฟยกวนร่วงลงสู่หายนะไร้สิ้นสุด เขาบาดเจ็บหนักอย่างต่อเนื่อง ร่างกายแหลกสลาย
“วัฏสงสาร… ร้ายกาจเพียงนี้เชียวหรือ?”
“จบสิ้นแล้ว!”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนมากเพียงไรครั่นคร้ามสยดสยอง
ตัวตนร้ายกาจไร้ผู้เทียบเช่นหงเฟยกวน ผู้นำในหมู่ทายาทเซียนซึ่งทิ้งตำนานในอดีตกาลไว้มากมาย
ทว่ายามนี้เขากลับเสี่ยงต้องตายตก!
“เตรียมตัวให้พร้อม!”
“ถึงคนแซ่ซูจะมิบาดเจ็บ เขาก็ใช้พลังไปมาก ต้องทุ่มสุดกำลังมิให้โอกาสเขาหนีได้!”
“ได้!”
ยามนี้ ตระกูลฝู หอเซียนดาบมายา โรงดาบเทพลี้ลับ พรรคเซียนเร้นราตรีและขุมกำลังปรปักษ์ทั้งหลายล้วนเปี่ยมจิตสังหาร เตรียมตัวพร้อมลงมือ
ศึกนี้ชวนระทึกหยุดโลกหล้าอย่างจริงแท้
และผลกระทบที่เกิดกับหงเฟยกวนก็ยิ่งผิดคาดเกินจะรับได้
ทว่าเทียบกันแล้ว ขุมกำลังปรปักษ์เหล่านี้หาสนใจเรื่องเหล่านั้นไม่ พวกเขารู้เพียงว่าศึกตัดสินนี้กำลังจะจบลง
และเป็นช่วงกาลสมบูรณ์แบบในการล่าซูอี้!
ยามนี้ ม่อชิงโฉว ม่อหย่วนซานและยอดฝีมือตระกูลม่อคนอื่น ๆ ล้วนเป็นกังวลยิ่งกว่าหนใด ตระหนักแล้วว่าเมื่อสิ้นศึก สถานการณ์จะโกลาหลยิ่ง
ยามนั้นเอง…
ตระกูลหงชิงลงมือ!
พวกเขามิสนใจแล้วว่าศึกตัดสินนี้ยังมิจบลงโดยแท้จริงหรือไม่
กล่าวคือ พวกเขาไม่อาจทนเห็นหงเฟยกวนถูกฆ่าได้ พวกเขาเมินเฉยต่อกฎลงมือโจมตีก่อนทันที!
แขนเสื้อของหงจิ่วจ้งสะบัด เผยภาพวาดภาพหนึ่ง
เงาร่างยิ่งใหญ่เยี่ยงเทพร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในภาพ สวมอาภรณ์ยาวเถลิงมงกุฎ แสงเซียนสีดำพร่างพรมบนร่าง
นี่คือเจตจำนงเซียน
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏก็ชกหนึ่งหมัดลงมา
ตู้ม!
ภาวะดาบอันเหมือนม่านเวียนวัฏปรกสวรรค์พลันปั่นป่วนแหลกสลายไปตาม ๆ กัน
หงเฟยกวนถูกช่วยชีวิตไว้
ซูอี้หรี่ตาลง อดส่ายหน้ามิได้ ว่าแล้วเชียว กฎตระกูลหงที่ว่านั้นล้วนกลายเป็นผายลมเมื่อถึงยามตระกูลหงเสี่ยงตาย
“ตระกูลหงของพวกเจ้าช่างน่าไม่อายนัก!”
ภาพนี้ทำให้ม่อหย่วนซานตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล “เจ้าเองก็แถลงจุดยืนต่อโลกหล้าว่าจะไม่ให้ผู้ใดเจ้าแทรกแซงศึก แต่กลับผิดกฎเสียคนแรก หน้าไม่อายสิ้นดี!”
หงจิ่วจ้งเมินวาจานั้นไปอย่างไร้อารมณ์
เขากล่าวเสียงต่ำ “ทุกท่าน ทำตามแผนเดิมได้เลย ทุกท่านหยุดตระกูลม่อไว้ แล้วเราตระกูลหงจะจัดการสัตว์ร้ายแซ่ซูผู้นี้เอง!”
“ได้!”
ทันใดนั้น ยอดฝีมือจากขุมกำลังปรปักษ์ทั้งหลายก็ลงมือ ล้อมคนตระกูลม่อไว้ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
หัวใจของม่อชิงโฉวดิ่งร่วง
ยามนี้เองนางจึงพลันตระหนัก ว่าตระกูลหงเตรียมลงมือร่วมกับขุมกำลังปรปักษ์เพื่อฆ่าซูอี้ตั้งแต่ก่อนเกิดการประลองแล้ว
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ว่าแล้วเชียว”
น้ำเสียงของเขาประชดประชันอย่างมิปิดบัง
ชี้เป็นตายอันใด ตัดสินแพ้ชนะอันใด ในเมื่อคู่แค้นเผชิญหน้า มีหรือจะดวลอย่างยุติธรรม?
โชคดีที่ซูอี้มิเคยเชื่อวาจาเพ้อพกเช่นนี้ เขาจึงหาโมโหหรือมิทันตั้งตัวไม่
ตู้ม!
ฟ้าดินปั่นป่วน
ขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้นชี้หอกตรงไปยังตระกูลม่อ มิได้คิดลงมือ ทว่าจะเข้าขวางมิให้ตระกูลม่อเข้าช่วยซูอี้ได้
ขณะเดียวกัน เจตจำนงเซียนนั้นก็โจมตีใส่ซูอี้
หนึ่งหมัดทลายนภา
แข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวยิ่ง เป็นอำนาจที่มิได้ถูกกฎสวรรค์จำกัด เป็นพลังเจตจำนงจากวิญญาณอาสัญวิถีเซียนซึ่งห่างไกลจากขอบเขตจุติมงคลมากนัก
หงจิ่วจ้งและคนตระกูลหงทั้งหลายอดยิ้มเยาะมิได้
กฎถูกตั้งโดยตระกูลหงของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมล้มมันทิ้งได้!
ทันทีที่พวกเขาจับตัวซูอี้และครองวัฏสงสารได้ ภายหน้าใครเล่าในโลกหล้าจะกล้าครหาพวกเขาตระกูลหงที่โกงการประลองนี้?
ชัยชนะและความพ่ายแพ้
ชัยชนะสำคัญที่สุด!
เมื่อเผชิญหมัดนี้จากเจตจำนงเซียน ซูอี้ก็สัมผัสภัยคุกคามมหาศาลได้
เขาสูดหายใจลึก ๆ และใช้เตาหลอมสวรรค์อย่างไม่ลังเล เตรียมลงมือ
ทว่ายามนั้นเอง
ตัวแปรอันมิคาดฝันพลันปรากฏ
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นขวางซูอี้ ฟาดฟันกระบี่เข้าใส่หมัดจากเจตจำนงเซียนนั่น!
เขาคือหงเฟยกวน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หงจิ่วจ้งและผู้เฒ่าตระกูลหงคนอื่นก็สายเกินกว่าจะหยุดยั้ง ตกตะลึงเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอย
“หลบไป!!!”
หงจิ่วจ้งตะโกน
ทว่าก็ช้าไปก้าวหนึ่ง
อย่าว่าแต่พวกเขาไม่คาด กระทั่งเจตจำนงเซียนนั่นก็หาคาดไว้ไม่ และสายเกินกว่าจะยั้งหมัด
เคร้ง!!!
กระบี่พิทักษ์ธรรมสะเทือนอย่างรุนแรงและปลิวหลุดจากมือ
ร่างของหงเฟยกวนถูกชกกระเด็นไป
ก่อนหน้านี้เขาบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ร่างแหว่งวิ่น หลังถูกหมัดนี้เข้าไป ร่างของเขาก็แทบแหลกสลายเลือนรางลงอย่างยิ่ง
“เฟยกวน เจ้า!!”
หงจิ่วจ้งและคนอื่นร้องลั่นอย่างเป็นห่วง
เหล่าผู้ทรงอำนาจจากขุมกำลังปกปักษ์และพวกม่อชิงโฉวซึ่งอยู่ไกล ๆ เองก็ตะลึงกับสถานการณ์นี้ มิอาจเชื่อลงเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดคาดว่าหงเฟยกวนจะหยุดเจตจำนงเซียนจากตระกูลตนไว้!
ช่างบ้าระห่ำ
เจตจำนงเซียนนั้นอดขมวดคิ้วกล่าวมิได้ “โง่เง่า!!!”
ซูอี้ชะงักเงียบงันอย่างหาได้ยาก
เขาเองก็ไม่คาดว่าหงเฟยกวนจะทำเช่นนี้
“เราตระกูลหง… แพ้มิได้เลยหรือไร!!!?”
หงเฟยกวนตั้งคำถามเสียงดังภายใต้ท้องนภา น้ำเสียงของเขาสะเทือนทั่วนภาสรวงแดนดิน
หนึ่งวาจานั้นสะท้อนทั่วฟ้าดิน สงบวจีคนทุกผู้
หงจิ่วจ้งและคนอื่นล้วนยากบรรยาย
คิ้วของเจตจำนงเซียนยิ่งขมวดแน่น
“กฎ… ก็คือกฎ! กฎของข้าหงเฟยกวน ข้าก็ต้องผดุงไว้!”
อกของหงเฟยกวนกระเพื่อมหอบอย่างรุนแรง น้ำเสียงของเขาติดขัด
เขากล่าวจบก็หันมองซูอี้อย่างยากลำบาก “ข้าแพ้แล้ว แต่ว่า… หากไม่ตายในการดวลอย่างสมเกียรติ ในใจก็อดอาวรณ์น้อย ๆ มิได้”
ร่างของเขาแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าสิ้นกำลังหมดแรง
หัวใจทุกผู้กระดอนในอก
ไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าไฉนหงเฟยกวนจึงทำเช่นนี้
กฎหรือจะสำคัญไปกว่าชีวิตตน?
มีเพียงซูอี้ที่สะเทือนใจ “ยามนี้ ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้ากล่าวในตอนต้นแล้ว หากเรามิได้เป็นศัตรูกัน เจ้าและข้าต้องได้ร่ำสุราคุยกันเป็นแน่”
กฎหรือจะสำคัญไปกว่าชีวิต?
ไม่เลย
สำหรับผู้อื่น มันเป็นเพียงกฎง่าย ๆ
ทว่าสำหรับหงเฟยกวน มันคือจิตตั้งมั่นพิสูจน์เต๋าของเขา! มันคือความตั้งมั่นที่เขาใช้แสวงวิถี!
หากจิตตั้งมั่นนี้ถูกทำลาย เขาจะพิสูจน์เต๋าต่อได้เช่นไร?
ว่าไปแล้ว ซูอี้ก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ยึดมั่นในหลักเกณฑ์ของตน และยอมตายดีกว่าทำลายมัน!
ดังนั้นยามนี้ ซูอี้จึงรู้สึกสนิทสนมกับอีกฝ่ายขึ้นมา
แม้เขาและหงเฟยกวนจะเป็นศัตรู แต่มันก็มิอาจห้ามให้ซูอี้รู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายได้
“ข้าควรจะกล่าวขอโทษ…”
หงเฟยกวนพึมพำ ดวงตาดับแสงลง ร่างของเขาเปื่อยสลายไป “ให้เจ้า… หัวเราะเยาะเสียแล้ว…”
เสียงยังมิทันสร่าง
ร่างของหงเฟยกวนก็สลายสิ้นไป
กระบี่พิทักษ์ธรรมร่วงไกลออกไป ตัวกระบี่สะเทือนสั่นส่งเสียงคร่ำครวญราวร่ำไห้ให้ผู้เป็นนาย
ซูอี้รำพึงเบา ๆ
“เดินทางดี ๆ นะ”
………………..