บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1409: หมองูตายเพราะงู
ตอนที่ 1409: หมองูตายเพราะงู
ตู้ม!
เหนือแดนรกร้าง สงครามปะทุขึ้น
ปราณดาบของซูอี้ถูกชายผมขาวในชุดแดงผู้หนึ่งหยุดไว้
ขณะเดียวกัน องครักษ์เร้นเทพอีกสามตนก็ใช้สมบัติล้อมเข้ามาโจมตีใส่ซูอี้
ความแข็งแกร่งของทุกผู้ล้วนสูงส่งกว่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคล!
พวกเขาหยุดการโจมตีของซูอี้ไว้ได้ทันที
ฟ้าดินป่วนแปร แดนดินแยกเป็นสอง
หากสมบูรณ์พร้อม ซูอี้ย่อมไร้ความกลัวต่อศัตรูเหล่านี้
ทว่ายามนี้เขาบาดเจ็บสาหัสใกล้ล้มร่วง ให้ความรู้สึกราวพร้อมตกตายทุกชั่วกาล
ใบหน้าของชิงถังขาวซีดด้วยกังวล
และภายใต้ท้องนภาไกลออกไป ช่างเสื้อก็ยืนมองศึกอย่างเย็นชา คู่เนตรเรืองประกายดำมืด
เขาไม่เคยประเมินคู่ต่อสู้เช่นทัศนาจารย์ต่ำไป
แม้กระทั่งยามนี้ที่เขาได้เปรียบสูงล้ำ เขายังมิเข้าร่วมศึกด้วยตนเอง
เขากำลังรอ
ศึกดำเนินอย่างเข้มข้น
ทว่าซูอี้ผู้ดูจะอยู่ในอันตรายกลับอยู่รอดครั้งแล้วครั้งเล่า
‘ว่าแล้วเชียว คนผู้นี้ซ่อนพละเอาไว้อยู่!’
ช่างเสื้อยิ้มเยาะในใจ
เมื่อเผชิญกับการร่วมโจมตีของสี่องครักษ์เร้นเทพ ต่อให้เปลี่ยนเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลในเขตหวงห้ามสิ้นเซียน คนผู้นั้นย่อมตกตายไปแต่เนิ่น ๆ
แต่ซูอี้ยังคงยืนหยัดแน่วแน่ มิเคยเพลี่ยงพล้ำปราชัย
นี่หรือจะเป็นศรสุดวิถี?
“บางทีเจ้าอาจจะอยากลอบโจมตีข้าก่อนตาย แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มอบโอกาสนี้ให้เจ้า!”
ช่างเสื้อมองศึกต่อ ไร้ความคิดจะเข้าร่วมด้วยตนเอง
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทันใดนั้น ดวงตาของช่างเสื้อก็หรี่ลงเล็กน้อย ใกล้สิ้นหวังแล้วหรือ?
เขาเห็นว่าร่างของซูอี้ ณ ใจกลางสนามรบพลันทะยานเข้ามา ฟาดฟันดาบเข้าใส่องครักษ์เร้นเทพผมขาวชุดแดง
เคร้ง!
หอกศึกเล่มหนึ่งสะบั้นหัก
คมดาบของซูอี้ปักลงไปและสลายร่างของชายผมขาวในชุดแดง
ขณะเดียวกัน ซูอี้เองก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง!
จากการโจมตีประสานขององครักษ์เร้นเทพอีกสามตน ซูอี้ถูกผลักกระเด็นไป ร่างของเขาถูกกระหน่ำโจมตี เสียงกระดูกแหลกร้าวดังมิขาดสาย
สภาพสะบักสะบอมนั้นมิอาจทนมองได้
“ฆ่า!”
โดยไม่รีรอให้ร่างของซูอี้ตั้งหลักได้ สามองครักษ์เร้นเทพก็พุ่งเข้ามาอีกหน
“ตาย!”
ซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่ เขาทะยานเข้าไปเผชิญหน้า
ฉึก!
หอกยาวเล่มหนึ่งทะลวงไหล่ซ้ายของซูอี้ คว้านเป็นรูชุ่มเลือด
ตู้ม!
ตราประทับวิถีสีดำกระแทกเข้าที่หลังของซูอี้ ทำให้เลือดเนื้อที่หลังของเขาสาดกระจาย ร่างกระดอนมาข้างหน้า
ทว่าขณะเดียวกัน ดาบแห่งโลกาในมือซูอี้ก็ส่งภาวะดาบเวียนวัฏร้ายกาจเข้าสังหารสตรีผู้หนึ่งทันที
ดุเดือด!
นี่คือการสู้เพื่อชีวิตรอด เลือดแลกเลือด!
“เจ้านี่ดูจะทนมิไหวแล้วจริง ๆ…”
ดวงตาของช่างเสื้อวูบไหว
นี่เป็นคราแรกที่เขาได้เห็นทัศนาจารย์ในสภาพร่อแร่เช่นนี้
หากทนได้จริง ๆ ไฉนจึงทำเช่นนี้?
เมื่อคิดเช่นนี้ ดาบโลหิตเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือช่างเสื้อ ภายในดวงตาแผดเผาด้วยเพลิงอันมิอาจสกัดกั้น
มันคือจิตสังหารและความแค้นที่กำลังจะหยุดมิได้!
สงครามดำเนินต่อ
“ตาย!”
องครักษ์เร้นเทพผู้หนึ่งตวาดลั่น ฟาดฟันหอกในมือทะลวงร่างของซูอี้ในคราเดียว
ทว่ายามนี้ ซูอี้ทะยานมาเบื้องหน้า ปล่อยให้หอกทะลวงร่าง ฟาดฟันหนึ่งดาบเข้าสวน
ตู้ม!
องครักษ์เร้นเทพถือหอกผู้นั้นถูกสังหารทันที
“ท่านอาจารย์…”
ชิงถังน้ำตาไหลอาบหน้า ซูอี้ ณ ขณะนี้สภาพสะบักสะบอมอย่างยิ่ง หอกยาวเล่มหนึ่งทะลวงร่างกาย จนเต็มไปด้วยบาดแผลดุจผืนผ้าที่แหว่งวิ่นเป็นรูนับไม่ถ้วน
อาภรณ์สีเขียวขาดวิ่นชุ่มโลหิตจนแดงฉาน กระทั่งเรือนผมยุ่งเหยิงยังชุ่มโลหิต
สภาพเช่นนั้นทำให้ชิงถังหัวใจรวดร้าวแทบสิ้นสติ
นับแต่เติบโตมาจนยามนี้ นางเพิ่งได้เห็นท่านอาจารย์อยู่ในสภาพลำบากเพียงนี้เป็นครั้งแรก
ซูอี้ในสนามรบดูไม่ยี่หระ ใบหน้าของเขาซีดขาวทว่ายังคงสุขุม กระทั่งขมวดคิ้วก็ยังไม่ทำ
เมื่อสังหารศัตรูได้ เขาก็ยกมือขึ้นสลายหอกที่ท้องตน
ทว่าการกระทำนี้ทำให้เขาอดคำรามในลำคอเบา ๆ มิได้ ร่างสั่นสะท้าน สองเท้าซวนเซไปเบื้องหลังหลายก้าว
ขณะเดียวกัน องครักษ์เร้นเทพตนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ตวัดมีดฟาดฟัน
พลังปราณร้ายกาจอันแฝงอำนาจถล่มสวรรค์ทลายแดนดินระเบิดไปทั่วฟ้าดินสีเทานี้
ชั่วขณะนี้ แววตาของช่างเสื้อวาวโรจน์ จับจ้องไปที่ซูอี้นิ่ง
จากนั้นเขาก็เห็นว่าซูอี้ผู้ร่อแร่เกินทนขว้างดาบแห่งโลกา หาหลบเลี่ยงไม่
ตู้ม!!
โลกหล้าปั่นป่วนโกลาหล
ดาบแห่งโลกาตัดผ่านความมืดเยี่ยงแสงสว่างแทรกผ่านรัตติกาล ทะลวงผ่าร่างขององครักษ์เร้นเทพผู้นั้น
ทว่าร่างของซูอี้กลับจมหายไปในปราณมีดไพศาล
“ท่านอาจารย์!”
ดวงตาของชิงถังเบิกกว้าง สมองว่างโล่ง ร่างของนางถูกตรึงกับที่ราวหุ่นเชิดไร้วิญญาณ
สี่องครักษ์เร้นเทพที่มีความแข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลล้วนตกตาย
และซูอี้ผู้ใช้ชีวิตเข้าสู้ดูจะไม่อาจทนไหว เขามิอาจรับมีดนี้ได้ ทำให้ร่างจมหายไปในปราณมีดไพศาล
ผลก็คือ ชิงถังสิ้นสติ หัวใจของนางเหมือนถูกมีดดาบกระซวกแทงไร้ปรานี!
“ตายแล้ว… จริง ๆ หรือ?”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว
คู่เนตรเรืองกล้าเยี่ยงเนตรเทพจ้องมองอยู่จากไกล ๆ
ฝุ่นควันจาง แดนดินยุบเป็นหลุมลึก และในหลุมนั้นมีหนึ่งร่างแตกหัก เลือดเนื้อกระจัดกระจาย ล้มนั่งอยู่ไม่ไหวติง
นั่นคือซูอี้
เมื่อสายตาของช่างเสื้อมองมา เขาก็บังเอิญสบกับดวงตาลึกล้ำที่ดูไร้อารมณ์ของซูอี้เข้าพอดี
ทันใดนั้น หัวใจของช่างเสื้อก็กระตุกวูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ‘ยังมิตายหรือ!?’
เสียงกระอักไอถี่รัวดังจากปากของซูอี้ โลหิตรินหลั่งมิขาดสาย
และเสียงนั้นทำให้ร่างของชิงถังสั่นสะท้านราวคืนสติ น้ำตาหลั่งรินเยี่ยงพิรุณจากคู่เนตรแดงฉาน
“ท่านอาจารย์!”
หญิงสาวอดพุ่งเข้ามาช่วยประคองซูอี้ขึ้นมิได้
ช่างเสื้อมิได้หยุดนาง
ดวงตาวูบไหวของเขาพินิจมองซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มเยาะ “มิคาดเลยว่าชีวิตเจ้าจะตายยากจริง ๆ!”
น้ำเสียงของเขาเจือความไม่ยอมรับ
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ ตั้งหลักหยัดร่างชุ่มเลือดของเขายืนอย่างมั่นคงเยี่ยงกาลก่อน
จากนั้นเขาก็กล่าวเนิบ ๆ “หากฆ่าเจ้ามิได้ ข้าก็ไม่ยอมตายหรอก”
ดวงตาของช่างเสื้อเป็นประกายจิตสังหารบ้าคลั่ง “แต่เจ้าจะตายแน่!”
ซูอี้กล่าวอย่างดูแคลน “เจ้ากล้าลงมือกับข้าด้วยตนเองไหมเล่า?”
ช่างเสื้อมองดาบโลหิตในมือ ก่อนจะหัวเราะ “ไม่ต้องท้าทายแม่ทัพหรอก จะฆ่าเจ้า ข้ามิต้องออกศึกเองก็ได้”
ดวงตาของเขาเรืองประกายประหลาด ก่อนจะกล่าวอย่างเลื่อนลอย “01 หากมิทำตอนนี้ จะลงมือยามใด?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ละคำเผยมนตราประหลาด
“เจ้าค่ะ!”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งพลันดังข้างกายซูอี้!
ชิงถังผู้ยืนอยู่ข้างกายซูอี้พลันยกมือขึ้นแทงคอของซูอี้
กะทันหันและยังน่ากลัวยิ่ง!
ใครเล่าจะคาดว่าการลอบสังหารอันร้ายกาจที่สุดจะมาจากผู้ที่เขาไว้ใจที่สุดข้างกาย?
ไกลออกไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของช่างเสื้อ
นี่คือไพ่ตายที่เขาซ่อนไว้ลึกที่สุด!
“หากเจ้าถูกฆ่าโดยศิษย์ตัวเอง เจ้าทัศนาจารย์… จะเป็นเช่นไรหนอ?”
เมื่อช่างเสื้อคิดเช่นนี้ ม่านตาของเขาพลันหดตัว
สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
เพราะเขาเห็นว่า…ปลายนิ้วของชิงถังอยู่ห่างจากคอของซูอี้สามชุ่น มิอาจเคลื่อนเข้าไปใกล้ได้มากกว่านั้น
และมือข้างหนึ่งของซูอี้คว้าลำคอขาวระหงของชิงถังแต่ยามใดมิอาจทราบได้ แน่นหนาเยี่ยงห่วงเหล็ก หยุดนางไว้จนมิอาจขยับตัวได้เลย
“เจ้า… รู้อยู่แล้ว?”
ช่างเสื้อเดือดดาล สีหน้าแปรเปลี่ยนย่ำแย่ถึงขีดสุด
ซูอี้ยกมือขึ้นเบี่ยงมือของชิงถังออกห่างคอตนอย่างนุ่มนวล “นับแต่ที่ข้ารู้ว่าเจ้าใช้ชิงถังเป็นตัวประกันและส่งนางให้หงเฟยกวน ข้าก็คาดไว้แล้วว่าด้วยนิสัยชั่วช้าน่ารังเกียจของเจ้า คงมิให้ข้าช่วยชิงถังออกไปได้อย่างราบรื่นหรอก”
สีหน้าของช่างเสื้อยากอ่าน
ซูอี้เบนสายตามองชิงถัง
ขณะนี้ ดวงตาของชิงถังแดงก่ำระคนเย็นชา ร่างของนางเจือด้วยปราณปนเปอลหม่านเหมือนเช่นองครักษ์เร้นเทพเหล่านั้น
“จนเมื่อเจ้าเริ่มไล่ล่าข้า ข้าจึงยิ่งแน่ใจว่าเกิดบางอย่างขึ้นกับชิงถัง”
ซูอี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “และยามนั้นเองที่ข้าสรุปได้ว่าชิงถังเป็นเหมือนดวงตาของเจ้า ไม่ว่าข้าจะหนีไปไหน เจ้าก็จะรู้ทันที”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้ามองเรื่องนี้ออกแล้ว ไฉนต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง?”
ซูอี้ว่า “หาไม่ จะลวงอสรพิษออกจากรูได้หรือ?”
สีหน้าของช่างเสื้อมืดดำ กล่าวประชดประชัน “หลอกใช้กระทั่งศิษย์ เจ้าชั่วช้าขนาดนั้นเชียวหรือทัศนาจารย์!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากข้ากระทำตนตรงไปตรงมา เจ้าหรือจะกล้าสู้กับข้า?”
ช่างเสื้อสิ้นวาจา
“จะจัดการกับไอ้แก่ชั่วอย่างเจ้า มีแต่ต้องให้หมองูตายเพราะงูเท่านั้น”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ “ว่าตามตรง เรื่องเช่นนี้ช่างยุ่งยากชวนเหนื่อยยิ่ง มิชอบเอาเสียเลย แต่ก็ไร้หนทางอื่น หาไม่ ข้าจะจับเจ้าได้อย่างไร”
ช่างเสื้อเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เช่นนั้น บาดแผลบนร่างเจ้าก็ของปลอมหรือ?”
ซูอี้ถามย้อน “เจ้าคิดว่ามันเหมือนของปลอมหรือไร?”
“ก็เปล่า”
ช่างเสื้อกล่าวโดยไม่คิด “ข้าใช้เคล็ดวิชาสืบมาหลายหน การแสร้งทำไม่มีทางเป็นได้ หาไม่ ไฉนข้าต้องพยายามขวางเจ้าทุกวิถีทางด้วย?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าพูดถูก ข้าบาดเจ็บอยู่จริง ๆ และหนักมากเสียด้วย มีเพียง ‘ความจริง’ เช่นนี้ที่ทำให้เจ้าเชื่อลงได้มิใช่หรือ?”
ดวงตาของช่างเสื้อวูบไหว “แต่เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จะเอาอันใดมาสู้ข้าเล่า?”
“อยากรู้หรือไม่?”
แววตาของซูอี้แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
เปลือกตาของช่างเสื้อกระตุก แล้วจึงหันหลังเผ่นหนี
ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงหายลับไป
ตู้ม!!
ฟ้าดินใกล้เคียงสั่นสะท้านรุนแรงราวกับถูกหัตถ์ใหญ่อันมองไม่เห็นจับเขย่า จากนั้นก็ครอบไว้อย่างมิดชิด
สุญญะที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งพลันปะทุ
ร่างของช่างเสื้อร่วงหล่นลงมา
ขณะเดียวกัน ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นในอากาศธาตุ
มือของเขายังคงแบกร่างชิงถังไว้ ทว่าปราณบนร่างแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ดุจไม้แห้งคืนวสันต์ฤดู
พลังชีวิตพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง ร่างที่บาดเจ็บสาหัสฟื้นสภาพด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า การฝึกฝนอันเปะปะทะยานตัวสูงขึ้นทีละขั้น
รัศมีเซียนหนาแน่นจนเหมือนหมอกปกคลุมร่างของซูอี้ ทำให้เขาในขณะนี้เป็นเช่นเทพปรากฏกายสู่โลกหล้า
ทรงพลังปรกนภา!
“เจ้า…”
หน้าของช่างเสื้อเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์ ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
มือของซูอี้ก็กดลงบนอากาศ ช่างเสื้อถูกผนึกไว้กับที่ มิอาจขยับกายได้ในทันที
จากนั้นซูอี้ก็พลิกมือเล็กน้อย
เปรี๊ยะ!
มือขวาของช่างเสื้อแหลกละเอียด
ในเศษซากมือที่ร่วงกระจาย ยันต์ลับสีดำชิ้นหนึ่งร่วงลงมา และถูกซูอี้คว้าไว้บนอากาศ
“ให้ข้าเดา เจ้าอยากใช้ยันต์ลับอันบรรจุอำนาจองครักษ์เร้นเทพในร่างชิงถังมากดดันข้าสินะ?”
ซูอี้มองยันต์หยกสีดำในมือและกล่าวอย่างครุ่นคิด
ชั่วขณะนั้น ช่างเสื้อเงียบงัน สีหน้าหม่นหมอง
ซูอี้เสสรวล วางชิงถังผู้ถูกผนึกไว้ห่าง ๆ แล้วเดินมาหาช่างเสื้อ แล้วจึงเคาะกะโหลกของช่างเสื้อเบา ๆ “ยังอยากพูดอันใดอีกหรือไม่?”
ศีรษะของช่างเสื้อร้อนระอุ ความอับอายอันมิอาจกล่าวเป็นวาจาประดังเข้ามาในใจ
เขาสงบใจกล่าวอย่างสุขุม “ข้าก็แค่อวตาร ก่อนเริ่มลงมือ ข้าก็เตรียมใจตายไว้แล้ว”
ซูอี้กล่าวว่า “แม้ว่าความเป็นความตายของอวตารจะไม่สำคัญ แต่ความรู้สึกอัดอั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ เกรงว่าคงไม่สบายใจอย่างยิ่งเลยถูกหรือไม่?”
ร่างของเขาเรืองประกาย บาดแผลส่วนใหญ่เริ่มฟื้นตัว ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณอันเกินบรรยาย
การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นทำให้ช่างเสื้อรำพึงด้วยความถอนใจ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเตรียมโอสถเยียวยาเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงไร เจ้าก็ฟื้นตัวได้ในกาลอันสั้นสุด”
“อนิจจา วิธีการง่ายดายเพียงนี้ ข้ากลับมองข้ามมันไป…”
เขามองข้ามมันแน่หรือ?
เปล่าเลย
เขาไม่คิดว่าซูอี้จะทนได้จนถึงที่สุดต่างหาก!
ปกติแล้ว ยอดฝีมือใดเล่าจะยอมทนมิใช้โอสถยามบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นใจ?
“เรื่องที่ง่ายที่สุดมักจะให้ผลดีที่สุด”
ซูอี้กล่าว “โดยเฉพาะยามรับมือกับไอ้แก่เช่นเจ้า เรื่องง่ายที่สุดมักให้ผลที่น่าเหลือเชื่อที่สุด”
ช่างเสื้อเงียบไป
เขาคิดว่าในมือทัศนาจารย์ต้องมีไพ่ตายมากมาย ดังนั้นในศึกเมื่อกาลก่อน เขาจึงเฝ้ามองลองเชิงอยู่ตลอด
ทว่าเขาก็พบว่าตนหาพ่ายแพ้แก่ไพ่ตายของทัศนาจารย์ไม่ แต่เป็นแพ้ทางทัศนาจารย์!
กล่าวคือ อีกฝ่ายจูงจมูกนำหน้าเขามาตลอด!
“เจ้าพูดมาตั้งยืดยาวแต่กลับมิฆ่าข้า อยากให้ข้าเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนหรือไร?”
ช่างเสื้อจ้องมองซูอี้ด้วยสีหน้าสุขุม “หาไม่ เจ้าก็มีแต่จะผิดหวัง แม้การเสียอวตารไปจะทำให้ข้าเสียหายหนัก แต่ก็มิเพียงพอให้ข้าก้มหัวได้หรอก”
น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยชา เผยเค้าความทะนงตน
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “เจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้า เป็นอวตารสุดท้ายที่เจ้าเหลืออยู่แล้วจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้กล่าวประโยคนี้ก่อนเริ่มศึกมาแล้วมากกว่าหน
และยามนี้ เขาก็ถามอีก
ช่างเสื้ออดเสสรวลมิได้ “กลัวหรือ? กังวลว่าข้าจะมาลอบฆ่าให้เจ้าหลับไม่ลงอีกในภายหน้าหรือไร? ฮ่า ๆๆ!”
เขาเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภาอย่างแสนปรีดา
“เจ้าคิดไปเองแล้ว”
ซูอี้กล่าวอย่างหายี่หระไม่ “ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าในเมื่อข้าคิดเอาชนะเจ้าวันนี้ ข้าก็อยากทำลายอวตารของเจ้าเสียให้สิ้น”
ช่างเสื้อแย้มยิ้ม มองจ้องตา “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ายังมีอวตารทั้งหมดกี่ร่าง?”
ซูอี้มิกล่าววาจา เขาพลิกฝ่ามือ แล้วเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
และเมื่อเห็นเหรียญทองแดงเหรียญนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าช่างเสื้อพลันชะงัก ดวงตาเบิกโพลง
สิ้นกิริยาโดยสิ้นเชิง!