บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1410: สถานการณ์จริงของช่างเสื้อ
ตอนที่ 1410: สถานการณ์จริงของช่างเสื้อ
เหรียญทองแดงนี้อ่อนนอกแข็งใน ดูเป็นเหรียญธรรมดาทั่วไป
เดิมที ช่างเสื้อเคยนำเหรียญทองแดงนี้มามอบให้ซูอี้ที่วัดสรรพสุญตากับมือ กล่าวว่าคนขายของเก่าติดอยู่ภายในนี้
หลังจากนั้นซูอี้ก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบดู จึงพบว่ามีอำนาจผนึกลึกลับอยู่ภายในเหรียญทองแดง หากฝืนทำลายมัน เหรียญทองแดงนี้ก็อาจจะถูกทำลายไปด้วย
ดังนั้นเขาจึงทำเพียงเก็บมันไว้กับตน
ยามนั้น เมื่อรู้ว่าคนขายของเก่าติดอยู่ในเหรียญทองแดงนี้ หลวงจีนคงจ้าวเองก็เคยเย้าหยอกว่าคนขายของเก่าหน้าเงินจริง ๆ
และยามนั้นเองที่ซูอี้เกิดเค้าความสงสัย
เมื่อนานมาแล้ว คนขายของเก่าเคยจัดการกับช่างเสื้อมาแล้วหนหนึ่ง ด้วยนิสัยของช่างเสื้อเฒ่า มีหรือจะปล่อยคนขายของเก่าไปเช่นนี้?
ทว่าซูอี้ก็แค่สงสัย
เขาเองก็มิทราบความลับของเหรียญทองแดงนี้เช่นกัน
เหตุที่เขานำเหรียญทองแดงนี้ออกมามิใช่ใดอื่นนอกจากการลองเชิง
ทว่ายามนี้ เมื่อเขาเห็นช่างเสื้อเสียอาการโดยสิ้นเชิง ซูอี้พลันตระหนักในใจว่าเหรียญทองแดงนี้มีสิ่งผิดปกติอยู่จริง ๆ!
“เจ้ายังมีอันใดอยากพูดอีกหรือไม่?”
ซูอี้ถามขณะใช้ปลายนิ้วลูบบนเหรียญทองแดง
ช่างเสื้อเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะรำพึง “ข้าสงสัยนัก เจ้าเข้าใจความลับของเหรียญทองแดงนี้ได้เช่นไร?”
ซูอี้ว่า “เดาสิ”
ช่างเสื้อเงียบไป ก่อนจะกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “นับแต่ข้ามอบมันให้เจ้า เจ้าก็คาดไว้แล้วหรือว่าข้าจะผนึกอวตารวิถีไว้ภายใน?”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “เปล่าหรอก ข้าเพิ่งรู้ตอนนี้แหละ”
ช่างเสื้อ “…”
สีหน้าของเขาบูดเบี้ยว “เมื่อครู่เจ้าโกหกข้าหรือ?”
ซูอี้ว่า “ข้าแค่ตัดสินไว้แต่แรกว่า หากเจ้าส่งเหรียญทองแดงนี้ให้ข้า ไม่มีทางเจตนาดีเป็นแน่ ข้าจึงลองเชิงดู และเป็นไปตามนั้นจริง ๆ เสียด้วย”
อกของช่างเสื้อกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ชั่วขณะ กัดฟันกรอด คู่เนตรจับจ้องซูอี้อย่างโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด
ซูอี้ลูบคางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ยามนี้ ในที่สุดข้าก็กล้าสรุปว่าเจ้าเหลืออวตารเพียงสอง หนึ่งคือเจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้า ส่วนอีกหนึ่งซ่อนอยู่ในเหรียญทองแดงนี้”
กล่าวจบ ซูอี้ก็อดรำพึงมิได้ “ที่แท้เจ้าก็วางแผนส่งอวตารอันสำคัญที่สุดมาให้ข้า หาทางรอดให้ตนเองตั้งแต่ก่อนจะเกิดศึกแท่นนภาม่วงแล้ว ความกล้าและอุบายนี้น่าอัศจรรย์จริงแท้”
สถานที่อันตรายที่สุดมักจะปลอดภัยที่สุด
ใครเล่าจะคิดว่าช่างเสื้อที่เกลียดเขาที่สุดจะใช้เขาเป็นที่ซ่อนสุดท้าย?
เย้ยสวรรค์กันเห็น ๆ!
ลองคิดดูว่า หากเขาไม่ลองหยั่งเชิงเหรียญทองแดงในวันนี้ ต่อให้ฆ่าช่างเสื้อตรงหน้าเขาไป ร่างอวตารอีกร่างของช่างเสื้อที่หลบอยู่ในเหรียญทองแดงก็จะอยู่ข้างกาย รอฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ!
“ข้าบอกไปแล้ว ต่อให้อวตารถูกทำลาย ตัวข้าก็ไม่เป็นอะไร”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
ซูอี้ส่ายหน้ายิ้ม ๆ และกล่าวว่า “หากทำลายอวตารเจ้าไป จริงอยู่ที่มิอาจทำร้ายร่างจริงเจ้าได้ แต่หากอวตารตายไป ต่อให้ร่างจริงของเจ้าจะมายังแดนนี้ในภายหน้า สายตาของเขาก็จะมืดมัว มิอาจรู้เรื่องราวของข้าได้เช่นเจ้า”
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ตัวจริงของเจ้ามิรู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับข้า และจะกลายเป็นฝ่ายตั้งรับสถานเดียว”
“ส่วนข้านั้นต่างออกไป ข้ารู้ฝีไม้ลายมือเจ้าหมดแล้ว เพียงร่างต้นของเจ้ามา เจ้าก็จะถูกฆ่าโดยเร็วที่สุด!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพลันพูดขึ้นอย่างเข้าใจในที่สุด
“ข้าเข้าใจแล้ว อวตารวิถีที่เจ้าทิ้งไว้ในเหรียญทองแดงนี้มิใช่เพียงทางรอดในจักรดาราที่เจ้าทิ้งไว้ แต่ยังเป็นเข็มทิศนำร่างจริงของเจ้ามาหาข้าโดยไวที่สุดในภายหน้า!”
ลองคิดดูว่าหากเขาเก็บเหรียญทองแดงนี้ไว้กับตัว ไม่ว่าจะอยู่หนใด ขอเพียงร่างจริงของช่างเสื้อปรากฏตัว มีหรือจะหาเขาไม่พบ?
เพราะถึงอย่างไร ร่างอวตารหนึ่งร่างของช่างเสื้อก็อยู่ในเหรียญทองแดงนี้!
เมื่อถึงตรงนี้ ซูอี้จึงได้เข้าใจแผนของช่างเสื้อ เขาจึงอดทอดถอนใจครู่หนึ่งมิได้ แผนการของไอ้แก่ชั่วนี่แยบยลร้ายกาจยิ่ง มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะระวังได้เลย!
ช่างเสื้อเงียบไป มิได้กล่าววาจา
ซูอี้พลันถามขึ้น “คนขายของเก่ายังมีชีวิตหรือตายไปแล้ว?”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เขาติดอยู่ในเขตหวงห้ามดาราหยก หากดวงแข็งเขาก็คงยังอยู่”
ซูอี้เลิกคิ้ว “เขตหวงห้ามดาราหยก?”
ช่างเสื้อกล่าวกับซูอี้ “กาลก่อน ข้าส่งคนไปล่าสังหารไอ้แก่นี่ พวกเขาไล่ล่ากันไปจนถึงเขตหวงห้ามดาราหยก และกระทั่งลูกน้องของข้าก็ตายลงที่นั่น ส่วนไอ้แก่นี่ก็มิได้ออกมาอีก”
“ก่อนที่หนึ่งในลูกน้องของข้าจะตายลง เขาส่งข่าวกลับมาบอกว่าไอ้แก่นั่นเข้าไปในวิหารอันปกคลุมด้วยหมอกแห่งหนึ่ง”
“หากอยากพบกับเขา บางทีเจ้าก็อาจลองดู”
“แน่นอน ข้าก็อยากให้เจ้าไป ตายในนั้นได้ยิ่งดี”
กล่าวจบ ช่างเสื้อก็ละสายตา สีหน้าแข็งทื่อมากขึ้นทุกขณะราวปล่อยวางความคิดที่จะประชัน
ซูอี้กล่าวต่อว่า “เจ้าคงไม่คิดใช้อุบายใดอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ช่างเสื้อเสสรวลว่า “เดาสิ?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพักและกล่าว “หนนี้ข้าเชื่อเจ้า”
ช่างเสื้อตกใจ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันซับซ้อน “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดแม้วาจาเดียวเสียอีก”
ซูอี้ว่า “ข้าเชื่อเพราะเจ้าพูดออกอยากให้ข้าไปเขตหวงห้ามดาราหยกจริง ๆ และหากเป็นไปได้ก็ไปตายในนั้น”
ช่างเสื้อ “…”
เขาหัวเราะลั่นแล้วถอนใจ “หากชั่วชีวิตได้พบคู่ปรับ มันก็เป็นเรื่องชวนปรีดาสบายใจได้จริงแท้ ทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้แต่บรรพกาล ข้ามิเคยมีผู้ใดในสายตา เว้นเพียงเจ้าเท่านั้น”
ซูอี้ว่า “น่าเสียดาย”
“เสียดายอันใด?”
“อยากฟังความจริงหรือไม่?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้ว่า “ไม่ว่าจะเป็นในอดีตชาติหรือทุกวันนี้ ข้ามิเคยมองเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ในสายตาเลย”
ช่างเสื้ออดผงะมิได้
อกผอมแห้งของเขากระเพื่อมขึ้นลงเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ต่างวิถีมิบรรจบ เจ้าแสวงหาวิถีดาบ ฆ่าฟันเฉียบขาด ในขณะที่ข้าแสวงวิถีกลยุทธ์ แผนการแยบยลไร้รอยต่อ เจ้ามิมีข้าในสายตานั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้”
ซูอี้ส่ายหัว “เรื่องนี้มิเกี่ยวกับวิถีหรอก แต่วิธีการ ความกล้า ความคิดของเจ้า ในสายตาข้า มันช่างน่ารังเกียจมิเข้าตาก็แค่นั้น”
ช่างเสื้อ “…”
เขาสิ้นความสนใจจะเสวนา ชี้ที่หัวตน “ลงมือเถอะ”
ซูอี้ชี้ไปยังชิงถัง “บอกวิธีกำจัดภัยซ่อนเร้นบนร่างชิงถังก่อน และข้าจะส่งเจ้าไปสบาย”
ช่างเสื้อว่า “ภัยซ่อนเร้นจิ๊บจ๊อยนั่นหยุดเจ้ามิได้หรอก”
ซูอี้ว่า “ข้าเกลียดเรื่องยุ่งยาก”
ช่างเสื้อถอนใจเบา ๆ นำม้วนหยกหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อส่งให้ และกล่าวว่า “อย่าใช้ดาบเจ้าฆ่าข้า หากเป็นไปได้ ขอข้าสัมผัสอำนาจแห่งวัฏสงสารเถอะ”
ซูอี้รับม้วนหยกไปแล้วดีดนิ้ว
นิมิตหกวิถีเวียนวัฏปกคลุมทั่วร่างช่างเสื้อ
เขาดูจะได้เห็นสระเวียนวัฏอันลึกลับยิ่งใหญ่ เส้นทางเพลิงโชติช่วงแห่งสุดวิถี ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขตในภวังค์…
ขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาก็สลายไปทีละน้อยภายใต้อำนาจวัฏสงสาร
จนกระทั่งยามที่เขากำลังจะหายไปสิ้น ช่างเสื้อก็พึมพำ “ข้าสงสัยมาตลอดว่าไฉนพันธสัญญาแห่งเทพจึงไม่ยอมให้วัฏสงสารเคลื่อนวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
เสียงยังมิสร่าง ช่างเสื้อก็หายไปโดยสมบูรณ์
“ข้าหาคำตอบนั้นมาโดยตลอดเลยล่ะ”
ซูอี้กระซิบ
หลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขากับชิงถังก็จากไป
วันนี้ ณ ศึกตัดสินที่เขาพฤกษ์ระย้า เขาเอาชนะหงเฟยกวน สะบั้นหัววิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลมาหลายร้อย และทำลายเจตจำนงเซียนไปสิบหกตน
ทว่า เทียบกันแล้ว ศึกที่ซูอี้สามารถสังหารช่างเสื้อลงได้นี้ต่างหากที่ทำให้ซูอี้รู้สึกคุ้มค่า
…
นอกเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ซูอี้ดีดนิ้วของเขา เหรียญทองแดงถูกดีดหมุนคว้างในอากาศเป็นวงสวย ก่อนจะตกลงในมือซูอี้อีกหน
“ข้าจะช่วยเจ้าเก็บอวตารนี้ไว้ และเมื่อร่างจริงของเจ้ามา ข้าก็จะใช้มันเป็นเหยื่อสำหรับตกปลา”
ซูอี้เก็บเหรียญทองแดงก่อนจะละล่องจากไป
…
วันเดียวกันนั้น ข่าวศึกบนเขาพฤกษ์ระย้าก็แพร่ออกไปทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ก่อให้เกิดเสียงลือลั่นตะลึงทั่วโลกหล้าในทันที
“ใต้เท้าทัศนาจารย์กลายเป็นผู้ประหารเซียนไปแล้ว!”
“อย่างเถื่อน!”
“ราชันแดนมนุษย์ประหารเซียน หนึ่งเดียวทั่วแดนตลอดยุคสมัย!”
“อย่ายกยอใต้เท้าทัศนาจารย์มากเกินไปสิ นั่นเป็นเพียงเจตจำนงเซียนเท่านั้นแหละ!”
…โลกหล้าวุ่นวายโดยสมบูรณ์
ควรค่าจดจำว่า ทัศนาจารย์เคยลั่นวาจาไว้ว่าต่อให้มีเทพเซียนบนสวรรค์ ก็ต้องก้มหัวจำนนยามพบข้า
กาลก่อน โลกหล้าถือวาจานี้เป็นการประกาศศักดาของทัศนาจารย์ หาคิดไม่ว่าทัศนาจารย์สังหารเซียนได้จริง ๆ
เพราะถึงอย่างไร ขณะนั้นโลกหล้าก็ไร้เซียน!
ทว่ายามนี้ จากข่าวศึกเขาพฤกษ์ระย้า ผู้คนพลันตระหนักว่าทัศนาจารย์สังหารเจตจำนงเซียนสิบหกตนได้จริง ๆ!
แม้จะมิใช่การสังหารเซียนโดยแท้จริง แต่ก็มิต่างกันมากนัก
ต้องทราบว่าทัศนาจารย์ในทุกวันนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้ ใครเล่าจะกล้าพูดว่าเขาจะไร้โอกาสสังหารเซียนในโลกหล้าภายหน้า?
“ผู้ฝึกตนจุติสรวงอันใด ขุมกำลังโบราณอันใด หากไร้ใต้เท้าทัศนาจารย์ยินยอม คิดชี้นำแนวทางครองโลกาไปก็ล้วนไร้ค่ามิใช่หรือ?”
“ศึกนี้ย่อมถูกจารึกในประวัติศาสตร์แห่งจักรดาราตงเสวียน เพียงพอจะเปลี่ยนครรลองโลกหล้าได้ เมื่อมีใต้เท้าทัศนาจารย์อยู่ กลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นจะมิกล้ากร่างอำนาจในภายหน้าหรอก!”
“ในอดีตกาล มีผู้ประโคมไปทั่วหล้าว่าใต้เท้าทัศนาจารย์เป็นศัตรูแห่งโลกา จะถูกคิดบัญชีได้ทุกเมื่อ ทว่ายามนี้ ใครเล่าจะกล้าพูดเพ้อเจ้อเช่นนั้น?”
…ทั่วจักรวาลพร่างดาวลือลั่น มีเสียงหารือดังขึ้นมากมาย
และเกียรติภูมิของซูอี้ก็ทะยานสู่จุดอันมิเคยไปถึงจากข่าวศึกบนเขาพฤกษ์ระย้านี้!
ขณะเดียวกันก็เกิดการคาดเดาเหตุการณ์ถัด ๆ ไป
“ทัศนาจารย์ยังไม่อยู่ในจุดที่จะทำตัวสบายใจได้!”
“ศึกบนเขาพฤกษ์ระย้านี้ทำให้ทัศนาจารย์และกลุ่มเต๋าโบราณ รวมถึงขุมกำลังเซียนต่าง ๆ มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว และเมื่อวิญญาณอาสัญวิถีเซียนก่อกำเนิด หายนะอันตรายยิ่งกว่ายามนี้จะเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน!”
“รอดูเถิด การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ในฟ้าดินกำลังทวีความเข้มข้น และวันนั้นจะมาถึงแน่นอน!”
…
ภายในสมุทรมารไร้กำหนด
“อำนาจอันทรงพลังน่ากลัวหนึ่งสิงสู่สหายเต๋าซูหรือ?”
ยามได้ทราบรายละเอียดของศึกเขาพฤกษ์ระย้าจากปากสุนัขพื้นเมืองซิงเชวีย ปราชญ์หงอวิ๋นก็อดผงะไปมิได้ ดวงตาของนางเหม่อลอยอย่างหาได้ยาก
นางรุกถาม “ร้ายกาจเพียงไร?”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยท่าทีจริงจัง “ปรกสวรรค์ค้ำหล้า ทศทิศไร้ทางออก! ข้าสงสัยอยู่ว่าหากตัวตนร้ายกาจนั้นคิดจะทำ อย่าว่าแต่สังหารเจตจำนงเซียนเลย กระทั่งฆ่าเซียนแท้จริงยังทำได้โดยไม่ต้องออกแรงมากขอรับ!”
น้ำเสียงของสุนัขพื้นเมืองเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวลึกล้ำเกินปิดบัง “ตอบเจ้านายตามจริง ยามนั้น… ข้า… ข้าก็กลัวขอรับ…”
มันก้มหน้าลงอย่างแสนละอาย
………………..