บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 141 ลมโหมกระหน่ำ
คืนนี้ถูกกำหนดให้ไร้สงบ
ณ ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
ในห้องส่วนตัว
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นมองดูข่าวที่เพิ่งถูกส่งมอบ ร่องรอยความสุขปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้ว
“ปรมาจารย์จู้ คนของข้าได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ ราวครึ่งก้านธูปที่ผ่านมา ชายผู้คล้ายว่าจะเป็นฉู่ซื่อหลางปรากฏตัวขึ้นใกล้กับตรอกน้ำเต้าในเมือง…”
นางอธิบายรายละเอียดอย่างระวัง
จู้กู่ชิงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นมาก หลังฟังจนจบสิ้นจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดู”
หลังจากนั้นหันหลังจากไปในทันที
“ตรอกน้ำเต้า… เดี๋ยวก่อน ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าซูอี้อาศัยอยู่ที่นั่น?”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตบหน้าผากของนางทันที ทว่าขณะกำลังจะเตือนจู้กู่ชิง ร่างของอีกฝ่ายก็ได้หายลับไปนานแล้ว
“ช่างเถิด ไม่ควรทำสิ่งใดให้น้อยหรือมากเกิน โดยเฉพาะเรื่องของผู้แซ่ซู หากไม่ยุ่งเกี่ยวได้ ย่อมไม่ควรยุ่งเกี่ยว!”
สีหน้าของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นเปลี่ยนไปชั่วขณะ
เมื่อนางนึกถึงเหตุการณ์นองเลือดสองคราที่เกิดบนชั้นเก้า มันทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าจนอยากอาเจียน
“เรียนนายท่าน ข้าได้ตรวจสอบแล้ว ขณะนี้คุณชายซูอาศัยอยู่ที่ตรอกน้ำเต้าขอรับ” กลางดึกในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใจกลางเมือง จางอี้เหรินรายงานด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม
จวิ้นอ๋องแห่งอู๋หลิง เฉินเจิ้งพยักหน้าและกล่าวว่า “ดีเยี่ยม พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเขา จงไปเตรียมกิ่งเขาของ ‘กวางอัคคีน้ำเงิน’ ให้ข้า การไปเยี่ยมเยือนด้วยมือเปล่านั้นเป็นเรื่องไม่สมควร”
จางอี้เหรินเผยยิ้มพลางกล่าวออก “เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยขอรับ ลูกน้องของข้าได้เตรียมเอาไว้ให้นายท่านแล้ว ทว่านายท่านจะไปสำนักดาบชิงเหอครานี้คาดหวังสิ่งใดอยู่งั้นหรือ?”
เฉินเจิ้งถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ข้าพบต้นกล้าที่ดีสองสามต้น แต่น่าเสียดาย มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดกับมู่ชางถูเสียก่อน”
“เรื่องไม่คาดฝัน?” จางอี้เหรินตกตะลึง
“มู่ชางถูวางแผนจะก้าวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เขาต้องการปลีกตัวเองอาศัยอยู่อย่างสันโดษในภูเขาและป่าไม้ อุทิศตนเพื่อวิถีดาบ สาบานตนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในทางโลกอีก”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ทว่าก่อนจะได้ทำตามที่ตั้งใจ เขากลับพ่ายแพ้ต่อชายหนุ่มลึกลับผู้กล้าแกร่งราวเทพเซียน ที่ยิ่งเป็นปริศนาก็คือ ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใคร กลับไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก”
จางอี้เหรินสูดหายใจเข้าลึก “ไม่อยากจะเชื่อ มู่ชางถู ผู้มีฉายา ‘หนึ่งดาบลำน้ำขจีบดขยี้ครึ่งเมือง’ ปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้กล้าแกร่งโด่งดังมานานนับปีกลับแพ้ให้กับเด็กรุ่นเยาว์งั้นหรือนายท่าน?”
สีหน้าของเฉินเจิ้งยังคงสงบและราบเรียบ “แม้แต่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ยังพ่ายแพ้เป็น นับประสาอะไรกับปรมาจารย์วิถียุทธ์? หากยังไม่กลายเป็นเทพเซียนเดินดิน ผู้ใดจะหาญกล้าเอ่ยว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน?”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “กระนั้นแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้คาดคิด ว่ามู่ชางถูจะพ่ายแพ้ต่อคนรุ่นเยาว์”
จางอี้เหรินพูดอย่างกะทันหัน “นายท่าน เป็นไปได้หรือไม่… คุณชายซูคือบุรุษหนุ่มผู้นั้น?”
เฉินเจิ้งตกตะลึงและกล่าวว่า “มันยากที่จะพูด ตามที่เจ้าบอกเล่า แม้ว่าซูอี้จะสามารถฆ่าปรมาจารย์ด้วยดาบเดียว แต่ขณะนั้น ปรมาจารย์อีกฝ่ายได้ใช้เคล็ดวิชาทำร้ายตน และซูอี้ลงมือในตอนท้าย สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากการเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่พอควร”
เขาส่ายหัวทันทีและพูดว่า “อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เอาไว้พรุ่งนี้เจอเขาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
…
ศาลาคลื่นซัดทราย
ซ่องคณิกาอันโด่งดังในมหานครอวิ๋นเหอ
ในห้องลับ ฉาจิ่นไอกระอักอย่างรุนแรง ใบหน้าที่สวยงามของนางซีดราวกระดาษ มีร่องรอยของความอ่อนล้าและความเจ็บปวดฉายชัดที่หว่างคิ้ว
วันนี้ แม้ว่านางโชคดีพอที่จะหนีจากเรือนเงียบสุขสงบของซูอี้ แต่สิ่งที่ต้องจ่ายแลกคืออวัยวะภายในเสียหายเพราะการใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามเพื่อหลบหนี
อีกด้านหนึ่ง บุรุษหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีแดงกำลังเผยแววตาเกลียดชัง “ซูอี้ผู้นั้นช่างโหดร้ายเกินมนุษย์!”
เขาอายุประมาณยี่สิบปี ผมยาวปกคลุมถึงช่วงเอว คาดเข็มขัดหยกหรูหรา
“ข้ายืมมือเขา แน่นอนเขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา”
ฉาจิ่นสูดหายใจเข้าลึก และพูดด้วยความกลัวที่ยังคงท่วมท้น “ไม่คิดเลย ในสถานที่ห่างไกลเช่นเขตปกครองอวิ๋นเหอ กลับมีมังกรซ่อนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้”
บรุษชุดแดงเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนถ้อยคำฉงนกล่าวออก “ในสายตาเจ้า เขาเทียบได้กับชิงจิน บุตรีสวรรค์ ‘สำนักดาบมังกรเร้น’ แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในต้าโจวหรือไม่?”
“เทียบกันงั้นหรือ? ชิงจิน นางเพียงแค่เทียบได้ต่อปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นต้น แต่ซูอี้นั้นแตกต่างสิ้นเชิง สำหรับเขา การฆ่าปรมาจารย์วิถียุทธ์นั้นง่ายดายไม่ต่างจากเชือดไก่!”
ดวงตาของนางฉายแววความกลัวอย่างเด่นชัด “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้หรอก แม้ซูอี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ยามเผชิญหน้ากับเขา ข้ารู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับเทพเซียนบนท้องฟ้า!”
บุรุษหนุ่มชุดแดงขมวดคิ้ว ความรำคาญเริ่มเจือปนในน้ำเสียง “ศิษย์น้อง เจ้าแค่กลัวเขา ความรู้สึกนี้จึงบังเกิด”
เขาเปลี่ยนคำพูดและกล่าวว่า “ทว่าข้าเองต้องยอมรับ ซูอี้ผู้นี้เปรียบดั่งสัตว์ประหลาด ทั้งฉินเหวินเยวียนและหนานเหวินเซียงต่างตกตายด้วยมือเขา รวมไปถึงปรมาจารย์วิถียุทธ์บนเรือนั่น แม้แต่ในสำนักของเรา ยังมีเพียง ‘ดวงจันทร์เดือนเจ็ด’ เท่านั้นที่เทียบเคียงความสามารถดังกล่าวได้”
ดวงจันทร์เดือนเจ็ด!
หนึ่งในเจ็ดยอดศิษย์หลักแห่งสำนักวงเดือน เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางว่าเป็นยอดอัจฉริยะหาผู้ใดเทียบยากในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสำนัก เป็นตัวตนซึ่งถูกคาดหวังสูงสุดว่าจะสำเร็จ วิถีต้นกำเนิดในอนาคตได้อย่างง่ายดาย!
“เจ็ดทายาทแห่งวงจันทร์…”
ดวงตาที่สวยงามของฉาจิ่นแสดงความอิจฉายากจะปิดซ่อน
เหล่าตัวตนพรสวรรค์เลิศล้ำราวกับเทพเซียนกลับชาติมาจุติ ปุถุชนผู้บ่มเพาะทั่วไปล้วนไม่อาจเทียบเคียง
ช่องว่างนั้นใหญ่ราวกับสองโลกซึ่งไม่อาจบรรจบ
ทันใดนั้น ฉาจิ่นไออีกครั้ง ใบหน้างามงดซีดลงยิ่งกว่าเก่า
เมื่อแลเห็นเช่นนี้ นัยน์ตาของชายหนุ่มชุดแดงเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันแสนลึกล้ำ ถ้อยคำกล่าวออกอย่างหุนหัน “พรุ่งนี้ ข้าจะไปพบกับซูอี้สักครา!”
“ไม่!”
ใบหน้าของฉาจิ่นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “ศิษย์พี่ บุรุษผู้นั้นน่ากลัวเกินไป ท่านเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นต้นไม่ใช่ตัวตนที่จะต่อกรกับเขาได้ แม้แต่อาจารย์เฒ่าของเรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นอย่าหุนหันพลันแล่น!”
“อย่ากังวลไป ข้าไม่โง่พอจะต่อสู้โดยประมาท”
ชายหนุ่มชุดแดงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ก่อนข้าออกเดินทางจากสำนักในครั้งนี้ ข้าได้นำสมบัติบางอย่างติดตัวมาด้วย ด้วยสมบัตินี้ แม้ว่าข้าจะฆ่าเขาไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำร้ายเขาได้!”
เพียงพลิกฝ่ามือ ดาบบินขนาดหนึ่งฉื่อปรากฏขึ้น ตัวดาบปกคลุมไปด้วยลวดลายอักขระที่ทับซ้อน มันลึกลับและเรืองแสงวาววับสีฟ้าทำให้ผู้คนหัวใจเต้นรัว
“ยันต์ดาบสะบั้นฟ้า?” ฉาจิ่นสั่นไหว
นี่คือสมบัติลับซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าเทพเซียนเดินดิน มันมีพลังน่าสะพรึงกลัวเพียงพอจะสังหารปรมาจารย์วิถีได้อย่างง่ายดาย
“ถูกแล้ว สิ่งนี้ถูกส่งมอบมาโดยปรมาจารย์เจา ผู้ซึ่งหล่อหลอมและขัดเกลามันเป็นเวลาสี่สิบเก้าวันด้วยพลังแห่งวิถีต้นกำเนิด มีเพียงปรมาจารย์วิถียุทธ์ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถสำแดงเดชสมบัติชิ้นนี้ได้”
“และตามที่ปรมาจารย์เจาได้เคยกล่าว ดาบนี้ใช้ได้เพียงสามครั้ง คราวนี้ข้าหวังจะลองใช้กับซูอี้สักดาบหนึ่งเพื่อสั่งสอน!”
ดวงตาของชายหนุ่มชุดแดงเป็นประกาย
กระนั้นแล้ว เมื่อใจคิดว่าสมบัติลับดังกล่าวจะสูญเปล่าให้กับซูอี้ เขารู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย
“ศิษย์พี่ ข้ายังคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหากเราสามารถดึงซูอี้มาร่วมกับเราได้ ไม่ใช่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขา!” ฉาจิ่นพูดอย่างจริงจัง
“ศิษย์น้อง เจ้ายังเด็กนัก ซูอี้หยิ่งยโสยิ่งกว่าใครที่เราเคยพบ ดวงตาของเขาสูงกว่าศีรษะจนแทบจะเทียมฟ้า มีเพียงพลังที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถกดเขาให้ก้มหัวได้!”
หนุ่มชุดแดงพูดอย่างเย็นชา
ฉาจิ่นถอนหายใจ รับเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของศิษย์พี่ นางจึงรู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดจะโน้มน้าวอีก
…
ยามราตรีค่อย ๆ ลาจาก ทดแทนด้วยแสงรุ่งอรุณปรากฏออก
นอกตรอกน้ำเต้า
“ผู้เฒ่าพรต ข้าได้ถามเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนนั้นเป็นเพียงกลุ่มคนหนุ่มสาววัยรุ่นเยาว์ และไม่มีคนใดควรค่าแก่การใส่ใจ”
ฉู่ซื่อหลางหาวและพูดอย่างเกียจคร้าน
วันนี้เขาตื่นแต่เช้าและไปเยี่ยมย่านนั้นอยู่นมนาน หลังจากยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุด เขาก็สรุปได้ว่าไม่มีผู้ใดให้ควรค่าแก่การเฝ้าระวังในเรือนที่เวิงอวิ้นฉีไป
“อย่าประมาท ในเมื่อชายชราเวิงอวิ้นฉีมาที่นี่และยอมถอยกลับ สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเรือนนั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่เราคิด”
ดวงตาของนักพรตเสวี่ยเหิงเป็นประกาย
หลิวเซียงหลาน เผยรอยยิ้มและกล่าวออก “เรื่องนี้จัดการได้โดยง่าย แค่เพียงไปทักทายหนุ่มสาวในเรือนนั้นก่อน หากพวกเขาไม่ธรรมดาจริง เราค่อยถอยกลับ แต่ถ้าไม่ พวกเราค่อยลงมือครอบครองทั้งเรือนนั้น เพื่อเฝ้ารอเวิงอวิ๋นฉีมาที่ประตู”
“ตกลง”
นักพรตเสวี่ยเหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ
หากคนหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ธรรมดาจริง ต่อให้เวิงอวิ๋นฉีจะปรากฏตัว แผนการของพวกเขาเกรงว่าจะมีโอกาสไม่สำเร็จไปหลายส่วน
สืบค้นข้อมูลให้แน่ใจก่อนจะปลอดภัยที่สุด
นักพรตเสวี่ยเหิงไม่พลาดจะเอ่ยเตือน “ยามเข้าไปทักทาย จงสุภาพเข้าไว้ อย่าให้ใครเข้าใจผิดคิดว่าเราตั้งใจก่อปัญหา”
หลังจากตระเตรียมทุกอย่าง ชายชราจึงเดินลึกเข้าไปในตรอกน้ำเต้า
ฉู่ซื่อหลาง และหลิวเซียงหลานติดตามอย่างใกล้ชิด
เมื่อมาถึงหน้าเรือนเงียบสุขสงบของซูอี้ นักพรตเสวี่ยเหิงจัดระเบียบเสื้อผ้า แต่งแต้มใบหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือออกไปและเคาะประตูเบา
“ใคร?”
เสียงของหวงเฉียนจวินดังขึ้นในลานบ้าน
นักพรตเสวี่ยเหิงยิ้มและเอ่ยออก “ชายชราผู้นี้อาศัยอยู่ใกล้เคียง เมื่อคืนก่อน เจ้าของร้านขายเกี๊ยวนอกตรอกเสียชีวิตอย่างอนาถข้างถนน ดังนั้นข้าจึงมาเยี่ยมเยียนเพื่อสอบถาม ว่าพวกท่านมีเบาะแสเกี่ยวกับฆาตกรบ้างหรือไม่”
ไม่มีอะไรผิดกับคำกล่าวนี้ เพราะเป็นเวิงอวิ๋นฉีที่ฆ่าพ่อค้าเกี๊ยวเมื่อคืนก่อนจริง
ภายในลาน
หวงเฉียนจวินมองไปที่ซูอี้ซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ในศาลา
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย
เมื่อคืนที่ผ่านมา หนานเหวินเซียงถูกฆ่าตายก่อนเพื่อขู่ฉาจิ่น ตามด้วยเวิงอวิ๋นฉีปรากฏตัว
เหตุการณ์ต่อเนื่องนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักว่ามันยากสำหรับเรือนเงียบสุขสงบ ที่จะสงบลงในช่วงเวลาต่อไป
แต่สิ่งที่เหนือคาดคิดคือความสงบจะถูกทำลายตั้งแต่อรุณรุ่งเช่นนี้
“ศิษย์น้องเฟิง เจ้าและเสี่ยวหรานกลับไปที่ห้องก่อน”
ซูอี้กล่าวออกก่อนจะโบกมือให้หวงเฉียนจวินไปเปิดประตู
เขาอยากจะรู้ว่าเป็นผู้ใดที่มาในครั้งนี้
แอ๊ด~
ประตูเปิดออก หวงเฉียนจวินเหลือบมองไปที่สามคนนอกประตู ในใจเย็นเยียบอย่างไม่อาจกล่าว แต่ยังคงฝืนยิ้มและเอ่ยทัก “ผู้เยาว์บังอาจถามชื่อเพื่อนบ้านทั้งสามได้หรือไม่?”
“หากเสวนาข้างในจะเหมาะกว่า”
นักพรตเสวี่ยเหิงผายมือเล็กน้อยและยิ้มอย่างอบอุ่น
รับชมดังนั้นหวงเฉียนจวินยิ้มอย่างสดใส ปากอ้าวาจาเอ่ยกลับ “ผู้เยาว์ไร้มารยาทแล้ว โปรดเชิญพวกท่านเข้ามาก่อน”
หลังจากกล่าวจบ เขาจึงต้อนรับนักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ เข้ามายังในลาน
“สหายน้อย ไม่ทราบว่าบุรุษผู้นั้นคือใครกัน?”
นักพรตเสวี่ยเหิงเห็นซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายในศาลาได้อย่างรวดเร็ว
“นั่นคือคุณชายของตัวข้า”
หวงเฉียนจวินเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา
นักพรตเสวี่ยเหิงถอนหายใจ ก้าวไปข้างหน้า หยุดอยู่นอกศาลา ยิ้มและพูดว่า “เป็นเกียรติที่ได้พบคุณชายแล้ว”
ซูอี้นั่งนิ่งและพูดอย่างเฉยเมย “บอกข้าที พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อชิงหว่านหรือเวิงอวิ๋นฉี?”
รูม่านตาของนักพรตเสวี่ยเหิงหดตัว
หลิวเซียงหลานที่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเอาเถิด สหายน้อยผู้นี้ดวงตาดังคบเพลิง ขืนเรายังแสร้งซ่อนต่อไป คงรังแต่จะนำมาซึ่งความอับอาย”
ขณะที่เอ่ยคำ ดวงตาของนางจ้องไปที่น้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอวของซูอี้ไม่วางตา ดวงตาเปล่งประกายวาววับประหนึ่งพบเจอของที่ต้องใจ