บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1404: ปล่อยคนซะ!
ตอนที่ 1404: ปล่อยคนซะ!
เตาหลอมที่มีขนาดเท่าฝ่ามือถูกทิ้งไว้บนพื้น
ม่อหย่วนซานเป็นคนเข้ามาเก็บเตานี้ไป
นี่คือสมบัติชิ้นหนึ่งของซูอี้ ดังนั้นจะเสียไปไม่ได้!
“พวกเจ้าจงไปช่วยสหายเต๋าซูเก็บสินสงครามเสีย”
ม่อหย่วนซานออกคำสั่ง
หากเป็นกาลก่อน สัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลม่อเหล่านั้นคงรู้สึกมิชอบใจเป็นแน่
ตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างไรน่ะหรือ?
ใครเล่าจะกล้าสั่งพวกเขาทำเรื่องสัพเพเหระเช่นนี้?
ทว่ายามนี้ พวกเขาล้วนตอบตกลงอย่างว่าง่าย
ซูอี้ชนะศึกนี้
และตระกูลม่อของพวกเขาก็มั่นคงอย่างไร้กังวล!
ไม่ต้องคิดก็รู้กระจ่างว่าในภายภาคหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลม่อของพวกเขากับซูอี้จะแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
ภายหน้า ต่อให้พวกเขาจะถูกวิญญาณอาสัญในโลกหล้ามองเป็นศัตรู พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก!
…
“มิน่าเล่าเด็กนั่นจึงไร้ความกลัว ที่แท้ก็มีอำนาจน่ากลัวเช่นนี้อยู่…”
ไกลออกไปในฟ้าดินแดนหนึ่ง สุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งนั่งมองด้วยคู่เนตรลึกล้ำ สีหน้าปรากฏความเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
“หือ! เจ้าสุนัขพื้นเมืองดาษ ๆ ตัวนี้พูดได้หรือ?”
วิญญาณอาสัญตนหนึ่งในละแวกนั้นอุทานอย่างประหลาดใจ
สุนัขพื้นเมืองฟาดอุ้งเท้าหนึ่งหน แล้ววิญญาณอาสัญตนนั้นก็กระเด็นไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องในทันที
“ขยะไร้ตา!”
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป
เดิมที มันมาตามคำสั่งของปราชญ์หงอวิ๋นและคิดจะลงมือช่วยซูอี้จากหายนะในชั่วกาลคับขันด้วยตนเอง
ทว่ายามนี้ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
และอำนาจอันน่าหวาดผวาที่ซูอี้เผยออกมากลับทำให้สุนัขพื้นเมืองตกตะลึงแทน
มันตัดสินใจรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้กับปราชญ์หงอวิ๋นโดยเร็วที่สุด
…
ณ บรรพตเซียนอสนีบาตชาด
ที่แห่งนี้คือที่พำนักของตระกูลหง มันถูกปกคลุมด้วยอสนีบาตสีเลือดตลอดทั้งปี
“แม่นางชิงถัง ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ได้รับคำสั่งให้ส่งเจ้าออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง”
ณ ศาลาแห่งหนึ่ง บ่าวเฒ่าในชุดสีเทาผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“หงเฟยกวนจะปล่อยข้าไปจริง ๆ หรือ?”
ชิงถังอดพูดไม่ได้
นับแต่นางถูกช่างเสื้อส่งเข้ามาในตระกูลหงวันแรก หงเฟยกวนได้บอกแล้วว่าเขาจะมิให้ความแค้นไปกระทบกับผู้บริสุทธิ์
ไม่ว่าการประลองครั้งนี้ผู้ใดจะกำชัย นางก็จะถูกปล่อยตัว
ทว่าชิงถังสงสัยอยู่ในใจมาโดยตลอด
นางไม่รู้จักหงเฟยกวน ย่อมไม่มีทางเชื่อคำพูดเช่นนี้ได้
“นายน้อยตระกูลข้ากระทำการซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เขาก็ใช้วิจารณาและเหตุผลเสมอ ในเมื่อเขารับปากจะปล่อยแม่นางไป เขาจะมิตระบัดสัตย์ตนเด็ดขาด”
บ่าวเฒ่าชุดเทากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“อย่างนั้นหรือ…”
ชิงถังลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้น… เจ้าพาข้าไปยังเขาพฤกษ์ระย้าได้หรือไม่?”
บ่าวเฒ่าชุดเทาส่ายหัวปฏิเสธ “ตาเฒ่ามีหน้าที่เพียงอารักขาแม่นางออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องเท่านั้น”
ชิงถังขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนที่จะพยักหน้าในที่สุด “ได้”
ขอเพียงออกจากตระกูลหงให้ได้ก่อน นางจะทำอันใดก็ได้
นางจึงติดตามบ่าวเฒ่าชุดเทาจากไปทันที
ทว่าหลังจากออกจากศาลาไปได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกคนผู้หนึ่งขวางไว้
“หยุด เจ้าตระกูลออกคำสั่งไม่อนุญาตให้แม่นางชิงถังจากไปไหนทั้งนั้น!”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมปรากฏกายขึ้น ดวงตาและใบหน้าของเขาเย็นชายิ่ง
สีหน้าของบ่าวเฒ่าชุดเทาบูดบึ้ง ก่อนจะกล่าวกับชายวัยกลางคนในชุดคลุมว่า “ผู้อาวุโสห้า นี่คือคำสั่งนายน้อยซึ่งผ่านการยอมรับจากเจ้าตระกูลแล้วนะขอรับ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าตระกูลบอกว่าเมื่อนายน้อยหวนคืน จะตัดสินใจปล่อยแม่นางชิงถังไปก็ยังไม่สาย”
บ่าวเฒ่าชุดเทาพลันเงียบวาจา
ความผิดหวังอันไม่อาจปิดบังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชิงถัง และอดกล่าวเย้ยมิได้ “นี่คือวาจาของหงเฟยกวนหรือ? ที่แท้ก็มิต่างจากคำหยอกลมปาก”
เพียะ!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมตบหน้าชิงถังเสียงดังลั่น ใบหน้างดงามดุจภาพวาดของชิงถังพลันบวมแดง ร่างอรชรแทบทรุดลงกับพื้น
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมกล่าวอย่างเย็นชา คู่เนตรแฝงแววเหยียดหยาม “จำฐานะของตนให้ดี เป็นแค่เชลยชั้นต่ำกล้ามาดูแคลนนายน้อยตระกูลข้า ระวังเถิดจะอยู่ก็มิรอด จะวอนตายก็มิได้!”
คู่เนตรเป็นประกายของชิงถังเย็นเยียบ หาสนใจความอับอายจากการตบนี้ไม่ “เป็นเชลยแล้วอย่างไร? ข้าตายไปแล้วตระกูลหงของเจ้าจะเอาสิ่งใดมาขู่อาจารย์ข้า?”
“ยังกล้าเถียงอีกหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมหน้าบึ้ง เตรียมจะสั่งสอนชิงถังสักหน่อย
ดาบสั้นเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของชิงถัง และกดลงที่คอตนขณะกล่าวอย่างสุขุม “ข้าไม่อยากมีชีวิตแล้ว เจ้าจะลองหรือไม่?”
สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดคลุมถมึงตึง ข่าวเกี่ยวกับศึกที่เขาพฤกษ์ระย้ายังมิถูกส่งกลับมา ทำให้เขามิกล้าฆ่าชิงถังง่าย ๆ
ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงเฉยเมยอันทรงพลังชัดเจนก็กระหึ่มทั่วฟ้าดิน
“ศิษย์ของข้าชิงถังอยู่หนใด?”
หนึ่งวาจานั้นสนั่นลั่นเสียงสายฟ้า สะเทือนทั่วบรรพตเซียนอสนีบาตชาด อำนาจที่คุ้มกันบรรพตสะเทือนสั่นอย่างรุนแรง
ชิงถังผงะด้วยความตะลึง แววตาเผยความไม่อยากเชื่อ นั่นอาจารย์หรือ!?
สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดคลุมพลันแปรเปลี่ยน นี่มันเหตุใดกัน ไฉนซูอี้จึงมาอาละวาดหน้าแดนเหย้าของตระกูลหงได้?
เป็นไปได้เช่นไร!?
ยามนี้ มิเพียงชายวัยกลางคนในชุดคลุมเท่านั้นที่ตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด แต่สมาชิกตระกูลหงคนอื่น ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วบรรพตเซียนอสนีบาตชาดล้วนตกใจฮือฮา
“ใครกันที่ช่างกล้ามาทำตัวโอหังในบรรพตแดนดินตระกูลหงของเราเช่นนี้?”
ตัวตนกลุ่มหนึ่งทะยานออกจากตระกูลหง มองไปยังหน้าประตูเรือนของตระกูล
และพบว่าภายใต้ท้องนภาด้านหน้าประตูเรือนของตระกูลมีสองร่างปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
หนึ่งบุคคลในอาภรณ์เขียวเปรอะโลหิต ร่างเต็มไปด้วยบาดแผล
หนึ่งสตรีแต่งกายเช่นบุรุษ งดงามสะกดตา
นั่นคือซูอี้และม่อชิงโฉว
เมื่อเห็นคนทั้งสอง สีหน้าของผู้เฒ่าตระกูลหงทั้งหลายก็แปรเปลี่ยน สัมผัสถึงลางร้ายได้ในใจ
“แม่นางม่อ พวกเจ้า…”
ผู้เฒ่าตระกูลหงผู้หนึ่งจำม่อชิงโฉวได้ และกำลังจะกล่าวบางอย่าง
ทว่าม่อชิงโฉวกลับกล่าวขัดอย่างเย็นชา “ในศึกที่เขาพฤกษ์ระย้า ตระกูลหงของพวกเจ้าปราชัยแล้ว และหงเฟยกวนเคยรับปากจะปล่อยชิงถังศิษย์ของสหายเต๋าซูออกไป ยามนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะปล่อยคนแล้ว”
พ่ายแพ้?!
เหล่าผู้ทรงอำนาจของตระกูลหงล้วนตกตะลึงราวต้องสายฟ้า สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
“เป็นไปไม่ได้!”
บางผู้โพล่งขึ้นมา
“แม่นางม่อ เจ้าอย่าเพ้อเจ้อสิ!”
บางผู้ใบหน้ามืดหมอง
ข่าวนี้โผล่มากะทันหัน ใครเล่าจะรับได้?
ต้องทราบว่าตระกูลหงของพวกเขากำลังเตรียมงานเลี้ยง ตั้งใจจะฉลองให้พวกหงเฟยกวนที่กำชัยกลับมาอยู่เลย
ทว่าไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เคยคิดว่าหงเฟยกวนจะพ่ายศึก!
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจงุนงงก็คือ ซูอี้ยังมีชีวิต และปรากฏกายยืนข้างม่อชิงโฉว
สิ่งนี้ทำให้คนทั้งหลายล้วนตระหนักว่าศึกนี้น่าจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นจริง!
“ข้าหรือเพ้อเจ้อ?”
ม่อชิงโฉวขมวดคิ้ว ขณะที่นางกำลังจะตอบโต้นั้นเอง ซูอี้ที่อยู่ข้างกายก็หยุดนางไว้
สายตาของเขาดุดันเยี่ยงดาบ ขณะกวาดมองเหล่าสมาชิกตระกูลหง “ส่งชิงถังมา และทั้งตระกูลหงจะรอดชีวิต”
เมื่อถูกสายตาของซูอี้หวาดมอง ทุกผู้ในตระกูลหงก็ล้วนอึดอัดและถูกกระตุ้นโทสะด้วยวาจาของซูอี้
ราชันแห่งภูมิหนึ่งผู้กล้ามาข่มขู่พวกเขาตระกูลหงถึงหน้าบ้าน มิรู้จักกลัวความตายกันจริง ๆ!
“ทุกท่านอย่าโกรธไป”
หงเทียนอวิ๋น เจ้าตระกูลหงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ปราณของเขาหนาหนัก การวางตัวยิ่งใหญ่ขณะกล่าวกับซูอี้ที่อยู่หน้าแดนเหย้าจากระยะไกลว่า “ขอท่านโปรดวางใจ ยามเราสรุปสถานการณ์ได้ เราจะปล่อยคนเอง”
ซูอี้ลงมือทันทีโดยมิกล่าววาจา
แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว ฟาดฝ่ามือเยี่ยงดาบ
ตู้ม!!!
ฟ้าดินสะเทือนสั่น
ปราณดาบร้ายกาจสายหนึ่งทะยานลงมาจากนภาดุจธารสวรรค์เคลื่อนชมโลกา พลังของมันแผ่กว้างและน่าหวาดหวั่น
เหล่าสมาชิกตระกูลหงที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบรรพตต่างหนีหัวซุกหัวซุน เสียงกรีดร้องดังระงม
เพียงหนึ่งดาบ ค่ายกลคุ้มบรรพตก็แหลกสลาย แดนดินทั่วบรรพตทลาย!
อำนาจอันร้ายกาจและอหังการนี้ทำให้หงเทียนอวิ๋นกับผู้ทรงอำนาจคนอื่นล้วนขนลุกขนพองและแทบไม่เชื่อสายตาของตน
ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิถือครองอำนาจเช่นนี้ได้เช่นไร!?
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยคนซะ”
สีหน้าของซูอี้ไร้อารมณ์ ร่างเปี่ยมอำนาจยิ่งใหญ่ปรกนภาค้ำแดนดินดุจเทพบัญญัติประกาศิต
“โอหัง!”
ชายชราผู้หนึ่งจากตระกูลหงตะโกนลั่น “นี่คือตระกูลหง เจ้า…”
เปรี้ยง!
หนึ่งปราณดาบทะยานมาจากระยะไกล ทะลวงกะโหลกของเขา ร่างทั้งร่างแหลกสิ้น
รวดเร็วเกินไป
ผู้คนมิอาจเห็นได้ชัดเจนว่าซูอี้ลงมือเช่นไร!
และดาบนี้ยังทำให้หงเทียนอวิ๋นและคณะล้วนครั่นคร้าม หัวใจสั่นเทาอยู่ในอก
ชายชราผู้ถูกสังหารนั้นมีการฝึกฝนในขอบเขตจุติมงคลขั้นสมบูรณ์ และก่อนจะกลายมาเป็นวิญญาณอาสัญ เขาใกล้จะได้ก้าวสู่วิถีเซียน กลายเป็นเซียนอันแท้จริงอยู่รอมร่อ
ไม่ว่าจะทรงพลังเพียงไร เขาก็ถูกซูอี้สังหารลงโดยง่าย หามีจังหวะให้ไหวตัวไม่!
ใครเล่าจะมิประหลาดใจ?
“ยังมัวอึ้งอันใดอยู่ ปล่อยคนสิ!”
เจ้าตระกูลหงเทียนอวิ๋นตะโกนอย่างหนักอึ้ง
ใบหน้าของเขาแข็งค้าง ฝืนความโศกาโทสะทั้งหลายและยอมอ่อนข้อ
อันที่จริงเขายังไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์อย่างแน่ชัด และไม่อาจคิดได้ว่าซูอี้รอดการล้อมโจมตีที่เขาพฤกษ์ระย้ามาได้เช่นไร
และเหตุใดเขาจึงร้ายกาจเพียงนี้
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาหวาดกลัว และมิกล้ากระทำการบุ่มบ่ามเลย
ม่อชิงโฉวเองก็ตะลึงกับการกระทำอันอหังการของซูอี้เช่นกัน นางอดมองซูอี้ใหม่มิได้ เค้าความละอายปรากฏบนใบหน้าของนางเล็กน้อย
หากนางไม่ได้เห็นเองกับตา คงสงสัยแน่นอนว่าซูอี้ที่อยู่ข้างกายหาใช่ชายหนุ่มในขอบเขตราชันแห่งภูมิไม่ แต่เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานจากโลกเซียน!
อำนาจทรงพลัง การวางตนทะนงทั่วเก้าชั้นฟ้านี้ห่างไกลเกินกว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะเทียบชั้น!
ในฐานะทายาทจากตระกูลเซียนชั้นนำ มีหรือม่อชิงโฉวจะสัมผัสมิได้?
ทว่าเพราะสาเหตุนี้เอง จึงทำให้นางยิ่งสับสนงุนงง นางรู้สึกว่าซูอี้มีปริศนามากมายราวถูกม่านหมอกปกคลุมจนมิอาจพินิจชัดเจน
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนในชุดคลุมก็รีบไปพาตัวชิงถังมาทันที!
“ท่านอาจารย์! ที่แท้ก็เป็นท่านจริง ๆ…”
เมื่อนางเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ภายใต้ท้องนภา ร่างบอบบางของชิงถังก็สั่นสะท้านอย่างไร้ควบคุม ขณะพึมพำอย่างเหม่อลอย
ใบหน้างดงามดุจภาพวาดของนางเหม่อลอย ทั้งดูประหลาดใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
ดูราวกับเชื่อไม่ลง
และสงสัยว่าตนกำลังฝันไป
ร่างของหญิงสาวชะงักกับที่
ในคู่เนตรของนาง มีเพียงหนึ่งร่างอันคุ้นตาซึ่งดูราวปรกสวรรค์ค้ำแดนดินได้
ทันใดนั้น ราวกับอารมณ์ที่นางสะกดกลั้นไว้เนิ่นนานจะพบที่ให้ระบาย หยาดน้ำตาอุ่นร้อนสองสายเอ่อจากคู่เนตรอาบใบหน้าของหญิงสาว
นั่นคือทัศนาจารย์ อาจารย์ของนาง
และยังเป็นซูเสวียนจวิน อาจารย์ของนางด้วย!
“ยัยหนูโง่”
ณ ห้วงความนึกคิด จิตวิญญาณของซูอี้รำพึงเบา ๆ
ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติไหน ชิงถังก็เป็นศิษย์ของเขา มีหรือคนนอกจะเข้าใจมิตรภาพระหว่างพวกเขาศิษย์อาจารย์?
ทันใดนั้น ร่างของซูอี้ซึ่งควบคุมโดยชาติที่หกก็ขมวดคิ้วกล่าวอย่างเย็นชา “ผู้ใดลงมือกับเจ้า?”
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบ ทุกผู้สังเกตเห็นว่าบนแก้มซ้ายขาวกระจ่างงดงามของนางบวมแดงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
แย่แล้ว!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมใจสั่นสะท้านราวต้องอสนีบาต สีหน้าแปรเปลี่ยน
และทันใดนั้น สายตาของซูอี้ก็เป็นดั่งดาบคมแหวกนภา มองจ้องมองมายังชายวัยกลางคนในชุดคลุมอย่างเยียบเย็น
………………..