บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1406: ลอบสังหาร
ตอนที่ 1406: ลอบสังหาร
เมื่อข่มขู่อย่างเหี้ยมโหด ในสายตานักดาบผู้ไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายแล้วล้วนไร้ค่า
ชาติที่หกเองก็รู้เช่นกัน
ทว่ายามคิดถึงทุกหนที่เขาอยากโจมตีจิตใจซูอี้ แต่ก็ถูกซูอี้ตอบโต้ได้ทุกหน ชาติที่หกก็รู้สึกหดหู่
ก่อนตาย เขามีอุปนิสัยเย่อหยิ่งเจ้าอำนาจ ละเลงเลือดทั่วสวรรค์ ใครเล่าจะกล้าประชันกับเขาเช่นนี้?
ถึงมีก็ถูกหนึ่งดาบปาดสิ้น!
ทว่ายามนี้…
เมื่อคิดเช่นนี้ ชาติที่หกก็พลันสิ้นกำลังใจจะเปรียบเทียบกับซูอี้อีกหน
เขารู้ตนดี
ถึงอย่างไรเขาก็เหลือเพียงอำนาจกรรมวิถี ถูกผนึกไว้ในดาบเก้าคุมขัง เป็นฝ่ายต้องตั้งรับสถานเดียว
เขาจะเอาอันใดไปสู้?
ท้ายที่สุด โอกาสเดียวของเขาก็คือยามประชันจิตใจกับซูอี้ยามหลอมรวมกรรมวิถีของเขา!
“เมื่อเจ้ามีเวลาว่าง ข้าผู้นี้จะถ่ายทอดเคล็ดการเคลื่อนขอบเขตให้เจ้า จำไว้ว่าอย่าพยายามเลื่อนขอบเขตอีก!!”
ชาติที่หกกล่าว และอำนาจกรรมวิถีที่ปรากฏในร่างซูอี้ก็สลายไป
ซูอี้ฟื้นการควบคุมตนเอง
“เจ้านี่… รับมือยากนิดหน่อยแฮะ แต่การประชันกับ ‘ตนเอง’ ท้าทายสวรรค์นี่สนุกดี”
ซูอี้ลอบคิด
ทว่าทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว
หลังฟื้นการควบคุมร่าง ซูอี้ก็พบว่าบาดแผลของตนร้ายแรงเพียงไร
ไม่เพียงแหว่งวิ่นเปี่ยมบาดแผล แต่กระทั่งการฝึกฝนของเขาก็แทบเหือดสิ้น
“หือ?”
ขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเขาเบา ๆ
ม่อชิงโฉวสัมผัสได้ชัดเจนว่าแรงกดดันสะเทือนนภาค้ำหล้าบนร่างซูอี้สลายไปแล้ว!
นางอดกล่าวมิได้ “สหายเต๋าซู เจ้ายามนี้…”
“มีคำถามหรือ?”
ซูอี้ถามย้อน
“ไม่มีแล้วล่ะ”
ม่อชิงโฉวส่ายหน้า ไม่ถามอันใดอีก
ทุกผู้ล้วนมีความลับของตน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอำนาจทรงพลังที่ปรากฏบนร่างของซูอี้ก่อนหน้านี้นั้นเป็นความลับของซูอี้!
“ข้ากับชิงถังจะไปแล้ว”
ซูอี้ว่า “แม่นางม่อ เจ้าก็กลับไปเถิด”
ม่อชิงโฉวกล่าวอย่างเป็นห่วง “ยามนี้สหายเต๋าบาดเจ็บสาหัส ไปพักที่บ้านตระกูลม่อของข้าก่อนมิดีกว่าหรือ หลังจากเยียวยาบาดแผลแล้วค่อยออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องก็ยังมิสายนะ”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก หากเป็นไปได้ ข้าอยากรบกวนแม่นางม่อให้หาเวลาส่งคนนำเตาหลอมที่ข้าทิ้งไว้ในศึกเขาพฤกษ์ระย้ามาให้ข้ามากกว่า”
ม่อชิงโฉวเห็นว่าซูอี้มิอาจโน้มน้าวได้จึงพยักหน้ารับ “ได้”
“ชิงถัง ไปกันเถอะ”
และซูอี้ก็จากไปพร้อมชิงถังทันที
เมื่อเห็นร่างของพวกเขาศิษย์อาจารย์จากไป ม่อชิงโฉวก็จมในภวังค์ครุ่นคิด
ก่อนหน้านี้ที่หน้าเรือนตระกูลหง การที่ซูอี้มิเปิดฉากละเลงเลือดนั้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
และยามนี้ ซูอี้บาดเจ็บสาหัส แต่เขากลับอยากจากไปให้เร็วที่สุดมากกว่าจะกลับตระกูลไปกับนาง ซึ่งน่าประหลาดยิ่งเช่นกัน
ท้ายที่สุด ม่อชิงโฉวมิอาจหาเหตุผลได้ นางจึงทำเพียงสงบใจหันหลังกลับ
……
ศึกเขาพฤกษ์ระย้าจบลง และเมื่อข่าวแพร่ออกไป ทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องก็สั่นสะเทือน เกิดเสียงฮือฮาลือลั่น
“ซูอี้ผู้นั้นร้ายกาจเพียงนี้เลยหรือ?”
“ตัวตนขอบเขตจุติมงคลนับร้อย ๆ เจตจำนงเซียนอีกสิบหก แพ้ราบคาบเลยหรือ!?”
“ตัวตนทรงพลังใดกันที่สิงสู่ซูอี้ผู้นั้นอยู่?”
ขุมกำลังสูงสุดแห่งโบราณกาลล้วนตะลึงสะเทือนสั่นกับศึกละเลงเลือดหนนี้
หนึ่งคนหนึ่งดาบบุกเดี่ยวสู่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง ละเลงเลือดหลั่งเป็นธาร ไร้ผู้ใดรอดชีวิต!
นี่คืออำนาจที่ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดมีได้หรือ?
และขุมกำลังใหญ่เช่นหอเซียนดาบมายา โรงดาบเทพลี้ลับและสุขาวดีจรทักษิณนั้นล้วนทึ่มทื่อ มิอาจทำใจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
ครานี้ เพื่อรับมือซูอี้ พวกเขาล้วนส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจุติมงคลกลุ่มหนึ่ง และติดอาวุธไพ่ตายร้ายกาจสารพัด
แต่ยามนี้ ทุกสิ่งสิ้นสูญ!!
ความเสียหายนี้ร้ายแรงเกินไป ชั่วขณะนั้น ใครเล่าจะรับได้?
ต้องทราบว่ากระทั่งกลุ่มเต๋าโบราณเช่นพวกเขาก็มิได้มียอดฝีมือขอบเขตจุติมงคลเยอะเท่าไหร่!
ทว่า ณ ศึกเขาพฤกษ์ระย้าวันนี้ ตัวตนขอบเขตจุติมงคลมากกว่าครึ่งของทุกกลุ่มเต๋าล้วนบาดเจ็บล้มตาย
ความเสียหายนี้เพียงพอจะสั่นคลอนรากฐานของพวกเขาอย่างร้ายแรง!
เหมือนเช่นโรงดาบเทพลี้ลับที่กระทั่งประมุขฮั่วชิงไห่ยังตายไปในมหาสงครามนี้
ชั่วขณะนั้น ในหมู่ขุมกำลังใหญ่ซึ่งเป็นปรปักษ์กับซูอี้ล้วนดูซีดเซียวน่าเวทนา
“โชคดีที่เราไม่เคยกระทำการใดเป็นปรปักษ์กับสหายเต๋าซูมาก่อน”
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งในสำนักเต๋านครชาดรู้สึกแสนโชคดี เขาอดหลั่งเหงื่อกาฬ ร่างสั่นสะท้านถึงภายในมิได้
บางผู้กล่าวอย่างขื่นขม “ทว่าข้าเกรงว่า คงยากสำหรับเราที่จะรับมิตรภาพจากสหายเต๋าซูในภายหน้าแล้ว…”
ทันใดนั้น เหล่าผู้ทรงอำนาจในสำนักเต๋านครชาดก็เงียบกริบ ความเสียดายอันมิอาจสะกดกลั้นเอ่อล้นขึ้นในใจ
กาลก่อน พวกเขาออกอาสาช่วยเหลือซูอี้หาที่อยู่ของช่างเสื้อ และเพราะเช่นนั้น กลุ่มยอดฝีมือในสำนักพวกเขาจึงได้รับการช่วยเหลือปลดคำสาปในร่างจากซูอี้
และในศึกเขาพฤกษ์ระย้านี้ พวกเขาสำนักเต๋านครชาดเลือกนิ่งดูดาย มิยอมเข้ามาพัวพัน
หากว่ากันด้วยเหตุผล ทางเลือกเช่นนี้มิได้เป็นการกระทำเกินไป
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและซูอี้เป็นเพียงการได้ประโยชน์ร่วมกัน มิได้เป็นพันธมิตรร่วมเป็นร่วมตาย
ทว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นล้วนรู้ว่าในภายหน้า การจะเชื่อมไมตรีกับซูอี้ให้แน่นแฟ้นขึ้นจะยากเย็น
ไม่ใช่เพียงสำนักเต๋านครชาด เหล่าผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากซูอี้ แต่เลือกถอยออกมาอยู่วงนอกในเรื่องวันนี้ต่างมิอาจเก็บงำความเสียดายไว้ได้
ทุกทางเลือกมีราคาของมัน
เทียบกันแล้ว ตระกูลม่อนั้นตื่นเต้นรื่นเริงเป็นที่สุด!
เมื่อม่อชิงโฉวและม่อหย่วนซานนำข่าวศึกเขาพฤกษ์ระย้ากลับมา ตระกูลม่อก็ล้วนเดือดพล่านด้วยความโล่งใจ ยินดีและตื่นเต้น
หนนี้ พวกเขายืนข้างซูอี้อย่างหนักแน่น ทำให้ตระกูลม่อก็ตกอยู่ในแรงกดดันมหาศาล
เพราะทุกผู้รู้ว่าการกระทำเช่นนี้หมายถึงประกาศตนเป็นปรปักษ์กับวิญญาณอาสัญทั่วโลกหล้า มีผลกระทบร้ายแรงตามติดมากับมัน!
และยามนี้ เมื่อซูอี้ชนะศึก ทุกสิ่งก็กลับตาลปัตร!
ดุจสุดโศกแปรเป็นแสนปรีดา!
ไม่เพียงตระกูลม่อของพวกเขาจะมิต้องกังวลต่อการล้างแค้น พวกเขายังสามารถเสริมแกร่งความสัมพันธ์กับซูอี้ กลายเป็นผู้ชนะหนึ่งเดียวในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ได้
“ท่านเซียนหงอวิ๋นไม่กระทั่งปรากฏกาย…”
เมื่อ ‘ม่อซิงหลิน’ แห่งตระกูลม่อได้รับรู้ข่าว เขาก็อดผงะประหลาดใจมิได้
เดิมที เหตุผลที่เขาออกคำสั่งอย่างหนักแน่นให้ตระกูลม่อยึดข้างซูอี้นั้นเป็นเพราะยืนยันได้แล้วว่าเซียนหงอวิ๋นหนุนหลังให้ซูอี้
ตัวตนลึกลับผู้นั้นเคยถูกเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อในศาลเซียนรวมศูนย์เมื่อนานมาแล้ว!
ทว่าม่อซิงหลินก็ต้องประหลาดใจที่เซียนหงอวิ๋นมิได้ปรากฏตัวขึ้น
“ท่านบรรพชน อำนาจร้ายกาจไร้ขอบเขตในร่างสหายเต๋าซูจะเกี่ยวข้องกับท่านเซียนหงอวิ๋นหรือเจ้าคะ?”
“เป็นไปได้!”
ม่อซิงหลินพยักหน้า “บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้แหละที่ท่านเซียนหงอวิ๋นจึงไม่ปรากฏกาย”
เขาคิดว่านี่คือคำอธิบายอันเป็นเหตุเป็นผลสูงสุดแล้ว
ทันใดนั้น ม่อซิงหลินก็อดหัวเราะมิได้ “หลังศึกนี้จบ ตระกูลหงและขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นต่างเสียหายสาหัส พวกเขาสร้างสายสัมพันธ์แค้นกับสหายเต๋าซูอย่างสมบูรณ์ เทียบอันใดกับตระกูลม่อเราได้เล่า? และต่อจากนี้จะเอาอันใดมาไล่ตามโลกหล้ากันหนอ?”
ม่อชิงโฉวเองก็แย้มยิ้มรำพึง “ศึกนี้เพียงพอจะแปรครรลองแห่งแดนดินนี้ได้โดยแท้ และมันจะส่งผลต่อครรลองโลกหล้าทั้งใบด้วย!”
ณ ศึกเขาพฤกษ์ระย้าวันนี้ หนึ่งคนหนึ่งดาบสร้างวีรกรรมตำนานอันเพียงพอต่อการแปรกระแสแห่งโลกา
ความสำเร็จเช่นนี้เพียงพอจะบรรยายได้ว่า ‘โชติช่วงชั่วสหัสวรรษ เจิดจรัสโด่งดังร้อยชั่วโคตร’!
“ทว่าสถานการณ์ต่อจากนี้สำหรับสหายเต๋าซู เกรงว่าคงอันตรายยิ่งกว่าเก่า…”
ม่อซิงหลินขมวดคิ้ว “ตระกูลหงและวิญญาณอาสัญวิถีเซียนจากขุมกำลังปรปักษ์ต้องมิรามือเพียงเท่านี้เป็นแน่แท้ และยามพวกเขามีโอกาสหวนคืนสู่โลกา ย่อมไปล้างแค้นสหายเต๋าซูแน่”
หัวใจของม่อชิงโฉวเย็นยะเยือก และทันใดนั้น นัยน์ตาเรืองประกายก็พร่างพราว “ท่านบรรพชน สหายเต๋าซูห่างจากวิถีจุติสรวงเพียงก้าวเดียว อย่าว่าแต่ว่าเบื้องหลังเขายังมีท่านเซียนหงอวิ๋นอยู่อีก ในความเห็นข้า เขาไม่กลัวการล้างแค้นเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
ม่อซิงหลินอดหัวเราะและกล่าวอย่างลึกล้ำมิได้ “ถูกต้อง! จะว่าไป ไฉนสหายเต๋าซูมิกลับมากับเจ้าเล่า?”
ม่อชิงโฉวอธิบายเรื่องที่ซูอี้จากไปโดยทันที
หลังม่อซิงหลินฟังจบ เขาเองก็รู้สึกว่ามันแปลก ทว่าท้ายที่สุดก็คิดเหตุผลมิได้ จึงกล่าวว่า “การกระทำของสหายเต๋าซูนั้นมิอาจทำความเข้าใจได้อย่างจริงแท้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ทำตามคำสั่งสหายเต๋าซูเถิด ไปส่งสมบัติจากเขาพฤกษ์ระย้าให้เขาโดยไวที่สุด”
ม่อชิงโฉวพยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องคิด
……
ยามเขตหวงห้ามเซียนละล่องกำลังปั่นป่วน ลึกเข้าไป ณ แดนดินอันปกคลุมด้วยหมอกหนาแห่งหนึ่ง
“ชิงถัง พักที่นี่กันก่อนเถิด”
ที่ยอดเขาแห่งหนึ่งมีถ้ำตามธรรมชาติอยู่ ซูอี้และชิงถังเดินเข้าไปในนั้น โบกแขนเสื้อตั้งค่ายกลพรางปราณของเขาไว้
ซูอี้นำลูกปัดจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมาฝังไว้ในผนังหินของถ้ำ แสงสว่างพลันไล่ความมืดในถ้ำไปสิ้น
ขณะที่ชิงถังกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง นางพลันสังเกตเห็นว่ามีหยาดโลหิตหยดจากมุมปากของซูอี้ หัวใจของนางจึงรัดตัวแน่นอย่างอดมิได้
“ท่านอาจารย์…”
นางรีบร้อนก้าวเข้าไปหา ใบหน้างดงามเปี่ยมความกังวล
ซูอี้ปาดคราบเลือดที่ริมฝีปากของเขาและกล่าวยิ้ม ๆ “มิเป็นไร แค่บาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าช่วยอันใดข้าไม่ได้หรอก เมื่อบาดแผลเหล่านี้หายดี ข้าจะพาเจ้าออกไปจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องเอง”
กล่าวจบ เขาก็นั่งลงขัดสมาธิ นำโอสถขวดหนึ่งออกมาเริ่มหลอมรวม
ในที่สุดชิงถังก็ตระหนักว่าศึกนี้ทำให้อาจารย์ของนางบาดเจ็บสาหัสเพียงไร
“มิน่าเล่า ท่านอาจารย์จึงไม่ได้ล้างตระกูลหง ปฏิเสธกลับตระกูลม่อโดยไร้ลังเล เกรงว่าเขาเองก็กังวลจะแสดงอาการเกินรับไหว และจะเกิดเรื่องเหนือคาดหมายอื่น ๆ ขึ้นกระมัง?”
เมื่อชิงถังคิดเช่นนี้ หัวใจของนางก็รู้สึกผิดและเศร้าหมอง
หากไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ต้องช่วยนาง ไฉนเขาต้องบาดเจ็บร้ายแรงเพียงนี้ด้วย?
หญิงสาวนั่งลงข้าง ๆ คู่หัตถ์เรียวไร้ตำหนิกอดเข่าตน นัยน์ตากระจ่างมองซูอี้ผู้นั่งขัดสมาธิอยู่มิไกล ใบหน้างามดุจภาพวาดเปี่ยมความสงสารอันมิอาจซุกซ่อน
อารมณ์ของนางแปรผันขึ้นลง
ทันใดนั้น ซูอี้ซึ่งเพิ่งเริ่มทำสมาธิเยียวยาบาดแผลก็ลืมตาขึ้น
ยามนั้น ชิงถังผู้ตกตะลึงฟื้นสติพร้อมความพรั่นพรึงในใจ “ท่านอาจารย์ เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ?”
“มีผู้กำลังมา”
ซูอี้ลุกขึ้น คว้าแขนชิงถังแล้วพุ่งสู่ยอดถ้ำทันที
ตู้ม!
ศิลาแหลกสลาย ปราณร้ายกาจบนร่างของซูอี้ขุดภูเขาทะลวงถึงนภาในรวดเดียว
แทบจะในยามเดียวกัน…
หนึ่งศรทองทะลวงเวหาดิ่งเข้าสู่ภูเขานี้
คีรีทั้งลูกระเบิดแหลก แดนดินรอบข้างในรัศมีพันจั้งแหลกสลายสิ้นสูญ
ชิงถังหลั่งเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
หากเมื่อครู่ท่านอาจารย์ไหวตัวช้ากว่านี้สักนิด เกรงว่าพวกนางคงถูกฝังทั้งเป็นด้วยศรนี้แล้ว!
………………..