บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1405: หัวใจคนเปรียบดั่งสมรภูมิ ข้าและข้าประชันกันเอง
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1405: หัวใจคนเปรียบดั่งสมรภูมิ ข้าและข้าประชันกันเอง
ตอนที่ 1405: หัวใจคนเปรียบดั่งสมรภูมิ ข้าและข้าประชันกันเอง
ชั่วขณะนั้น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมรู้สึกราวกับต้องคมดาบ เส้นขนทั่วสรรพางค์ลุกซู่
เขาหันมองเจ้าตระกูลหงเทียนอวิ๋นราวขอความช่วยเหลือ “เจ้าตระกูล ข้า…”
เปรี้ยง!
หนึ่งปราณดาบปลิดโปรย และวิญญาณของชายวัยกลางคนในชุดคลุมก็ลอยละลิ่ว
ซูอี้ปัดนิ้ว “ข้าฆ่าเขา ใครเล่ามีประเด็น?”
หงเทียนอวิ๋นและผู้มีอำนาจตระกูลหงคนอื่น ๆ อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง สีหน้ายากคาดเดา
พวกเขาเคยเห็นผู้ใช้อำนาจกดดันผู้อื่นมามากมาย แต่ยังมิเคยพานพบผู้อหังการกดดันเพียงนี้!
สังหารตามใจ หามอบโอกาสไกล่เกลี่ยไม่!!
ในใจของม่อชิงโฉวเองก็แปรเปลี่ยน นางก้าวเข้ามากุมมือชิงถังไว้ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “แม่นางชิงถัง มากับข้านะ”
กล่าวจบ นางก็พาชิงถังมากับนาง
นับแต่เริ่มจวบยามนี้ หามีผู้ใดกล้าหยุดพวกนางไม่
สิ่งนี้ทำให้ในใจของม่อชิงโฉวเกิดอารมณ์ปนเป
ทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ มีขุมกำลังใหญ่ใดบ้างที่หยุดความโอหังตระกูลหงลง?
ใครเล่าจะทำให้ตระกูลหงยอมกล้ำกลืนโทสะ?
หามีไม่!
ทว่ายามนี้ ซูอี้ลำพังกลับใช้ดาบทะลวงบรรพตพำนัก ทำให้ตระกูลหงต้องผ่อนท่าที!
ทว่าในใจม่อชิงโฉวก็ยังมีความงุนงงเจืออยู่เล็กน้อย
เดิมนางคิดว่าเมื่อซูอี้มาถึง เขาจะคิดบัญชีล้างบรรพตเซียนอสนีบาตชาดด้วยโลหิตเป็นแน่แท้
ทว่าไม่คาดเลยว่าเรื่องเหล่านั้นจะมิเกิดขึ้น
“ท่านอาจารย์”
ชิงถังก้าวเข้ามา น้ำตาหลั่งริน
ใบหน้างดงามทว่าเศร้าหมองนั้นทำให้ม่อชิงโฉวรู้สึกสงสาร
ซูอี้ทำเพียงพยักหน้าน้อย ๆ โดยมิพูดอันใด
เขาคือกรรมวิถีชาติที่หก หมกมุ่นกับเพียงดาบชั่วชีวิต อุปนิสัยของเขาเฉยเมยแข็งทื่อเยี่ยงเหล็ก ไม่อาจเข้าใจได้ว่าความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ระหว่างชิงถังและซูอี้แน่นแฟ้นเพียงไร
เขามาช่วยชิงถังครานี้ ก็แค่ต้องการให้ซูอี้ติดหนี้เขาเท่านั้น
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้หันหลังจากไป
ทว่ายามนี้ เสียงแหบแห้งชราวัยก็ดังออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามหลังเรือนตระกูลหง
“สหายเต๋าจะมาก็มา จะไปก็ไป เห็นตระกูลหงของข้าเป็นเช่นไรกัน?”
เสียงนั้นสนั่นลั่น
ตู้ม!
ปราณอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นจากแดนหวงห้ามตระกูลหงทะยานตรงสู่นภา สะเทือนหมู่เมฆากระเจิงทั่วทศทิศ ทั่วหล้าดับแสง
จากนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ
เขามีรูปลักษณ์เยาว์วัย ร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์ยาวแขนเสื้อกว้าง เส้นผมขมวดมวย รัศมีเซียนนับพันเรืองรองรอบร่าง บรรยากาศทรงพลังเสียจนวาตะเมฆาปั่นป่วน
หงซานถู!
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนของตระกูลหง!
“คารวะท่านบรรพชน!”
หงเทียนอวิ๋นและผู้ทรงอำนาจอื่น ๆ ล้วนแล้วใจชื้น พวกเขาก้มหัวคารวะ แววตาเผยความปรีดาอย่างปิดไม่มิดด้วยพบที่พึ่งทางใจ
ม่านตาเรืองประกายของม่อชิงโฉวหดตัว หงซานถู ณ ยามนี้หาใช่เจตจำนงไม่ แต่เป็นวิญญาณอาสัญตัวจริง!
“จริงด้วย ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ แม้วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะยังไม่อาจออกสู่โลกหล้า แต่การปรากฏตัวในถิ่นตนนั้นทำได้ไม่ยาก”
ม่อชิงโฉวคิดอย่างเคร่งเครียด
ซูอี้บนอากาศเหลือบมองหงซานถูเล็กน้อย “ในสายตาข้า ที่แห่งนี้ไร้ค่า ต่อให้ใช้เป็นส้วมยังมิได้เลย”
ส้วม!?
คนทุกผู้ในตระกูลหงล้วนโกรธเสียจนอกแทบระเบิด นี่เป็นการเหยียดหยามตระกูลหงของพวกเขาโดยมิได้หลบซ่อนแม้แต่น้อย!
ใต้ท้องนภา วิญญาณอาสัญวิถีเซียน ‘หงซานถู’ ขมวดคิ้ว
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ตาเฒ่าผู้นี้เห็นได้ว่าท่านเป็นอำนาจเจตจำนงที่สิงสู่ซูอี้ผู้นั้น ถูกหรือไม่?”
ชิงถังสะดุ้งมองซูอี้อย่างประหลาดใจ
“ข้าจัดการเรื่องของตนเอง จะบอกว่าสิงสู่ได้เช่นไร?”
สายตาของซูอี้ดูซับซ้อนลุ่มลึก
ทันใดนั้น เขาก็ส่ายหน้า คร้านเกินกว่าจะมัวพูดพล่ามกับวิญญาณอาสัญวิถีเซียนต่ำต้อย และกล่าวว่า “เจ้าอยากจะหยุดไม่ให้ข้าไปหรือ?”
นัยน์ตาของหงซานถูฉายประกายร้ายกาจ “ไม่เลย เจ้ามิต้องให้ข้าลงมือสักนิด อำนาจเจตจำนงนี้ของเจ้าจะหายไปเอง! ตาเฒ่าผู้นี้แค่อยากเตือนเท่านั้นว่าเซียนในแดนมนุษย์เช่นข้าจะหวนคืนสู่โลกหล้าในไม่ช้า!”
ซูอี้อดหัวเราะลั่นนภามิได้ และกล่าวอย่างเหยียดหยัน “คนก็ไม่ใช่ผีก็มิเชิง ยังกล้าเรียกตนเองว่าเซียนในแดนมนุษย์อยู่อีกหรือ? ช่างน่าขันนัก!”
สีหน้าของหงซานถูแข็งค้าง สีหน้าปรากฏโทสะ
ตู้ม!
ซูอี้พลันยกมือขึ้น และเมื่อสะบัดเล็กน้อย ปราณดาบสายหนึ่งก็ทะลวงเวหา เจิดจรัสเยี่ยงดาวหางเหนือนภา ร่วงลงพร้อมด้วยเสียงกัมปนาท
เพียงปราณอันทรงพลังน่าสะพรึงกลัวนี้ก็ทำให้หงซานถู วิญญาณอาสัญวิถีเซียนขนลุกขนพอง รู้สึกหวาดหวั่นอย่างมิอาจหยุดยั้ง
เขาเหมือนเช่นกระต่ายแก่ตื่นตูม หลบเลี่ยงพัลวันมิกล้าเข้าต่อสู้
ทว่ากลับไม่คาดว่าเมื่อดาบนั้นทะยานลง มันกลับกลายเป็นฟองสบู่กระจายสูญ
“ปอดแหก”
ซูอี้ปรามาส
สีหน้าของหงซานถูมืดทะมึน สายตาเต็มไปด้วยความอับอาย มีหรือเขาจะไม่เห็นว่าซูอี้จงใจหยอกเล่นให้เขาเสียหน้า?
แต่ก็ต้องยอมรับว่าดาบของซูอี้น่ากลัวเกินไปอย่างจริงแท้ เพียงแค่คิดก็ทำให้ใจเขาสั่นระรัวแล้ว
ซูอี้เสสรวล “ฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ช่างน่าเบื่อ ยามเจ้าคืนสู่โลกหล้า ข้าจะฝึกฝนตนบั่นศีรษะเจ้าเสีย”
กล่าวจบ เขาก็ใช้สองมือไพล่หลังหันจากไป
ม่อชิงโฉวรีบพาชิงถังตามเขาไป
นับแต่ต้นจนจบ ทั่วตระกูลหงไร้ผู้ใดกล้าหยุดพวกเขา!
จนกระทั่งเมื่อร่างของพวกซูอี้ลับตา เจ้าตระกูลหงเทียนอวิ๋นก็อดหันกล่าวกับหงซานถูมิได้ “ท่านบรรพชน ข้าสงสัยว่าอำนาจที่สิงสู่ซูอี้อยู่กำลังจะสลายหายนะขอรับ หาไม่… ไฉนจึงทำเพียงจาก?”
ผู้ทรงอำนาจตระกูลหงคนอื่น ๆ ล้วนพยักหน้า
เรื่องนี้แปลกมากจนชวนงุนงง
กล่าวคือ ใครเล่าจะยอมทิ้งโอกาสโจมตีตระกูลหงของพวกเขาง่าย ๆ เช่นนี้?
“เสี่ยงไม่ได้หรอก!”
หงซานถูสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “อำนาจที่สิงสู่ร่างของซูอี้อยู่นั้นร้ายกาจเกินไป ต่อให้กำลังจะสลาย หากจนมุมจริง ๆ ข้าก็มิอาจต้านรับไหว”
“แทนที่จะทำเช่นนั้น ปล่อยเขาไปดีกว่า!”
“อยู่ในบรรพตเขียว อย่าได้ห่วงเรื่องขาดไม้ฟืน!”
หงเทียนอวิ๋นและคนอื่นล้วนพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“เจ้าตระกูล แย่แล้วขอรับ!!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังขึ้นหน้าเรือนตระกูล
สายสืบตระกูลหงผู้หนึ่งกลับมาพร้อมข่าวศึกที่เขาพฤกษ์ระย้า
หงเฟยกวนสิ้นใจ!
ยอดฝีมือนับร้อย ๆ ในขอบเขตจุติมงคลจากขุมกำลังใหญ่ล้วนถูกสังหาร!
สิบหกเจตจำนงเซียนถูกทำลายสิ้น!
เมื่อได้รู้ข่าวเหล่านี้ ทุกผู้ในตระกูลหงต่างตะลึงเยี่ยงถูกอสนีบาต มือเท้าเย็นเฉียบนิ่งทื่อกับที่
หงซานถู วิญญาณอาสัญวิถีเซียนนั้นยิ่งสะเทือนใจยิ่งกว่า เขาตะโกนอย่างโศกเศร้า “ไฉนเฟยกวนถึง… ตายแล้วเล่า!?”
วจีนั้นสนั่นทั่วแดนดินอย่างรวดร้าว
……
ภายใต้ท้องนภา
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง เดินไปไกลบนท้องฟ้า
ม่อชิงโฉวและชิงถังติดตามเบื้องหลัง
“บุญคุณนี้ ถึงเจ้าไม่อยากก็ต้องยอมรับนะ เพราะถึงอย่างไร หากข้าผู้นี้ไม่ลงมือ เกรงว่าศิษย์เจ้าคงมิอาจรอดออกมาได้ง่าย ๆ หรอก”
เสียงของกรรมวิถีชาติที่หกดังขึ้นในห้วงความนึกคิด เผยเค้าความพึงพอใจ
แต่เดิม ซูอี้ใช้แผนล้อมสังหารเป็นตัวชักนำสู่การเลื่อนวิถีจุติสรวง บังคับเขาให้ต้องโอนอ่อนจำนน ทำให้เขาแสนเดือดดาลไม่พอใจ
และยามนี้ การให้ซูอี้ติดหนี้บุญคุณเขาทำให้ชาติที่หกสบายใจขึ้นได้ในที่สุด คิดว่าตนได้เอาคืนซูอี้แล้ว
เหมือนเป็นการประชันอารมณ์
ฝ่ายหนึ่งบีบให้อีกฝ่ายต้องโอนอ่อนจำนน ในขณะที่อีกฝ่ายบังคับอีกผู้ให้ติดหนี้บุญคุณตน!
หมัดแลกหมัด
ประชันไหวพริบความกล้า
“เห็นกันชัด ๆ ว่าเจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเอง ไฉนต้องมาทวงบุญคุณกัน?”
ร่างจิตวิญญาณของซูอี้ในห้วงความนึกคิดกล่าวลอย ๆ “หรือข้าวิงวอนให้เจ้าทำ?”
ชาติที่หก “…”
“ไม่ต้องน้อยใจไปหรอก ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเกี่ยวพันกับความคิด ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าช่วยศิษย์เจ้า เรื่องนี้จะใช้วาจาบ่ายเบี่ยงไปมิได้หรอก”
ชาติที่หกกล่าวห้วน ๆ “เจ้าไม่ต้องมาประชันแพ้ชนะกับข้าในเรื่องกระจอกยิบย่อยแค่นี้ก็ได้”
“ท้ายที่สุดแล้ว ยามเจ้าสามารถหลอมรวมวิถีทั้งหมดของข้าได้ ศึกประชันจิตใจจะเป็นสนามรบใหญ่ที่สุดระหว่างเจ้าและข้า”
“หากข้าชนะ เจ้าคือข้า”
“ข้าพ่าย เจ้าก็ยังเป็นเจ้า”
ฟังดูเหมือนพูดพล่าม ทว่าซูอี้เข้าใจความหมายของมัน
เขารำพึงอย่างไร้ผูกมัด “หัวใจคนเปรียบดั่งสมรภูมิ ข้าและข้าประชันกันเอง ช่างน่าสนุกจริง ๆ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ชาติที่หกเสสรวลกล่าวอย่างหมายมั่น “ในสายตาของเจ้า ข้าคือมารผจญใจ เจ้าคือร่างเวียนวัฏของข้า รอดูเถิดว่าถึงยามนั้น เจ้าจะกระชากมารผจญใจออกได้ หรือข้าจะหวนคืนสู่โลกา!”
“รอยลได้เลย”
ซูอี้เองก็แย้มยิ้ม
เขาทำให้ชาติที่หกยอมจำนนได้แล้วหนึ่งหน และด้วยจุดเริ่มต้นเช่นนี้ การให้อีกฝ่ายยอมจำนนในภายหน้าก็สามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายสิ้นตัวตนจนใจประชัน!
ชาติที่หกเปลี่ยนน้ำเสียง “ต่อจากนี้ ข้าจะมอบเคล็ดการเข้าสู่วิถีจุติสรวงให้ ยามเจ้าบรรลุเคล็ดนี้ เจ้าจะเข้าใจเองว่าหากเจ้าเลื่อนขอบเขตวันนี้ มันจะเป็นเรื่องโง่งมเพียงไร”
ซูอี้หาปฏิเสธไม่
ก่อนเวียนวัฏเกิดใหม่ ชาติที่หกนี้จะต้องเป็นตัวตนร้ายกาจอันมีวิถีล้ำหน้าเขาไปแสนไกล ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นตัวตนสูงส่งในวิถีเซียน
ตัวตนเช่นนี้ก้าวผ่านวิถีจุติสรวงไปแล้ว และมีประสบการณ์เหนือวิถีที่คนทั่วไปมิอาจคาดเดา
การที่เขาสามารถเคลื่อนขอบเขตได้สูงล้ำกว่าอดีตชาติยามเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ชาตินี้ แก่นของมันเป็นเพราะเขาได้รับประสบการณ์ฝึกฝนและความรู้ความเข้าใจจากอดีตชาติ!
ชาติที่หกซึ่งก็เป็นอดีตชาติของเขานี้ย่อมมีความรู้ความเข้าใจห่างไกลเกินเทียบกับตัวเขาในวิถีจุติสรวงแน่นอน
ซูอี้ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้เลย
เพราะเช่นนี้เอง ซูอี้จึงตัดสินใจไว้ตั้งแต่ยามที่เขาแรกมายังเขตหวงห้ามเซียนละล่องว่าจะบีบให้ชาติที่หกโอนอ่อนจำนน และให้อีกฝ่ายเป็นผู้ยื่นความรู้สึกประสบการณ์ในวิถีจุติสรวงมาเอง!
กล่าวคือ ซูอี้หาตั้งใจเคลื่อนขอบเขตวันนี้ไม่
ทุกสิ่งนั้นเป็นเพื่อบังคับชาติที่หกให้เป็นฝ่ายนำเคล็ดเคลื่อนขอบเขตมามอบให้เขา
และยามนี้ เป้าหมายก็บรรลุเรียบร้อย!
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ชาติที่หกจะด่าว่าเขาโง่เง่า ซูอี้ก็หาสนใจไม่
“เหอะ! อย่าดีใจเร็วไปนัก”
ไม่นานนัก ชาติที่หกก็กล่าวว่า “ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะมิอยากให้วิถีของเจ้าด่างพร้อยเท่านั้น เมื่อข้าแทนที่วิญญาณของเจ้า มันจะได้ไม่มาส่งผลต่อข้าในภายหน้า!”
ซูอี้แย้มยิ้ม ยังคงไม่กล่าววจีใด
ในความคิดของเขา ยิ่งชาติที่หกกล่าวเช่นนี้ ยิ่งพิสูจน์ว่าชาติที่หกโกรธเคืองและมิพอใจกับเรื่องนี้มาก!
ชาติที่หกพลันกล่าวว่า “วันนี้ ข้าผู้นี้ช่วยเจ้าสังหารศัตรูเสียมากมาย แต่ก็เท่ากับปล่อยอันตรายแฝงให้เจ้านับไม่ถ้วน ไฉนจึงยังหัวเราะออกอยู่เล่า?”
แล้วเขาก็กล่าวอย่างลำพอง “รู้หรือไม่ ข้าน่ะจะกวาดล้างเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ให้เกลี้ยงก็ทำได้ง่าย ๆ ทว่าข้าไม่ทำ แค่อยากบอกว่าเรื่องของตน อย่าให้ข้าต้องมาคอยตามล้างตามเช็ด!”
ว่าแล้ว ชาติที่หกก็หัวเราะร่าอย่างแสนปรีดา
ซูอี้กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าตาย เจ้าก็จบเห่”
ทันใดนั้น ชาติที่หกก็ดูราวถูกหิ้วคออย่างรุนแรง เสียงหัวเราะจุกหายไปกะทันหัน
ทำให้ซูอี้อดขำมิได้
………………..