บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1408: สวรรค์มิได้ทอดทิ้งข้า
ตอนที่ 1408: สวรรค์มิได้ทอดทิ้งข้า
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
แดนอันรกร้างแห่งหนึ่ง
มวลหมอกเคลื่อนเร้น ทั่วทิศเงียบสงัด
“ชิงถัง เจ้าไปหาที่หลบภัยยังตระกูลม่อก่อน”
ซูอี้ออกคำสั่ง
ร่างของเขาบาดเจ็บสาหัส โลหิตหลั่งทะลักมิขาดสาย ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียว พลังปราณในร่างกระจัดกระจาย
“ท่านอาจารย์ ข้าจะมิไปไหนเจ้าค่ะ!”
ดวงตาของชิงถังแดงฉาน น้ำตาหลั่งริน “แม้ต้องตายในยามนี้ ข้าก็อยากจะเป็นตายร่วมกับท่าน!”
ซูอี้เสสรวล ยกมือขึ้นลูบหัวชิงถัง พลางกล่าวด้วยแววตาเจือความอ่อนโยนอันหาได้ยาก “นี่คือคำสั่ง คำสั่งอาจารย์ต้องเชื่อฟังมิขัดขืนสิ”
ชิงถังพลันก้มหัวลง มิได้กล่าววาจาใด
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองไปไกลขณะกล่าวเบา ๆ “หากคิดไม่ผิดพลาด คงอีกไม่นานก่อนที่ช่างเสื้อเฒ่าจะมาที่นี่ วางใจเถอะ หากเขาจะฆ่าข้า มันทำได้มิง่ายเช่นที่คิดหรอก”
กล่าวจบ เขาก็กล่าวกับชิงถังอีกครั้ง “รีบไปเสีย”
ร่างของชิงถังสะท้านน้อย ๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ หากท่านแน่ใจจริง ๆ ไฉนต้องสั่งศิษย์ให้ไปล่ะเจ้าคะ? ข้ารู้นิสัยท่าน และในเมื่อท่านทำเช่นนี้ แปลว่า… ท่านต้องเตรียมใจตายไว้แล้วแน่!”
หญิงสาวสูดหายใจลึก ๆ เงยหน้าจ้องมองซูอี้ด้วยดวงตาเปรอะน้ำตา “หนนี้ ศิษย์มิไป… ยอมตายดีกว่าเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงของนางแน่วแน่
ซูอี้ผงะ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “งั้นก็ได้ ไม่ต้องไปแล้ว”
ชิงถังแย้มยิ้ม พยักหน้าอย่างแรง “อื้อ!”
นางรีบกล่าว “อาจารย์รีบฟื้นตัวเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะปกป้องให้เอง!”
ซูอี้ส่ายหน้า “สายไปแล้วล่ะ”
เขานำไหสุรามากระดกดื่มเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวว่า “ช่างเสื้อเฒ่าชั่วช้านั่นจะไม่มีทางให้โอกาสข้าฟื้นตัว และ… เขามาแล้ว”
มาแล้ว?
หัวใจของชิงถังบีบรัดแน่น
ขณะเดียวกัน เสียงเฒ่าชราก็ดังออกมาจากใต้ท้องนภาไกลออกไป
“ผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุดก็หาใช่ใครอื่น เจ้านั่นแหละทัศนาจารย์”
พร้อมกันนั้น ช่างเสื้อผู้สวมหมวกทรงกลมสีดำและอาภรณ์ผ้าก็ปรากฏขึ้นจากไกล ๆ
เบื้องหลังเขามีผู้ติดตามสี่คน เป็นบุรุษสามสตรีสอง ปราณบนร่างแปลกประหลาดดูซับซ้อน
เป็นองครักษ์เร้นเทพสี่ตนโดยไม่ต้องสงสัย!
ใบหน้างดงามของชิงถังแปรเปลี่ยนกะทันหัน
“อวตารอีกแล้วหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองช่างเสื้อ
ช่างเสื้อส่ายหน้าพลางกล่าว “หนนี้แตกต่างออกไปแล้ว”
ซูอี้แค่นหัวเราะ “ต่างกันเช่นไร?”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ “เจ้าก็รู้ว่าข้ามาจากศักราชแห่งมาร และสาเหตุที่ข้าสามารถข้ามธารเวลาส่งอวตารสู่โลกนี้ก็เพราะยืมอำนาจสมบัติต้องห้ามชิ้นหนึ่ง”
“กล่าวคือ นับแต่เริ่มเป็นศัตรูกัน เจ้าก็พบแค่อวตารของข้ามาโดยตลอด”
ซูอี้ว่า “หมายความว่าร่างจริงของเจ้าอยู่ในศักราชแห่งมารหรือ?”
ช่างเสื้อพยักหน้า “ถูกต้อง”
ขณะกล่าว เขาก็มาถึงดินแดนรกร้างนี้พร้อมองครักษ์เร้นเทพทั้งสี่คน ยืนห่างจากซูอี้ร้อยจั้ง
จากนั้นช่างเสื้อก็มองพินิจซูอี้หัวจรดเท้า แล้วจึงกล่าวว่า “ว่ากันให้กระชับคือ หากเจ้ามีโอกาสฆ่าข้าในหนนี้ ร่างจริงของข้าจะล้างแค้นเจ้าในภายหน้า… เกรงว่าคงต้องรอถึงยามเปิดเขตแดนสมรภูมิโน่น”
ซูอี้ประหลาดใจ “ยามเปิดเขตแดนสมรภูมิ? หรือร่างจริงของเจ้าจะสามารถข้ามธารเวลามาถึงที่นี่ได้?”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยแววตาซับซ้อน “หากเจ้ารอดถึงยามนั้น ก็จะกระจ่างแก่ใจเอง”
ซูอี้อดกล่าวยิ้ม ๆ ไม่ได้ “ลองหรือไม่?”
เขาบาดเจ็บสาหัส อาการร่อแร่ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาพร้อมตกตายได้ทุกเมื่อ
ทว่าขณะเดียวกัน เขาก็ดูสุขุมสบายใจอย่างยิ่ง ดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้งอยู่เลย
สิ่งนี้ทำให้คิ้วของช่างเสื้อขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “อย่าห่วงไป เจ้าและข้าประมือกันมานาน และยามนี้ถึงกาลชี้วัดแพ้ชนะ จึงมิต้องกังวลใด ๆ เลย”
ซูอี้ยกไหสุราขึ้นจิบ ดูจะกำลังยิ้ม “อยากถ่วงเวลาสืบสถานการณ์ของข้าต่อหรือ?”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างสุขุม “ถูกต้อง”
กล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจยาว สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อน “ตลอดกาลนานมา ข้ามุ่งเป้าไปที่การกำจัดเจ้า ทว่าทุกหนที่ข้าลงมือ ทุกสิ่งก็พังด้วยมือเจ้า เสียหายมากมายเกินไปจนกระทั่งข้าอดสั่งสมความโกรธแค้นที่มีต่อเจ้าเอาไว้ในใจมิได้”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ในจักรวาลพร่างดาวนี้ เจ้าก็เป็นผู้เดียวที่ทำให้ข้าต้องแหงนหน้ามอง”
ช่างเสื้อลูบคางกล่าวอย่างจริงจัง “ยิ่งข้าแค้นเจ้า ข้ายิ่งชื่นชมเจ้า ยิ่งข้าชื่นชม ยิ่งอยากสังหาร”
“ความรู้สึกเช่นนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ซูอี้ครุ่นคิดและตอบอย่างจริงจัง “ไม่เข้าใจหรอก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเช่นที่เจ้าว่า เราทั้งคู่ประมือแสนนาน ข้ามิเคยพ่ายสักครั้ง จึงยากจะเข้าใจความรู้สึก”
ช่างเสื้อ “…”
เขาพลันรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำเมื่อครู่โง่เง่าสิ้นดี เหมือนส่งมีดให้อีกฝ่ายเงื้อปักหัวใจตนด้วยมือตัวเอง
ช่างบีบคั้นหัวใจยิ่งนัก!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ช่างเสื้อก็รำพึง “นั่นสินะ สุดท้ายก็เป็นข้าที่ต้องลิ้มรสความพ่ายแพ้เพียงผู้เดียว ทว่า…”
เขากล่าวกับซูอี้ “หนนี้ เจ้าคิดว่ายังจะชนะอีกหรือไม่?”
ซูอี้มองช่างเสื้ออย่างลึกล้ำ กล่าวถามย้อน “เจ้าตรงหน้าข้าเป็นร่างอวตารร่างสุดท้ายที่เหลือในโลกนี้แล้วจริง ๆ หรือ?”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ข้าก็อยากจะสงวนอำนาจ อดทนกบดานต่อไปอยู่หรอก แต่โชคร้ายที่กาลเวลามิคอยท่าสำหรับข้า”
ซูอี้ว่า “ไยจึงกล่าวเช่นนั้นหรือ”
“มีฐานการฝึกฝนขอบเขตไร้ขีดจำกัด แต่ก็สามารถสังหารวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลได้ ข้าเกรงว่าหลังจากเจ้าเข้าสู่วิถีจุติสรวง ข้าจะมิอาจหาโอกาสฆ่าเจ้าได้เช่นนี้อีก”
ช่างเสื้อกล่าวราวกับกำลังหัวเราะ “ไม่มีทางเลย เพราะถึงอย่างไร ยามนี้ข้าก็เป็นร่างอวตาร ในด้านการฝึกฝนวิถี การเสียพลังจากร่างต้นก็เหมือนดึงพลังอย่างไร้รากแก่น พฤกษาไร้รากอย่างมากก็ก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ แต่จากนั้น… ก็มิอาจเคลื่อนขอบเขตใด ๆ ได้อีก”
ซูอี้เข้าใจทันทีว่าเป็นเพราะการเคลื่อนขอบเขตฝึกฝนของตนเร็วเกินไป ช่างเสื้อเฒ่าจึงมิอาจตามเขาทัน!
แล้วภายหน้าช่างเสื้อเฒ่าจะเอาสิ่งใดมาสู้กับเขา?
เพียงอุบายหรือ?
คงไร้เดียงสาเกินไป!
แผนสังหารศัตรูควรเกิดขึ้นขณะมีอำนาจและภูมิหลังพอประชัน จึงจะสามารถประชันด้วยปัญญาและความกล้าได้
หากไร้ความแข็งแกร่งเกื้อหนุน แผนการและกลอุบายทั้งหลายล้วนมิต่างจากฟองสบู่บาง ๆ ที่จะถูกขยี้แหลก
หนึ่งผู้เผชิญสิบเป็นเช่นนี้
“ด้วยเหตุนี้ ตลอดกาลนานมา ยามที่ข้าสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ในโลกหล้าได้ ข้าก็จะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสร้างองครักษ์เร้นเทพขึ้น”
ช่างเสื้อกล่าวกับตนเอง “เพราะข้าคิดไว้แล้วว่าด้วยการปรากฏของวิถีจุติสรวง ขอเพียงเจ้าฉวยโอกาสเคลื่อนขอบเขต ข้าจะไม่เหลือโอกาสจัดการกับเจ้ามากนัก”
“แต่ว่า… ข้าก็ยังคาดไม่ถึงว่ากระทั่งองครักษ์เร้นเทพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลยังมิอาจจำกัดตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเช่นเจ้าได้”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยเสียงถอนใจที่เจือความไม่เต็มใจ จนใจท้อแท้อย่างมิปิดบัง
ซูอี้งุนงง “ในเมื่อเจ้ามีไพ่ตายเช่นองครักษ์เร้นเทพ ไฉนจึงมิใช้มันยามข้าเวียนวัฏหวนคืนสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเล่า?”
ใบหน้าชราวัยของช่างเสื้อยากอ่านออกชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าไม่รู้หรือไร?!”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวขึ้นกะทันหันว่า “ข้าเข้าใจแล้ว องครักษ์เร้นเทพเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎสวรรค์เช่นเดียวกับวิญญาณอาสัญเหล่านั้น จึงมิอาจปรากฏกายในโลกหล้าได้เช่นกัน”
“เจ้าก็รู้นี่ เมื่อครู่เจ้าจงใจหยอกข้าสินะ?”
ช่างเสื้อเหยียดยิ้ม
ในใจของเขาแสนหดหู่
องครักษ์เร้นเทพนั้นคือไพ่ตายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในมือเขา
ทว่าเนื่องจากข้อจำกัดของกฎสวรรค์ เขาจึงไม่อาจใช้องครักษ์เร้นเทพไปสังหารซูอี้ตั้งแต่แรก
และยามที่เขาใช้องครักษ์เร้นเทพได้ ความแข็งแกร่งของซูอี้ก็พัฒนาไปไกลจนน่าสยดสยองสุดขีดแล้ว!
นี่จะมิทำให้ช่างเสื้ออัดอั้นใจได้หรือ?
“นี่แหละหนาที่กล่าวกันว่าชะตาฟ้าลิขิต สวรรค์มิได้ทอดทิ้งข้า!”
ซูอี้เชิดคอเสสรวล
ขณะกำลังแย้มยิ้มหัวเราะ เขาก็กระอักไอตัวโยน มุมปากมีโลหิตรินไหล ใบหน้าซีดขาวไร้สี
“ท่านอาจารย์…”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ช่างเสื้อก็อดกล่าวอย่างปรีดาไม่ได้ “หัวเราะต่อสิ หัวเราะจนตัวตายได้ยิ่งดี จะได้ช่วยข้ามิให้ต้องลงมือเอง!”
“ในภายหน้าโลกหล้าจะได้มีเรื่องตลกเพิ่มอีกเรื่อง ทุกคนในโลกหล้าจะได้รู้ทั่วว่าทัศนาจารย์หัวเราะจนตัวตาย บ๊ะ เรื่องนี้จะต้องสะเทือนทั่วทุกยุคสมัยเป็นแน่ กล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวทั่วฟ้าดิน!”
“จะว่าไป ข้าก็เตรียมโลงกับป้ายหลุมศพให้เจ้าแล้วนะ พอเจ้าตาย ข้าจะสลักสาเหตุการตายของเจ้าบนป้ายหลุมศพ ฝังเจ้าที่ซากแดนลับพร่างจินดาให้ นั่นบ้านเกิดเจ้านี่ และต่อจากนี้ คนนับไม่ถ้วนก็จะไปเยือนหลุมศพเจ้า”
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยคำประชดเย้ยหยันมิปิดบัง
ทุกผู้เห็นได้ว่าช่างเสื้อ ณ ขณะนี้แสนปรีดา ใบหน้าและแววตาของเขาแย้มยิ้ม
ซูอี้เก็บไหสุราไป ถือดาบแห่งโลกาในมือชุ่มเลือด และกล่าวว่า “ข้ามิคาดเลยว่าเจ้าช่างเสื้อจะยังมีความกตัญญูรู้คุณอยู่บ้าง หายากจริง ๆ นะ ทว่าข้าไม่มีลูกกตัญญูเช่นเจ้าหรอก”
สีหน้าของช่างเสื้อชะงักงัน เส้นเลือดปูดโปนชัดเจนบนหน้าผาก
ตู้ม!
ซูอี้ตวัดดาบแห่งโลกาโจมตีสู่อากาศกะทันหัน
“เฮอะ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว คิดต่อสู้จนตัวตายหรือ? ข้าจะสงเคราะห์ให้!”
ดวงตาของช่างเสื้อฉายแววจิตสังหาร
ฉัวะ!
พร้อมกันนั้น ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหมอกดำและหายวับไป
ขณะเดียวกัน สี่องครักษ์เร้นเทพก็โจมตีอย่างเต็มที่
………………..