บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1403: หัวใจข้าดุจดาบ รั้งนภาลงสามฉื่อ
ตอนที่ 1403: หัวใจข้าดุจดาบ รั้งนภาลงสามฉื่อ
“สหายเต๋าซูถูกอำนาจยิ่งใหญ่วิถีเซียนสิงสู่อยู่หรือ…”
คู่เนตรที่เต็มไปด้วยประกายของม่อชิงโฉวเบิกกว้าง ร่างขาวกระจ่างสั่นเทิ้ม
ก่อนหน้านี้ ซูอี้ตกอยู่ในหายนะอันมิอาจรับมือ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตกตาย ทำให้พวกนางอดเป็นกังวลมิได้
ทว่ายามนี้ เขากลับดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน!
อำนาจนั้นแข็งแกร่งจนมิอาจจินตนาการออก ทรงพลังอหังการ สังหารเซียนได้ง่ายดายเยี่ยงล้วงของในกระเป๋า!
“ในโลกนี้ไม่มีเซียนที่แท้จริง อย่าลืมว่าแม้แต่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ วิญญาณอาสัญระดับเซียนยังไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง”
ม่อหย่วนซานกระซิบ
เขาก็ตะลึงเช่นกัน!
โลกนี้ไร้เซียนโดยแท้จริง
แม้กระทั่งวิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านั้นยังเป็นเพียงร่างวิญญาณที่สุดท้ายก็มิใช่ทั้งคนและผี
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับสำแดงอำนาจร้ายกาจสะเทือนฟ้าสะท้านแดนดิน มิน่าแปลกใจเลยที่จะมีผู้สงสัยว่าเขาถูกเทพเซียนเข้าสิง
ทว่านี่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่ชัด
เพราะวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังมิก่อเกิดกันเลย!
นี่ผิดปกติยิ่งนัก
“ไม่!”
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาพลันดังขึ้นในสนามรบ
คมดาบของซูอี้กวัดแกว่ง และห่างออกไปหลายสิบจั้ง เจตจำนงเซียนผู้สง่างามนั้นสิ้นโอกาสหลบเลี่ยง จึงถูกสังหารลงทันที
ยามนี้ ทั่วหล้าโกลาหลสิ้นสภาพ
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ถอยกรูดอย่างหวาดผวาตกตะลึงมากมายเพียงไร
“ไฉนเป็นเช่นนี้ได้? ในโลกหล้าทุกวันนี้ ต่อให้ยืมอำนาจวิถีเซียนมาใช้ ก็ไม่มีทางทรงพลังได้เพียงนั้นนี่!”
ดวงตาของหงจิ่วจ้งเหลือกลาน ร่างสั่นสะท้านเพราะมิอาจรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
ผู้ลงมือเป็นเจตจำนงเซียนสิบหกตนเลยนะ!
นี่นับได้ว่าเป็นไพ่ตายอันทรงพลังที่สุดของพวกเขาแล้ว ซึ่งคาดว่าสามารถเอาชนะซูอี้ได้โดยง่าย
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเจตจำนงเซียนเหล่านี้จะไร้กำลังเยี่ยงไก่เยี่ยงสุนัข!!
ใครเล่าจะมิตกใจไหว?
ใครเล่าจะมิหวาดกลัว?
ตู้ม!
ฟ้าดินสะท้านสั่น สามเจตจำนงเซียนร่วมมือแผดเผาตัวเองขณะออกการโจมตีสูงสุด ราวกับคิดเผาหยกไปกับศิลาทันที
ต้องกล่าวว่าวิชาเหล่านี้โหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างยิ่ง
ทว่าซูอี้กลับคร้านเกินกว่าจะชายตาแล
เขากระทั่งดูแคลนเกินกว่าจะชักดาบ แขนเสื้อพลิ้วสะบัด ใช้มือกดลงบนอากาศ
สุญญะที่อยู่ห่างออกไปพลันถล่มฝังร่างของสามเซียนลงทั้งเป็นในรวดเดียว ป่นพวกเขาเป็นธุลีหายไปในอากาศ
“เจ้าเป็นใครกันแน่!?”
เจตจำนงเซียนตนหนึ่งกรีดร้องอย่างหวาดผวา
นั่นสิ ซูอี้เป็นผู้ทรงพลังจากหนใด?
“ข้าคือใคร…”
ซูอี้กระซิบ คู่เนตรลึกล้ำเหม่อลอยราวกำลังย้อนระลึกความหลังอันรุ่งโรจน์ หนึ่งดาบสยบใต้นภาเพียงลำพัง
เขาในยามนั้นทรงอำนาจไร้ผู้ปราบ ละล่องในทะเลเลือดเหนือสวรรค์ สังหารทั่วโลกหล้า ไร้ผู้ใดกล้าเทียบเคียงตลอดกาลนาน!
เขาอหังการไร้ปรานี หนึ่งดาบเก็บเกี่ยววิญญาณมานับไม่ถ้วน
เขาเคยถูกปรามาสเป็นทรราช
ครั้งหนึ่งเคยถูกเถลิงนามเป็นจักรพรรดิ
และครั้งหนึ่งยังเคยถูกมองเป็น… เทพมาร!
จากนั้นซูอี้ก็หัวเราะ
เปิดเผยไร้การสงวนท่าทีใด ๆ
น่าเสียดาย…
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอดีต ชื่อเสียงเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว ไร้เสียงแซ่ซ้องร่ำลือหลงเหลือ
เสียงหัวเราะนั้น ท้ายที่สุดก็เจือความโศกาอาดูรเล็กน้อย
“ข้าน่ะนะ ก็แค่ผู้มิอาจหวนคืนวิถีดาบเท่านั้น…”
ซูอี้กระซิบ
มันดูจะเป็นการสรุปชีวิตของเขา
ไม่ว่าจะมองไปยังแห่งหนใด เกียรติภูมิและความสำเร็จเก่าก่อนล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความหลังอันไร้ค่า
เมื่อทิ้งชื่อเสียงทั้งหมดหวนคืนสู่ตัวตนดั้งเดิม เขาก็มิใช่ใดอื่นนอกจาก… นักดาบคนหนึ่ง!
ตู้ม!
เมื่อเห็นสภาวะย้อนระลึกของซูอี้ เจตจำนงเซียนตนหนึ่งก็ฉวยโอกาสโจมตี สาดแสงเซียนดุจวารีหลาก
“เวลาเหลือไม่มาก ปล่อยเจ้าไว้เฉย ๆ คงไม่ได้”
ซูอี้เสสรวล
ซี่ฟันเรียงขาวเยี่ยงหิมะทอประกายใต้แสงจากนภา
เขาเก็บดาบแห่งโลกาแล้วสะบัดแขนเสื้อ
เปรี้ยง!!
เจตจำนงเซียนตนนั้นเพิ่งโจมตีได้ครึ่งทาง อีกฝ่ายก็ระเบิดแหลกไปเยี่ยงกระดาษ
ขณะนี้เหลือเจตจำนงเซียนในสมรภูมิเพียงสองตน
ภาพนี้กระตุ้นให้ทุกผู้ครั่นคร้าม มิอาจเก็บงำความรู้สึกได้อีกต่อไป
“เผ่น!”
“หนีเร็ว!”
เสียงร้องอย่างพรั่นพรึงดังตาม ๆ กันในฟ้าดินถิ่นนี้
สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายร้อยตนในขอบเขตจุติมงคลจากขุมกำลังหลักล้วนแตกตื่น พวกเขาต่างหนีกระเจิงอย่างลนลาน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็เชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา ขณะยกมือขึ้นสูง “วิถีสูงเยี่ยงนภา หัวใจข้าดุจดาบ รั้งนภาลงสามฉื่อ!”
ตู้ม!
ปราณดาบอันเรืองโรจน์ปรากฏขึ้นเหนือท้องนภา ดูราวกระแทกลงผ่าธารสวรรค์ทะยานสู่โลกา
ทุกแห่งหนที่ปราณดาบนี้กวาดผ่าน วิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลนับร้อยที่หนีไปก็ถูกอำนาจดาบสูงส่งขยี้ร่างจนแหลกสลายในพริบตา ไร้โอกาสหลบเลี่ยง
ดุจแสงเทียนถูกพายุเป่าดับ!
บางผู้ร้องลั่นอย่างสิ้นหวังเสียสติ
“บ้าเอ๊ย! ไฉนเป็นเช่นนี้?!”
บางผู้แผดเสียงร้องและพบว่าฟ้าดินยามนี้ถูกปกคลุมด้วยแรงกดดันแห่งวิถีดาบ ไม่ว่าจะหนีไปหนใดก็ถูกตามตัวประชิดจนมิอาจหลบเลี่ยงได้
ราวถูกกักขังในฟ้าดิน จนมุมทุกหนทาง!
แม้กระทั่งม่อชิงโฉวกับม่อหย่วนซานยังถูกจองจำ พวกเขารู้สึกตะลึงตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก มิกล้ากระทำการบุ่มบ่าม
“สู้ตายกับเขา!!”
เจตจำนงเซียนตระกูลหงคำราม ทิ้งมาดโดยสิ้นเชิง
เพราะไร้หนทางหนี แทนที่จะมัวหา การเข้าปะทะตรง ๆ คงจะดีกว่า!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ทันใดนั้น ดวงตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลมากมายก็แดงฉาน พุ่งเข้าโจมตีอย่างสิ้นหวัง
สุนัขจนมุมยังพยายามกระโดดกำแพง
แล้วนับประสาอันใดกับคน?
ซูอี้ยืนบนอากาศ ร่างเปี่ยมด้วยปราณทรงอำนาจ คู่เนตรเย็นชาไร้อารมณ์
นิ้วชี้มือขวาเคาะลงบนอากาศ
“มนุสสภูมิ*[1]สับสนปั่นป่วนราวความฝัน หัวใจข้าอิสระไร้พันธะเยี่ยงสายลม!”
ตู้ม!
ภาวะดาบอีกหนึ่งสายปรากฏขึ้น ดูราวอยู่เหนือนภาห่างไกลจากโลกหล้า และด้วยแรงกดดันจากท้องนภานี้ เหล่าผู้ทรงอำนาจนั้นก็ถูกล่าสังหารเยี่ยงผักหญ้าต้องเคียวเกี่ยวฉีกกระชากเป็นเสี่ยง
กระทั่งเจตจำนงเซียนตระกูลหงยังรับภาวะดาบเช่นนั้นมิได้และระเบิดแหลกลงทันที!
คลื่นความหวาดผวาอันเย็นเยียบเกินบรรยายแผ่ซ่านในหัวใจของเหล่าศัตรูที่หลงเหลือ ทรุดตัวลงด้วยความตะลึง
นี่ยังเป็นคนอยู่หรือไม่?!
ถืออำนาจสั่งเป็นตาย ทำลายศัตรูเพียงดีดนิ้ว หนึ่งบุคคลเหนือผู้ใดในสนามรบ!
เกรงว่ากระทั่งวิญญาณอาสัญในวิถีเซียนอย่างแท้จริงยังไม่มีอำนาจทรงพลังเช่นนี้เลย!
“สวรรค์ไม่เพียงพอให้กลัว เทพไร้ค่าให้เกรง ศัตรูมิอาจล่วงเกิน วิถีไม่อาจหยุดยั้ง นี่แหละหนานักดาบ”
ซูอี้พึมพำ
นี่คือการสรุปแนวคิดยามเยาว์ของเขา
ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่กล้าหลงลืม!
ยามนี้ ท้องนภาสะเทือนไหว แดนดินรวนเร ทศทิศกลางหาวสะเทือนสั่น
แรงกดดันเหนือผู้ใดทะลักออกจากร่างของซูอี้
สมองหลายผู้ว่างโล่งราวได้พบกับเทพดาบสูงสุดที่ยืนตระหง่านกลางโลกหล้า เพียงบรรยากาศก็พลิกสวรรค์กลับด้าน หมื่นวิถีพังทลาย!
ซูอี้รำพึงเบา ๆ อย่างอ้างว้าง
เสียงยังมิทันสิ้น
อำนาจดาบอันมองไม่เห็นก็ประดังเข้ามาเยี่ยงคลื่นยักษ์ถาโถมกวาดคลั่งทั่วฟ้าดิน
ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลทั้งหลายล้วนถูกฉีกกระชากอย่างไร้ปรานีเยี่ยงจอกแหนน้อยท่ามกลางพายุคลั่ง
ฟ้าดินพลันมืดหมอง สรรพสิ่งปั่นป่วนไปหมด!
อำนาจดาบเล่มนั้นร้ายกาจยิ่ง!
ยามฝุ่นควันจาง เพลิงแสงพลันดับสิ้น
แดนดินในระยะพันลี้ล้วนแหลกสลายสิ้นชีวา
ศัตรูทั้งมวลล้วนล้มตาย ไร้ผู้เหลือรอด
ม่อชิงโฉว ม่อหย่วนซาน และสัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลม่อที่ยืนอยู่ที่นั่นต่างนิ่งงันเยี่ยงรูปปั้นดินเหนียว ดูสะดุดตาผู้คนเป็นพิเศษ
และไกลออกไป ซูอี้ผู้เป็นเจ้าของอาภรณ์เขียวที่ถูกย้อมแดง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลกำลังยืนมือไพล่หลัง แผ่ปราณปกคลุมนภาราวราชันไร้พ่ายตลอดกาลนาน!
ยามนี้ เหล่าผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ ล้วนรวนเรสิ้นสมาธิ
ศึกนี้เริ่มตั้งแต่การประลองระหว่างหงเฟยกวนกับซูอี้ และจบลงในยามนี้
หงเฟยกวนปราชัยและตายตามิหลับ
และสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลนับร้อยคนอันนำโดยตระกูลหง ตระกูลฝู หอเซียนดาบมายา สุขาวดีจรทักษิณ โรงดาบเทพลี้ลับและขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ รวมไปถึงเจตจำนงเซียนสิบหกตนล้วนตกตายมิเหลือรอด!
นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดไว้
ภาพนั้นมีหรือจะใช้คำว่าตกตะลึงมาบรรยายได้?
ซูอี้เคาะขมับตน กล่าวในใจราวกับพูดกับตัว “ข้าผู้นี้ไม่ยอมโอนอ่อนหรอกนะ และนับว่าเจ้าติดหนี้ข้า!”
จิตวิญญาณของซูอี้ในห้วงความนึกคิดไร้วจี
เขาเห็นทุกรายละเอียดการกระทำของชาติที่หกครบถ้วน
แม้แต่เขาก็ยังตกตะลึง
ต้องทราบว่ายามนี้ อำนาจมหาวิถีของชาติที่หกถูกใช้เพียงส่วนเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงถูกผนึกไว้ในดาบเก้าคุมขัง!
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น อำนาจที่ชาติที่หกแสดงก็ร้ายกาจเกินคาดหยั่ง มิอาจเทียบกันได้!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้มิอาจคาดเดาได้ว่าชาติที่หกของเขายามยังมีชีวิตอยู่มีการพลังร้ายกาจเพียงใด
ทว่าซูอี้หากดตนให้ต่ำไม่ อย่าว่าแต่ผงะกับอำนาจชาติที่หกเลย
เพราะในชาตินี้ หากวัดด้วยขอบเขตเดียวกัน เขาทรงพลังเหนือชาติที่หกไปไกลลิบ!
ในภายหน้า เมื่อเขาพัฒนาการฝึกฝนสืบวิถีต่อ ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็จะก้าวข้ามชาติที่หกยามพรั่งพร้อมสมบูรณ์
นอกจากนั้นเขายังถือครองวัฏสงสาร เป็นร่างเวียนวัฏหนึ่งเดียวที่สามารถหลอมรวมกรรมวิถีอดีตชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งทัศนาจารย์ เสิ่นมู่ และชาติที่หกล้วนทำไม่ได้
และนี่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ซูอี้มั่นใจและกล้าต่อกรกับชาติที่หกโดยไร้ความกลัว
…
ฟ้าดินเงียบสงัด
กระทั่งวายุยังไม่โบกพัด
ภายใต้ท้องนภา ซูอี้ปัดอาภรณ์ตน ก่อนจะหันไปกล่าวกับม่อชิงโฉวว่า “นำทางข้าไปตระกูลหงที”
ม่อชิงโฉวสูดหายใจเฮือกเนื่องจากสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งปะทะใบหน้า
นางพยักหน้าโดยแทบจะมาจากสัญชาตญาณ
ซูอี้ก้าวสู่เวหา อาภรณ์สั่นกระพือ อำนาจอันไม่อาจมองเห็นปกคลุมรอบกายของม่อชิงโฉว และอึดใจต่อมา ร่างของทั้งสองคนก็หายไป
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินเองก็สลายไป
ทุกคนราวตื่นจากฝัน มิต่างจากปลดศิลาใหญ่ที่ถ่วงหัวใจพวกตนออก ต่างฝ่ายต่างถอนใจโล่งอก
ทันใดนั้น บรรยากาศเงียบสงัดก็สูญสิ้น เสียงฮือฮาดังระงม
“เมื่อครู่… เรามิได้ฝันไปจริง ๆ หรือ?”
“ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าซูอี้สังหารศัตรูร้ายทั้งหมดเหล่านั้นลำพัง?!”
“อำนาจที่สิงสู่ซูอี้อยู่ต้องเป็นตัวตนร้ายกาจแบบใดกัน น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“เขตหวงห้ามสิ้นเซียนนี้กำลังจะแปรเปลี่ยนทั่วนภา!”
…อารมณ์ของเหล่าผู้เฝ้ามองจากระยะไกลนั้นถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และทันทีที่ผ่อนคลายได้ พวกเขาก็ล้วนสิ้นการควบคุม กล่าวถึงศึกนี้อย่างตกตะลึง
“ตระกูลหงซวยแล้ว!”
ม่อหย่วนซานสูดหายใจลึก ๆ สะกดข่มอารมณ์ที่คุโชนในใจ “กล่าวคือศึกล่าสังหารในวันนี้… ยังมิถึงกาลอวสาน!”
[1] มนุสสภูมิ คือคำเรียกโลกมนุษย์ตามคติความเชื่อในไตรภูมิพระร่วง