บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 140 เวิงอวิ๋นฉี
ที่หน้าโต๊ะใต้แสงเทียน
ซูอี้เปิดม้วนสาส์นลับที่ถูกมอบมาโดยหวงเฉียนจวิน
‘ก่อนที่เจ้าจะค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างฉาจิ่นกับ ‘สำนักวงเดือน’ แห่งต้าเว่ย ห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่น’
‘หากเจ้ายืนยันตัวตนของนางได้สำเร็จ จงคร่ากุมตัวนางทั้งเป็นและพามาส่งที่นครหลวงอวี้จิง’
‘ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกของข้าไปที่จวนผู้ว่าการเขตปกครองอวิ๋นเหอ ฉินเหวินเยวียนสามารถช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน’
‘สำหรับน้องชายคนที่หกของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง’
‘เผาสาส์นลับนี้ทันทีหลังจากอ่านมัน!’
…เมื่อรับชม ซูอี้ถอนหายใจแผ่วเบา ช่างยากลำบากจริง
บนทวีปคังชิง มีอาณาจักรน้อยใหญ่นับร้อย
ต้าโจวเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
ติดกับต้าโจว มีสองอาณาจักร หนึ่งคือต้าเว่ย และอีกแห่งคือ ต้าเยียน
ในหมู่ทั้งสามอาณาจักร ต้าเยียนนั้นทรงพลังที่สุด
ต้าโจวและต้าเว่ยนั้นมีกำลังทัดเทียมกัน เป็นเหตุให้เกิดการเผชิญหน้าและการขัดแย้งเกิดขึ้นบ่อยที่สุดเช่นกัน ส่งผลให้มีสงครามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ต้าเยียน มักจะนั่งบนภูดูเสือกัดกัน*[1]
ท้ายที่สุดถ้าต่อสู้กันจนตกตาย ต้าเยียนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
“สำนักวงเดือนแห่งต้าเว่ย… ตัวตนของฉาจิ่นนั้นไม่ง่ายเลย เป็นไปได้มากว่าจะเป็นตัวหมากที่ต้าเว่ยวางไว้ข้างองค์ชายรอง!”
‘ฉินเหวินเยวียนกลับกลายเป็นคนขององค์ชายรอง หากเป็นเช่นนี้ มันคงไม่ต่างกันนัก ต่อให้ข้าสังหารหนานเหวินเซียงในวันนี้หรือวันหน้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าย่อมเป็นศัตรูขององค์ชายรองผู้นั้นในท้ายที่สุด’
ซูอี้คิดอย่างเงียบ ๆ
จักรพรรดิปัจจุบันของต้าโจว มีบุตรชายแปดคนและบุตรีสามคน
ชื่อของลูกชายทั้งแปดคนนี้น่าสนใจยิ่ง ว่ากันว่าราชครูหงเซินชาง เป็นผู้ตัดสินใจตั้งชื่อด้วยตนเองตามข่าวลือ
ได้แก่ กาน คุน เจิน ซวิน หลี คาน เกิ่น และ ตุย
เช่นเดียวกับองค์ชายหก ที่ถูกเรียกว่าโจวจือหลี
องค์ชายรองถูกเรียกว่าโจวจื่อคุน
“ช่างเถิด ต่อให้เรื่องจะยุ่งยากเพียงใด หากผู้ใดบังอาจสร้างความวุ่นวายให้กับตัวข้าผู้แซ่ซู ข้าจะใช้ดาบในมือคลี่คลายปัญหาให้หมดสิ้น”
หลังจากนั้น ซูอี้ก็ฉีกสาส์นในมือทิ้ง ดวงตาของเขาลึกล้ำและเปล่งประกาย
ความขัดแย้งในโลกปุถุชนนับเป็นประสบการณ์หนึ่งเช่นกัน
หลังจากปรับความคิดและห้วงอารมณ์เรียบร้อย ซูอี้เริ่มการฝึกฝนที่น่าเบื่อด้วยความบากบั่นเช่นเคย
ราตรีกาลมาเยือนตามกำหนด
ด้านนอกตรอกน้ำเต้า แสงไฟสลัว
ชายชราผู้โดดเดี่ยวมาถึงทางเข้าของตรอกน้ำเต้า มองดูความมืดลึกในตรอกอย่างลังเล
ชายชรามีหนวดเคราผมเผ้ารุงรัง และสวมชุดผ้าดิบขาดรุ่งริ่ง เขาสูงและผอม ท่วงท่าเดินหลังค่อม ดูเหมือนไม่สมประกอบ
ไม่นานนัก ชายชราก็หันกลับ มุ่งตรงไปยังแผงขายเกี๊ยวข้างถนนและเอ่ยปาก “ขอสักชาม”
เขานั่งลงสบาย ๆ
คนขายเกี๊ยวเป็นคนผอม และเมื่อได้ยินคำพูดสั่งจากลูกค้า เขาจึงง่วนยุ่งกับการนึ่งเกี๊ยวเป็นพัลวัน
ใช้เวลาไม่นานเกี๊ยวนึ่งหนึ่งชามวางอยู่ด้านหน้า
ชายชราไม่กิน แต่ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขากลับแสดงอารมณ์ลุ่มลึก “เมื่อใดกันที่สาวกพรรคมารหยิน ตกต่ำถึงขนาดต้องขายเกี๊ยวเพื่อประทังชีพ? ไม่ดีเลย ไม่ดีเลย”
คนขายเกี๊ยวสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที เขาวางซุปในมือ แล้วออกวิ่ง
ฟุ่บ!
ตะเกียบไม้ไผ่พุ่งเสียบทะลุคอคนขายเกี๊ยวราวกับลูกธนู ร่างคนขายเกี๊ยวล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุ้บ
ชายชราไม่ได้เหลือบดู เขาหยิบช้อนและตะเกียบชุดใหม่ขึ้น เริ่มเพลิดเพลินกับเกี๊ยวที่อยู่ตรงหน้า
จนกระทั่งซุปในชามถูกดื่มจนสิ้น ชายชราจึงเช็ดปากแล้วลุกขึ้นอย่างสำราญ
คราวนี้โดยไม่ลังเลเลย เขาเดินเข้าไปในส่วนลึกของตรอกน้ำเต้า
จนกระทั่งเขามาถึงเรือนเงียบสุขสงบ
ชายชราหยิบขลุ่ยกระดูกออกจากแขนเสื้อ ยกขึ้นมาแนบบนริมฝีปากแล้วเป่าเบา ๆ
เสียงขลุ่ยที่นุ่มนวลและไม่อาจจับต้องเลื่อนลอยอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด
ในห้อง
ซูอี้ที่กำลังฝึกฝนลืมตาขึ้นอย่างเงียบ ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดคืนนี้ถึงได้วุ่นวายไม่รู้จักหยุดหย่อน?
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงที่ตื่นตระหนกของชิงหว่านดังขึ้นจากน้ำเต้าปลุกวิญญาณ “นายท่าน! ใครบางคนกำลังจะกักขังข้าด้วยเคล็ดวิชาควบคุมวิญญาณ…”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ อีกฝ่ายเพ่งเล็งชิงหว่านงั้นหรือ?
ชิ้ง!
ดาบบงการฟ้าดินถูกชักออก ซูอี้วางน้ำเต้าปลุกวิญญาณลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้ดาบบงการฟ้าดินวางทับในแนวขวาง
“ไม่ต้องตื่นตระหนก ข้าจะไปดู”
ซูอี้พูดพร้อมกับถือดาบประกายม่วง และเดินออกจากประตู
เป็นเวลาดึกดื่น ดวงดาวยังสว่าง แสงจันทร์ยังสาดส่อง ทว่าเสียงหมู่แมลงทั้งหมดกลับเงียบสงัด
มีเพียงเสียงขลุ่ยแผ่วเบาไปทั่วลานบ้าน
ยามซูอี้ก้าวเท้าออกจากโถง เสียงขลุ่ยพลันหยุดกะทันหัน
ด้านนอกลานบ้าน ชายชราในชุดผ้าดิบนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออก “เก็บชิงหว่านไว้ข้างกาย รังแต่จะชักภัยเข้าสู่ตน จะดีที่สุดหากคืนนางมาให้ชายชราผู้นี้”
ซูอี้ยืนอยู่ที่ลานบ้าน และทันใดนั้นถ้อยคำพลันเอ่ยถาม “เวิงอวิ๋นฉีหรือ?”
ประกายเย็นเยียบเผยออกในดวงตาของชายชรา “ดูเหมือนศิษย์ไม่เอาไหนของข้า อู๋รั่วชิว คงจะถูกเจ้าฆ่าสินะ”
“แม้แต่เจ้ายังบอกเอง ว่าเขาเป็นศิษย์ไม่เอาไหน เช่นนั้นการฆ่าเขาไม่ถือว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าหรอกหรือ?”
ซูอี้เอ่ยถ้อยแผ่วเบา กระนั้นเท้ายังคงสาวก้าวเข้าใกล้รั้วด้านข้างลานบ้านอย่างเงียบงัน
“ช่างเถิด ชายชราจะกลับมาในวันหน้า”
ทันทีที่สิ้นประโยคจากชายชราในชุดผ้าดิบ ร่างของซูอี้ก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพงราวกับลูกศรพุ่งจากแล่งคันธนู
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ แต่ชายหนุ่มเห็นเพียงร่างที่หลบหนีจากตรอกน้ำเต้า และหายตัวไปในพริบตา
“ชายชราผู้นี้ช่างระมัดระวังตัว”
ซูอี้ระงับความอยากที่จะไล่ตาม
เขากังวลว่านี่อาจเป็นการหลอกล่อ ไม่ว่าจะอย่างไร เรือนเงียบสุขสงบไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่อยู่อาศัย
“เวิงอวิ๋นฉี ต้องถือหยกวิญญาณนั่นไว้เป็นแน่แท้ บางทีอาจเป็นเพราะหยกนั้นเขาจึงได้รู้แจ้งว่าชิงหว่านอยู่ที่นี่”
ซูอี้ครุ่นคิดก่อนจะกลับไปที่ห้อง
เวิงอวิ๋นฉีและอู๋รั่วชิว สองอาจารย์และลูกศิษย์ ได้ขโมยสมบัติสามชิ้นไปเมื่อพวกเขาทรยศพรรคมารหยินในตอนนั้น หยกวิญญาณลึกลับ เคล็ดวิชาสำหรับเลี้ยงผีและซากศพ และสุดท้ายคือน้ำเต้าปลุกวิญญาณ
ในบรรดาสมบัติที่พวกเขาขโมยมา น้ำเต้าปลุกวิญญาณและชิงหว่าน ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของอู๋รั่วชิว แต่หลังจากอู๋รั่วชิวสิ้นชีวี พวกมันทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือของซูอี้
มีเพียงหยกวิญญาณลึกลับเท่านั้นที่ไม่อยู่
ครั้งเมื่อเขาอยู่ในภูเขามารดาภูตผี ผ่านการสารภาพของศิษย์พรรคมารหยิน ซูอี้ได้เรียนรู้ว่า ชิงหว่านกำลังหลับใหลอยู่ในหยกวิญญาณลึกลับมาตั้งแต่กาลก่อน!
ส่วนหยกวิญญาณนี้มาจากไหน มันยังคงเป็นปริศนา
“ชายชราผู้นั้นเก็บหยกวิญญาณไว้ข้างกายมานมนาน เขาอาจจะรู้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวความหลังของชิงหว่านก็เป็นได้…”
ซูอี้รู้ดีว่าตราบใดที่ชิงหว่านอยู่เคียงข้าง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเวิงอวิ๋นฉีจะหายไป
กลับไปที่ห้อง เขาเก็บดาบบงการฟ้าดิน และพูดกับชิงหว่านในน้ำเต้าปลุกวิญญาณว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”
“นายท่าน เป็นคนจากพรรคมารหยินมางั้นหรือ?”
เสียงนุ่มนวลและขี้อายของชิงหว่านดังออก
“ถูกต้อง”
ซูอี้กล่าวว่า “ช่วงนี้เจ้าจงระมัดระวังตัวมากขึ้น ถ้าเจ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด แจ้งให้ข้าทราบทันที”
“อืม!”
…
นอกตรอก บริเวณไม่ห่างจากตรอกน้ำเต้านัก
ข้างร้านเกี๊ยว ชายผู้หนึ่งนั่งยองอยู่หน้าศพของชายร่างผอมที่ถูกตะเกียบไม้ไผ่ฆ่า มองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ชายชราผู้นี้ เวิงอวิ๋นฉี โหดเหี้ยมแท้จริง ฆ่าคนสะกดรอยตามโดยไม่ลังเล เป็นไปได้ไหมว่าเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายแล้ว?”
ชายผู้พูดไม่ใช่ใครอื่น เขาคือชายร่างผอมสีหน้าซีดเซียวราวกับป่วยใกล้จะสิ้นลม ‘ป่วยไข้’ ฉู่ซื่อหลาง
เขาหยิบเทียนสีเลือดออกมาจากแขนเสื้อ วางแนบจมูกแล้วสูดดมเบา ๆ หลังจากนั้น นัยน์ตาของเขาพลันเปลี่ยนรูปเป็นสามเหลี่ยมทั้งสองข้าง มันเปล่งประกายด้วยสีเขียวที่ชวนขนหัวลุกในทันที
จากนั้นเขาลุกขึ้นและเดินไปที่ตรอกน้ำเต้า
เมื่อมาถึงเรือนเงียบสุขสงบ เขาหยุดชั่วคราว รอยสงสัยปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้ว “ทำไมชายชราผู้นั้นถึงมาหยุดอยู่ที่นี่สักพักแล้วจากไป?”
เขามองไปยังประตูที่ปิดของเรือนเงียบสุขสงบ ลังเล หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงหันหลังกลับอย่างเงียบ ๆ
เมื่อมาถึงนอกตรอกน้ำเต้า ฉู่ซื่อหลางอดไม่ได้ที่จะตกใจ แลเห็นกลุ่มขอทานกำลังค้นหาสิ่งของที่อยู่ถัดจากร่างของชายร่างผอมอย่างตื่นเต้น
“สิ่งนี้ไม่ต่างจากพรรคมารหยินของข้าเลย”
ฉู่ซื่อหลางยิ้มและหันหลังกลับ
ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป ทันใดนั้น ขอทานชราผู้หนึ่งลดเสียงลงแล้วถามว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคน ๆ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
หนึ่งในนั้นโพล่งตอบอย่างรวดเร็ว “ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในสามเป้าหมายที่เรากำลังมองหา!”
“ในที่สุดก็มีโชค เงินจากคนตายนี้เป็นของเจ้า ข้าต้องไปรับเงินรางวัลก่อน”
ขอทานแก่ลุกขึ้นและรีบออกไป
หลังจากนั้นครึ่งก้านธูป
ในจวนร้างหลังหนึ่งในเมือง
ภายใต้ความมืดมิดแห่งยามราตรี หญิงสาวผู้หนึ่งมองดูแท่นบูชาที่ตั้งขึ้นตรงหน้าด้วยความพอใจ
แท่นบูชาสูงระดับเอว มันประกอบไปด้วยกระดูกแขนสีขาวราวหิมะนับไม่ถ้วน โดยมีกะโหลกสีเลือดเก้าชิ้นวางอยู่บนชั้นด้านบน
ข้างกะโหลกแต่ละอันมีธงเรียกวิญญาณสีดำ
“หากท่านหัวหน้าสาขาไม่มีวัตถุล้ำค่ามากมายขนาดนี้ ‘ค่ายกลพันธะวิญญาณศพโลหิต’ นี้คงจะตั้งขึ้นไม่ได้”
‘ฮูหยินศพ’ ถ้อยคำเอ่ยอย่างแผ่วเบา
หลิวเซียงหลาน!
“ด้วยค่ายกลนี้ เราจะมีไพ่ตายไว้ใช้ยามฉุกเฉิน” อีกด้านหนึ่ง ชายชราในชุดคลุมเต๋ายืนจ้องมอง
นักพรตเสวี่ยเหิง!
ปรมาจารย์วิถียุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นที่สอง!
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ประตูห้องถูกเปิดออก และ ‘ป่วยไข้’ ฉู่ซื่อหลางก็เดินเข้ามา
เขาจ้องไปยังหน้าอกที่ตั้งตระหง่านของหลิวเซียงหลานก่อน แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
“ข้าได้เบาะแสของเวิงอวิ๋นฉีมาบ้างแล้ว หากไม่มีสิ่งผิดพลาด เขาจะปรากฏตัวอีกแน่ในอนาคตอันใกล้ ในเรือนแห่งหนึ่งที่ตรอกน้ำเต้า”
“ใครเป็นเจ้าของเรือนนั้น?” นักพรตเสวี่ยเหิงเอ่ยถาม
ฉู่ซื่อหลางส่ายหัว “ข้าไม่รู้ เพราะเกรงว่าจะทำให้งูตื่น จึงไม่ได้สอบสวน ข้าจะรอจนถึงเช้าพรุ่งนี้เพื่อให้คนของเราไปตรวจดู”
ดวงตาของนักพรตเสวี่ยเหิงกะพริบแวววับก่อนจะพูดว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าจะไปเฝ้านอกตรอกน้ำเต้า เมื่อใดที่เวิงอวิ๋นฉีปรากฏขึ้น เขาจะไม่สามารถหลุดรอดไปได้อีก”
“ตาเฒ่านักพรต ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกเอาไว้หรือ ว่าเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากสหายผู้อยู่ในเมือง ว่าแต่ เขาตกลงที่จะช่วยเหลือเราหรือไม่?”
หลิวเซียงหลานถามทันที
“ไม่”
นักพรตเสวี่ยเหิงถอนหายใจยาว ปากเอื้อนเอ่ยด้วยความหดหู่ “เมื่อวานนี้ ผู้ว่าการเขตปกครองฉินเหวินเยวียนถูกสังหาร ทำให้เหล่ากองกำลังไม่ว่าจะน้อยใหญ่ในเมืองตื่นตระหนก แม้แต่เพื่อนเก่าของข้าก็ขวัญหาย ไม่ยินยอมช่วยเหลือสิ่งใดทั้งสิ้น”
ฉู่ซื่อหลางยิ้มและพูดว่า “ช่างเถิด ไม่ว่าเขาจะช่วยหรือไม่ก็คงไม่ต่างกันนัก แค่จัดการกับเวิงอวิ๋นฉี ด้วยความแข็งแกร่งของเราสามคน ย่อมสามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย”
หลิวเซียงหลานรู้สึกไม่สู้ดีนัก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “รู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้สังหาร?”
นักพรตเสวี่ยเหิงส่ายหัว “ข้าไม่รู้ มีคนบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ใดในเมือง และแม้แต่คนใหญ่โตในเมืองก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขา”
“ขณะนี้สถานการณ์ในมหานครอวิ๋นเหอ เริ่มซับซ้อนและปั่นป่วน เราไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่เป็นเวลานาน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาชี้ไปยังแท่นบูชาที่สร้างด้วยกระดูก “ปกปิดไว้อย่าให้ใครสังเกตเห็น เป้าหมายของเราคือเวิงอวิ๋นฉี หลังจากนั้นเราจะรีบออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด!”
ฉู่ซื่อหลางและหลิวเซียงหลานต่างก็พยักหน้า
[1] นั่งบนภูดูเสือกัดกัน หมายถึงแยกตัวมองจากที่ไกลออกไป ปล่อยให้ศัตรูสู้กันเอง