บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1401: แดนดินสิ้นเยียวยา
ตอนที่ 1401: แดนดินสิ้นเยียวยา
หลังฝูตงหลีและผู้เฒ่าตระกูลฝูเข้าร่วมสงคราม พวกเขาก็โจมตีซูอี้ทันที
ทรงพลังยิ่งนัก!
หงจิ่วจ้งและผู้เฒ่าตระกูลหงล้วนขมวดคิ้ว สีหน้าถมึงทึง
“ทุกท่านทำอันใดอยู่? จากข้อตกลง พวกท่านแค่ดูศึกก็พอนี่!”
หงจิ่วจ้งตะโกนลั่น
ตระกูลฝูเองก็ไร้ยางอายยิ่งนัก เมื่อเห็นซูอี้กำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็ดูจะเข้ามาปล้นชิงผลประโยชน์!
“ผู้อาวุโสทั้งหลายโปรดอย่าเข้าใจผิด เรามาช่วย ไม่ได้มาโจมตีใด ๆ”
ฝูตงหลีอธิบายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เรื่องเร่งด่วนที่สุด ณ ยามนี้คือฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายซูอี้ผู้นี้ให้สิ้นซาก!”
“ฮึ!”
หงจิ่วจ้งแค่นเสียงอย่างเย็นชา ทว่าก็มิอาจกล่าววาจาใดได้
“เราก็ไปด้วยสิ!”
ทางฝั่งหอเซียนดาบมายา ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยเวิ่นหลิ่วก็ตัดสินใจนำคนสู่สนามรบ
และเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากพรรคเซียนเร้นราตรี โรงดาบเทพลี้ลับ สุขาวดีจรทักษิญและขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ เห็นเช่นนี้ก็สิ้นลังเล พวกเขาแห่กันเข้ามาโจมตีทันที
พวกเขาจับมือเป็นพันธมิตรกับตระกูลหง ตกลงกันไว้แล้วจริง ๆ ว่าหลังสังหารซูอี้ ครอบครองวัฏสงสารได้ ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายจะได้ส่วนแบ่งถ้วนทั่ว
ทว่าข้อตกลงเช่นนี้เปราะบางยิ่ง
เพราะถึงอย่างไร กฎที่หงเฟยกวนตั้งไว้ก่อนหน้านี้ยังถูกล้มล้างพลิกกลับตามใจ ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าตระกูลหงจะมิเปลี่ยนใจหลังยึดครองอำนาจวัฏสงสารสำเร็จ?
ดังนั้น ขุมกำลังปรปักษ์ทั้งหลายจึงลงมือ ออกปากเหมือนจะช่วย ทว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาต้องการฉวยโอกาสชิงอำนาจวัฏสงสารยามซูอี้สิ้นใจเป็นฝ่ายแรกเพื่อมิให้ตระกูลหงยึดไว้ผู้เดียว!
ชั่วขณะนั้น สถานการณ์พลันแปรเปลี่ยน
มองปราดแรก เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายออกลงมือพร้อมกัน ปราณของแต่ละผู้ล้วนร้ายกาจดุจเทพสวรรค์ออกสงคราม สั่นนภาสะเทือนพิภพ
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้รวมแล้วหลายร้อย ต่างคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตจุติมงคล!
เมื่อวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังไม่ก่อเกิด พวกเขาก็นับเป็นอำนาจต่อสู้สูงสุดในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ขยายอำนาจกวาดทั่วจักรวาลพร่างดาวได้โดยง่าย
และยามนี้ พวกเขาก็ลงมือโจมตีสังหารซูอี้ด้วยกัน!
วิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลหลายร้อยตนจากขุมกำลังโบราณต่าง ๆ ลงมือด้วยกัน มีหรืออำนาจนี้จะมีผู้เทียบเคียงได้?
ขณะนั้นเอง…
ตู้ม!
ท้องนภาสั่นไหว สรรพสิ่งล้วนพังทลาย
ราวมหันตภัยอุบัติ คลื่นแสงเซียนกลบนภา แสงสมบัติเจิดจรัสเผยอำนาจกวาดทั่วทศทิศ
ฟ้าดินถิ่นนี้ดูพังทลายลงโดยสมบูรณ์!
ยอดฝีมือซึ่งดูสถานการณ์ศึกจากไกลๆ ล้วนตัวแข็งทื่ออย่างตกตะลึง ในใจมีเพียงความคิดเดียว…
ซูอี้จบสิ้นแล้ว!
เว้นแต่จะเป็นวิญญาณอาสัญวิถีเซียนในแดนมนุษย์ ผู้ใดถูกล้อมโจมตีเช่นนี้ก็มีแต่ตายกับตาย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซูอี้บาดเจ็บอยู่ก่อนในศึกก่อนหน้านี้ และอยู่ในสถานการณ์อันตราย
และยามนี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายร้อยตนในขอบเขตจุติมงคลออกลงมือโจมตีสุดกำลังด้วยกัน ใครเล่าจะหยุดการโจมตีเช่นนี้ได้?
“ไม่ว่าอย่างไร ซูอี้ผู้นี้ก็กล่าวได้จริง ๆ ว่าเป็นตำนานไร้ผู้เทียบ ยืนยงหนึ่งเดียวชั่วกาลนาน ไร้ผู้ต้านในโลกหล้า น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ชะตาถึงฆาต”
บางผู้รำพึง
ทุกผู้ที่นี่ล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญผู้เหลือรอดจากโบราณกาล เป็นตัวตนในวิถีจุติสรวงก่อนตายทั้งสิ้น
ทว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าซูอี้เป็นตัวตนอันไร้ผู้ใดเหมือน!
เขาครอบครองอำนาจวัฏสงสาร ยามอยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมิก็สามารถสังหารยอดฝีมือในวิถีจุติสรวงได้โดยง่าย ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เขากระทั่งรับมือเจตจำนงเซียนได้ด้วย!
ตลอดกาลนานมา ทั่วผืนพิภพจรดแดนสรวงก็มิอาจหาผู้ใดเทียบเขาได้เลยสักคน!
หนึ่งเดียวในโลกาโดยแท้จริง!
น่าเสียดายที่ตำนานเขย่าโลกหล้าเช่นนี้ถูกกำหนดชะตาไว้แล้ว
“ตำนานอันใดกัน ท้ายที่สุดเรื่องทั้งหมดนี้ก็เกี่ยวกับอำนาจวัฏสงสาร กล่าวคือ ถ้าข้าถือครองวัฏสงสาร ไฉนต้องกังวลว่าจะทำเรื่องเช่นนี้มิได้กัน?”
บางผู้กล่าว “หากไม่ใช่เช่นนั้น มีหรือขุมกำลังใหญ่จึงบ้าคลั่งกันเช่นนั้น?”
…ผู้คนระส่ำระสายเป็นกังวล
ในสนามรบ กลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติมงคลโจมตีบ้าคลั่ง กระหน่ำโจมตีซูอี้บาดเจ็บสาหัส มิอาจต่อต้านได้เลย
ไม่ว่าจะหลบไปหนใด ก็ล้วนถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง
เพียงไม่กี่พริบตา เขาก็โชกเลือดทั่วร่าง อาภรณ์สีเขียวถูกย้อมด้วยสีแดงของโลหิต บาดแผลปรากฏนับไม่ถ้วน
หากไม่ใช่เพราะเตาเสริมสวรรค์หยุดการโจมตีส่วนใหญ่ไว้ได้ เกรงว่าคงมิอาจทนไหวตายตกไปแล้ว!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ศัตรูเหล่านั้นบ้าคลั่ง พวกเขาล้วนเห็นว่าซูอี้กำลังจะพ่าย จึงรอฆ่าเขาให้ตายแทบมิไหวแล้ว
“ชิงโฉว เราจะดูอยู่เช่นนี้หรือ?”
ม่อหย่วนซานเป็นกังวลอย่างยิ่ง
ก่อนเหตุนี้ บรรพชนซิงหลินได้ออกคำสั่งให้ลงมือสุดกำลังเพื่ออารักขาซูอี้ทุกสถานการณ์!
ใบหน้างดงามดุจหยกของม่อชิงโฉวดูไร้ความเสถียร หัวใจรวนเรยิ่งกว่าหนใด
นางเองก็จำได้แม่นยำว่าซูอี้เคยเตือนไว้ ต่อให้นางเห็นเขาอยู่ในหายนะมิอาจปัดป้องใด ๆ ก็อย่าให้นางเข้าแทรกแซง
กระทั่งก่อนศึกเริ่มเมื่อครู่ ซูอี้ยังย้ำกับนางอีกรอบ
ทว่ายามนี้ เมื่อนางเห็นซูอี้อยู่ในสภาวการณ์อันตรายยิ่ง ม่อชิงโฉวหรือจะอยู่เฉยได้?
“ป่านนี้แล้ว ไฉนท่านเซียนหงอวิ๋นจึงยังมิมาอีก?”
ม่อชิงโฉวงุนงง
จากการคาดการณ์ของนาง คราก่อนในศึกแท่นนภาม่วง เซียนหงอวิ๋นปรากฏขึ้นมาแก้วิกฤติให้กับซูอี้ แล้วหนนี้นางหรือจะอยู่เฉยได้?
ทว่าในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้ว แต่เซียนหงอวิ๋นก็ยังหายเงียบไร้ร่องรอย!
“ชิงโฉว สหายเต๋าซูจะตายอยู่แล้วนะ!!”
ม่อหย่วนซานกระทืบเท้าร้อนใจ
ร่างของม่อชิงโฉวสะท้าน คลองจักษุของนางเห็นชัดว่าซูอี้ถูกล้อมจนมิด ร่างบาดเจ็บสาหัสชุ่มเลือด พร้อมตายตกลงทุกเมื่อ
ศัตรูเหล่านั้นเป็นเช่นฉลามตามกลิ่นเลือด บ้าคลั่งกันทั้งสิ้น
“ลงมือ!”
ม่อชิงโฉวกัดฟันกรอด ไม่ลังเลอีกต่อไป
ซูอี้มิอยากให้ช่วย แต่ตระกูลม่อของพวกนางจะอยู่เฉยหรือ?
ไม่!
กระทั่งบรรพชนซิงหลินยังออกประกาศิตไว้ ว่าไม่ว่าเช่นไร พวกนางจะต้องยืนฝั่งซูอี้เสมอ!
ม่อหย่วนซานใจชื้น ประกาศกร้าวทันที “ฆ่า!”
ตู้ม!
กลุ่มสัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลม่อลงมือทันที
พวกเขาแต่ละคนล้วนโจมตีสุดกำลัง ไม่สนว่าศัตรูจะเป็นผู้ใด ใช้สมบัติระเบิดเข้าใส่ทันที
ทันใดนั้นสมรภูมิก็ปั่นป่วน
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ล้อมโจมตีซูอี้อยู่ล้วนถูกโจมตีโดยไม่ตั้งตัว พวกเขาล้วนเดือดดาลกรุ่นโกรธ
เสียงสบถอย่างโกรธเคืองดังขึ้นในสนามรบ
“พวกเจ้าตระกูลม่อบ้าไปแล้วหรือไร?”
“อยากเป็นศัตรูกับวิญญาณอาสัญทั่วโลกหล้าจริง ๆ หรือ?”
“โง่เง่า!!”
“ฆ่าพวกเขาเสีย!”
ดวงตาของเหล่าขุมกำลังปรปักษ์ในโลกหล้าแดงก่ำ โจมตีโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง มิกลัวอำนาจตระกูลม่ออีกต่อไป
แม้กำลังตระกูลม่อจะช่วยซูอี้หยุดศัตรูไปได้มากมาย แต่ท้ายที่สุดนั่นก็เป็นเพียงน้ำหยดเดียวในอ่าง
ซูอี้ยังคงถูกล้อม!
“มิฟังกันเลยจริง ๆ…”
ซูอี้รำพึงในใจ
ทว่าเขาเองก็รู้สึกตื้นตัน
การแทรกแซงของพวกม่อชิงโฉวนั้นเท่ากับฉีกหน้าแตกหักกับขุมกำลังปรปักษ์ ประกาศตนยืนข้างเขาอย่างสมบูรณ์!
ผลกระทบเรื่องนี้ย่อมร้ายแรงยิ่ง พวกเขาจะถูกมองเป็นศัตรูร่วมของวิญญาณอาสัญทั่วโลกหล้า
ทว่าตระกูลม่อก็ยังทำโดยไร้ลังเล!
ยอมรับได้ว่าเรื่องนี้ต้องมิอาจแยกจากปราชญ์หงอวิ๋นได้เป็นแน่ แต่ก็เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าตระกูลม่อเปิดอกเปิดใจแก่เขาซูอี้แล้วจริง ๆ มีหรือซูอี้จะมิสะเทือนใจ?
“หึ!”
ทันใดนั้น เจตจำนงเซียนก็คำรามลั่น คว้ามือหยิบเตาเสริมสวรรค์ไว้ในมือ
เขาอดหัวเราะลั่นนภามิได้ “สมบัติดี! จากนี้ไปมันก็ควรเป็นของตระกูลหงของข้า!”
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็กระอักเลือด
เขาบาดเจ็บสาหัสจนร่างแทบแหลก โลหิตมิอาจหยุดไหล
ทั้งหมดนี้ทำให้เหล่าศัตรูยิ่งบ้าคลั่ง พวกเขาแต่ละผู้ล้วนทุ่มสุดกำลัง หวังเป็นผู้กำราบซูอี้ลงได้
แม้ม่อชิงโฉวจะนำสัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลม่อทะลวงเข้ามาอย่างสิ้นหวัง พวกเขาก็ไม่อาจช่วยได้ทันท่วงที แต่ละผู้ล้วนกระสับกระส่ายเป็นกังวล
ทว่ากลับไร้ผู้ใดสังเกต ว่าแม้ซูอี้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน นัยน์ตาลึกล้ำของเขาก็สุขุมไร้อารมณ์เสมอ ไร้การแปรผันอารมณ์ใด ๆ
นับแต่เขามาต่อสู้ที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง เขาก็คาดการณ์ว่าจะได้พบเหตุล้อมสังหารเกินคาดเดาไว้แล้ว มีหรือจะมิเตรียมตัวมา?
“มีเพียงศึกเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่านั้นที่ข้าจะขัดเกลาจิตวิญญาณจนสมบูรณ์แบบ และมีสภาพจิตใจเจตจำนงไร้จุดด่างพร้อยมิอาจทำลาย!”
“และยามนี้ ข้าก็สัมผัสได้แล้วว่าโอกาสเลื่อนขอบเขตมาถึง…”
ซูอี้กล่าวในใจ
การฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดของเขาถึงขั้นสมบูรณ์ยิ่งกว่าคราใด
สิ่งเดียวที่เขาขาดคือการขัดเกลาวิญญาณ สภาพจิตใจและเจตจำนง
หากเทียบการฝึกฝนเป็นเตาหลอม
เช่นนั้น วิญญาณ สภาพจิตใจและเจตจำนงก็คือเพลิงใต้เตา!
เพียงยามที่เตาหลอมแผดเผาถึงขีดสุดเท่านั้นที่มันจะสามารถสะท้อนสร้างความสำเร็จสูงสุดแก่การเคลื่อนขอบเขต!
ยามนี้ ณ ศึกชี้วัดเป็นตาย ซูอี้ได้มาถึงขั้นนี้แล้ว
เขากระทั่งสัมผัสได้ชัดเจนว่าวิถีจุติสรวงปรากฏชัดเจนในกฎสวรรค์ ขอเพียงเขาต้องการ เขาจะสามารถเหยียบย่างไปถึง!
เคร้ง!!
ดาบแห่งโลกาในมือซูอี้ถูกฟาดกระเด็นไป และถูกคว้าไว้ในมือฝูตงหลีห่างออกไปพร้อมเสียงกังวานก้อง
ณ จุดนี้ ซูอี้เสียทั้งเตาหลอมสวรรค์และดาบแห่งโลกา บาดเจ็บสาหัสใกล้ตายเต็มทน
ในสายตาของเหล่าศัตรูร้าย เขามิต่างอันใดกับลูกแกะรอถูกเชือด!
ยามนี้ หัวใจของม่อชิงโฉวและคณะล้วนจุกที่คอ สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
พวกเขามิอาจคิดได้เลยว่าจะบอกตระกูลเช่นไรหากซูอี้ตายไปเช่นนี้
ยามนี้ เหล่าผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ อดแสดงสีหน้าทนมองมิไหวขึ้นมาไม่ได้
ฉากสังหารซูอี้อย่างโหดเหี้ยมนองเลือดปรากฏขึ้นในใจพวกเขา
ขณะนั้นเอง ซูอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา
ดวงตาของเขาฉายประกายคาดหวัง
ทันใดนั้น ตรวนเส้นที่หกในห้วงความนึกคิดของเขาก็คำรามลั่น ส่งคลื่นอำนาจน่าสะพรึงกลัวออกมา
“ก็ได้!!! ข้าจะช่วยเจ้าสังหารศัตรูให้! ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ห้ามเคลื่อนขอบเขตตอนนี้นะ!!”
เสียงตวาดลั่นอย่างเคียดแค้นและจนใจดังออกมาจากในห้วงความนึกคิด
นั่นคือเสียงของชาติที่หก
“ในที่สุดก็ยอมก้มหัวแล้วหรือ?”
รอยยิ้มโหยหาปรากฏบนริมฝีปากของซูอี้
สงครามเย็นระหว่างตนเองและชาติที่หกนี้ ในที่สุดเขาก็ชนะ!
และนี่คือเหตุผลหลักที่ซูอี้มาต่อสู้ยามนี้โดยไม่ลังเล
เพื่อฝืนให้ชาติที่หกออกมารอมชอมก้มหัว!
ก่อนที่ซูอี้จะทันได้ยินดี หัวของเขาก็มึนตื้อ ห้วงความนึกคิดสั่นสะเทือน กรรมวิถีลึกลับมหาศาลปรากฏขึ้นจากตรวนเส้นที่หก แพร่เข้าไปทั่วร่างของซูอี้
และทันใดนั้น อำนาจร้ายกาจไร้ขอบเขตสะเทือนสรวงพลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันในร่างซูอี้!
………………..